บทที่ 163 เป็นห่วงจนแทบจะบ้าแล้ว
เสียงไซเรนรถตำรวจดังขึ้นอยู่ไม่ไกลนัก แล้วค่อย ๆ เข้าใกล้มาเรื่อย ๆ จากนั้นรถตำรวจหลายคันก็จอดอยู่ตรงปากทาง
นักเลงพวกนั้นเมื่อเห็นรถตำรวจก็ตกตะลึงกันไปหมด พวกเขาไม่ได้คิดจะให้ตำรวจมานะ
ไม่นานนักเลงพวกนั้นก็ตั้งสติได้ พวกตำรวจก็ได้ลงมาจากรถ
“ห้ามขยับ นี่เจ้าหน้าที่ตำรวจ” มือหนึ่งจ่อปืนไปยังพวกนักเลง ย่อตัวเดินเข้าไปใกล้นักเลงพวกนั้น
เมื่อเห็นตำรวจจ่อปืนใส่ตัวเอง นักเลงพวกนั้นก็รีบยกมือทั้งสองข้างขึ้นมา แล้วหันไปทางตำรวจ
เจ้าหน้าที่ตำรวจเห็นว่าพวกนี้ยอมจำนนแล้ว ก็พูดออกไปเสียงดังว่า : “เอามือทั้งสองข้างไว้ที่ท้ายทอย คุกเข่าลง”
นักเลงพวกนั้นเห็นตำรวจขาทั้งสองข้างก็สั่นระริก ไม่กล้าขยับตัวไปไหน ตำรวจสั่งให้พวกเขาทำอะไรก็ยอมทำตามแต่โดยดี
แต่ละคนเอามือยกไว้ที่ท้ายทอย คุกเข่าหันหน้าเข้ากำแพงในตรอก
ตำรวจกลุ่มหนึ่งก็รีบเข้าไปล้อมพวกนั้นเอาไว้
ถวนจื่ออยู่ข้าง ๆ ตลอดเวลา เมื่อเห็นว่านักเลงพวกนั้นไม่ขยับตัวแล้วก็รีบวิ่งเข้าไปหาเจียงหยุนเอ๋อ
เจียงหยุนเอ๋อตัวสั่นเทา ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่ครั้งแรกที่เจอกับเรื่องแบบนี้ แต่เจียงหยุนเอ๋อก็ตกใจอย่างมาก
“หม่ามี้” ถวนจื่อย่อตัวนั่งลงข้างเจียงหยุนเอ๋อ ตรวจดูร่างกายของเจียงหยุนเอ๋ออย่างละเอียด “ไม่เป็นอะไรใช่ไหมครับ?”
เจียงหยุนเอ๋อส่ายหน้า : “หม่ามี้ไม่เป็นอะไร”
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม อยู่ต่อหน้าถวนจื่อยังไงก็ต้องสงบสติเอาไว้ก่อน
ถวนจื่อโอบหัวของเจียงหยุนเอ๋อเข้ามากอดไว้ในอ้อมอกของตัวเอง แล้วลูบหัวเธอเบา ๆ
ในใจรู้สึกโทษตัวเองอยู่ไม่น้อย เพราะเป็นอีกครั้งแล้วที่ปกป้องเจียงหยุนเอ๋อได้ไม่ดีพอ ทำให้เธอตกใจกลัว
เจียงหยุนเอ๋อได้กลิ่นหอมนมบนตัวถวนจื่อ ก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาก
ที่ที่ไม่มีลี่จุนถิงอยู่ เพียงเธอรู้สึกได้ว่ามีถวนจื่ออยู่ข้างกายตัวเองก็จะรู้สึกสบายใจ
“หม่ามี้ รีบลุกขึ้นเถอะครับ บนพื้นมันเย็น ระวังน้องสาวจะหนาวเย็นไปด้วย” ถวนจื่อพูดพลางดึงเจียงหยุนเอ๋อลุกขึ้นจากพื้น
ก่อนออกจากบ้าน ลี่จุนถิงเตือนถวนจื่อเอาไว้ ว่าต้องดูแลเจียงหยุนเอ๋อและลูกในท้องของเธอให้ดี
เจียงหยุนเอ๋อรู้สึกซาบซึ้งใจและรู้สึกตลก : “หม่ามี้ไม่เป็นอะไรแล้ว ลูกรีบไปดูโค้ชของลูกเถอะ เขาเหมือนจะถูกพวกนั้นซ้อมจนได้รับบาดเจ็บสาหัส”
เจียงหยุนเอ๋อคิดขึ้นมาได้ว่าเมื่อสักครู่นี้เป็นนิ่งเสวียนโม่ที่ปกป้องตัวเองจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด หลายจุดบนตัวเขาเต็มไปด้วยบาดแผล จึงรู้สึกเป็นห่วงขึ้นมา
ถวนจื่อรีบวิ่งไปดูทางนั้น ที่นิ่งเสวียนโม่ล้มอยู่บนพื้น
“โค้ชครับ โค้ช” ถวนจื่อเขย่าตัวนิ่งเสวียนโม่หลายครั้ง แต่นิ่งเสวียนโม่ไม่มีปฏิกิริยาตอบรับ เขาได้สลบไปแล้ว
เจียงหยุนเอ๋อกังวลใจ รู้สึกใจไม่ดี จึงรีบวิ่งไปเรียกตำรวจที่อยู่ด้านหน้า : “คุณตำรวจคะ ตรงนี้มีคนสลบอยู่ รบกวนพวกคุณรีบช่วยพาเขาไปส่งโรงพยาบาลหน่อยค่ะ”
ตำรวจได้ยินดังนั้นก็เรียกพวกอีกหลายคนมาช่วยอุ้มนิ่งเสวียนโม่ขึ้นรถตำรวจ เจียงหยุนเอ๋อกับถวนจื่อก็ได้ขึ้นรถไปด้วยในฐานะเพื่อน
ตำรวจเปิดเสียงไซเรน รถมากมายบนถนนเห็นดังนั้นจึงหลีกทางให้พวกเขา ไม่นานนักก็มาถึงโรงพยาบาล
มีตำรวจคอยช่วยเหลือ ทำให้การจัดการดูแลนิ่งเสวียนโม่เป็นไปอย่างราบรื่นและรวดเร็ว
เมื่อนิ่งเสวียนโม่ถูกนำตัวเข้าห้องฉุกเฉิน เจียงหยุนเอ๋อก็สบายใจขึ้นมาหน่อย
นิ่งเสวียนโม่ทุ่มเทมากมายเพื่อช่วยตัวเองกับลูก ใบหน้าของเขาดูเละเทะไปหมด ใบหน้าหล่อเหลานั้น ดูเลือนรางไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว
เจียงหยุนเอ๋อพาถวนจื่อมานั่งรออยู่ที่เก้าอี้ข้างห้องฉุกเฉิน
“หม่ามี้ โค้ชจะไม่เป็นอะไรใช่ไหมครับ?” ถวนจื่อมองไปยังไฟสีแดงหน้าห้องฉุกเฉินที่ส่องสว่างอยู่ เอ่ยพูดด้วยความรู้สึกกังวลใจ
เจียงหยุนเอ๋อลูบหัวของถวนจื่อเบา ๆ : “ต้องไม่เป็นอะไรแน่นอน โค้ชทำเรื่องที่ดี สวรรค์ต้องคุ้มครองเขาแน่นอนจ๊ะ”
ที่จริงแล้วเจียงหยุนเอ๋อก็ไม่รู้ว่าตอนนี้นิ่งเสวียนโม่อาการเป็นยังไงกันแน่ เธอได้แต่ภาวนาให้เขาปลอดภัย
ถวนจื่อหลับตา พนมมือไหว้ สวดท่องอะไรเงียบ ๆ ในใจ
“ลูกกำลังทำอะไรอยู่?” เจียงหยุนเอ๋อมองท่าทางประหลาด ๆ ของถวนจื่อด้วยความไม่เข้าใจ
ถวนจื่อลืมตาขึ้น เอ่ยพูดอย่างจริงจังว่า : “ผมกำลังทำแบบคุณยายครับ ขอพรให้คุณพระคุณเจ้าคุ้มครองโค้ชให้ปลอดภัย”
เจียงหยุนเอ๋ออดไม่ได้ที่จะขำออกมา คิดไม่ถึงว่าลูกชายของตัวเองจะได้ความเชื่องมงายล้าสมัยมาจากแม่ของตัวเอง
“จริงสิ ตำรวจที่มาวันนี้ ลูกเป็นคนเรียกมาเหรอ?” เจียงหยุนเอ๋อนึกถึงเรื่องเมื่อสักครู่ว่าถ้าหากตำรวจมาช่วยไว้ไม่ทัน ตัวเองก็คงจะ……
เจียงหยุนเอ๋อตัวสั่นขึ้นมา เธอไม่กล้าคิดต่อว่าจะเกิดอะไรขึ้น มันน่ากลัวมากเหลือเกิน
ขาของถวนจื่อลอยอยู่เหนือพื้น แกว่งไปแกว่งมา : “ใช่ไงครับ แต่เป็นแด๊ดดี้ให้ผมเรียกตำรวจมาครับ”
เจียงหยุนเอ๋ออึ้งไป : “แด๊ดดี้?”
ถวนจื่อพยักหน้า : “ใช่ครับ ผมโทรหาแด๊ดดี้ แด๊ดดี้บอกให้ผมแจ้งตำรวจก่อน”
เจียงหยุนเอ๋อคิดไม่ถึงว่าถวนจื่อจะขอความช่วยเหลือจากลี่จุนถิง : “ทำไมลูกถึงรู้ว่าต้องติดต่อแด๊ดดี้ล่ะ?”
“ก่อนพวกเราออกจากบ้าน แด๊ดดี้บอกกับผมไว้ว่า ถ้าหากมีเรื่องอะไรต้องรีบโทรหาเขาก่อนเป็นอันดับแรก” ถวนจื่อจดจำคำพูดของลี่จุนถิงไว้อย่างดี
ปกป้องเจียงหยุนเอ๋อเป็นหน้าที่ที่เขาและลี่จุนถิงต้องทำไปตลอดชีวิต
เจียงหยุนเอ๋อนึกไม่ถึงเลยว่าลี่จุนถิงจะคิดรอบคอบขนาดนี้ : “แล้วตอนนี้แด๊ดดี้อยู่ที่ไหนล่ะ?”
“น่าจะกำลังรีบมาอยู่ครับ”
ระหว่างทางด่วนที่มาเมืองหลิน รถสปอร์ตคันหนึ่งกำลังขับมาด้วยความเร็วสูง
ซู่จี้งยี้เหยียบคันเร่งจนจมมิดแล้ว
ลี่จุนถิงที่นั่งอยู่ภายในรถรู้สึกว่าตัวเองไม่ค่อยสบายตัว ในใจเป็นห่วงจนแทบจะบ้าแล้ว
เมื่อคิดถึงเรื่องคราวก่อนที่ลี่จีถองทำไว้ เจียงหยุนเอ๋อมีท่าทางหวาดกลัวจนทำอะไรไม่ถูก เขาก็รู้สึกปวดใจ
ตอนนี้เจียงหยุนเอ๋อต้องมาพบเจอเรื่องแบบนี้อีก เขาจึงรู้สึกหงุดหงิดไม่สบายใจอย่างบอกไม่ถูก
เขาในเมื่อก่อนสามารถควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้เป็นอย่างดี แต่ตอนนี้ถ้าเป็นเรื่องของเจียงหยุนเอ๋อ เขาก็ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้อีกแล้ว
เมื่อเขานึกถึงที่ไอพวกนักเลงนั่นแตะต้องเจียงหยุนเอ๋อ ไม่สิ เขาแทบไม่กล้าคิดต่อไปด้วยซ้ำ
ถ้าหากไอนักเลงพวกนั้นแตะต้องเจียงหยุนเอ๋อจริง ๆ ล่ะก็ เพียงแค่แตะด้วยมือ ลี่จุนถิงจะเอามือมันมาตัดทิ้งแน่นอน
“นายขับให้มันเร็ว ๆ หน่อยสิ” ลี่จุนถิงรู้สึกว่าตอนนี้ความเร็วยังไม่มากพอ
“คุณชายลี่ ตอนนี้เร็วสุดแล้วครับ” ซู่จี้งยี้รู้สึกลำบากใจ
ลี่จุนถิงแหงนมองเข็มความเร็วที่ตอนนี้แทบจะทะยานสู่ 150 กิโลเมตรต่อชั่วโมงแล้ว เขายังรู้สึกว่ามันช้าเกินไป แต่ก็ทำอะไรไม่ได้
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาทำอะไรไม่ได้แล้วรู้สึกเจ็บปวดทรมานใจอย่างนี้ เขากำมัดชกเข้าอย่างจังที่เบาะนั่งด้านหน้า
ซู่จี้งยี้ชำเลืองมองลี่จุนถิงที่ตอนนี้สีหน้าถมึงทึงดุดัน ไม่กล้าโอ้เอ้ ถึงแม้เท้าจะเหยียบคันเร่งจนชาไปหมดแล้วแต่ก็ไม่กล้าผ่อนคลาย
ณ โรงพยาบาล
ถวนจื่อและเจียงหยุนเอ๋อนั่งรออยู่ด้านนอกห้องฉุกเฉินราวหนึ่งชั่วโมงแล้ว ไฟสีแดงหน้าห้องฉุกเฉินถึงได้ดับลง
คุณหมอเดินออกมา : “ใครเป็นญาติของผู้ป่วย?”
เจียงหยุนเอ๋อและถวนจื่อรีบลุกขึ้น : “พวกเราเป็นเพื่อนของเขาค่ะ”
เพราะว่าไม่รู้จะติดต่อกับญาติของนิ่งเสวียนโม่ยังไง เจียงหยุนเอ๋อจึงทำได้แค่ดูแลแทนไปก่อน