ตอนที่ 75 มาประลองกัน?

เฟิงอี้กำลังลอยอยู่บนท้องฟ้าภายใต้แสงจันทร์ ปีกคู่หนึ่งที่สร้างจากพลังปราณปรากฏอยู่ด้านหลัง ท่าทีของนางดูโหดร้าย และดวงตาที่มองไปยังหมาป่าใต้ของหยางเย่ ความตกตะลึงในจิตใจได้เกิดขึ้นอีกครั้ง

หมาป่าสีเทาเป็นเพียงสัตว์อสูรระดับเก้า อันที่จริงสัตว์อสูรทมิฬระดับนี้ไม่สามารถทำให้นางสูญเสียสมาธิ แต่เมื่อเห็นมนุษย์สองคนกำลังนั่งบนหลังมันอยู่ เฟิงอี้ถึงกับงุนงงกับสิ่งนี้

เพราะเหตุผลพิเศษบางอย่าง ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสัตว์อสูรนั้นนับว่าแย่ กล่าวได้ว่าทั้งสองไม่อาจอยู่ร่วมกันได้ โดยปกติทั้งสองจะไม่สื่อสารหรือสร้างสัมพันธ์ใดต่อกัน

แน่นอนว่าหากมนุษย์กล้าเหยียบเข้าไปในขุนเขาไม่สิ้นสุดโดยไม่ได้รับอนุญาต มนุษย์ผู้นั้นจะไม่สามารถกลับออกมาได้ ไม่ต่างกัน ถ้าสัตว์อสูรทมิฬกล้าเหยียบเข้ามาในโลกมนุษย์โดยไม่ได้รับอนุญาต เช่นนั้นท้องของพวกมันก็จะถูกชำแหละเพื่อบางสิ่งภายในนั้น

แต่ตอนนี้ สัตว์อสูรทมิฬระดับเก้าที่ควรจะอยู่ในขุนเขาไม่สิ้นสุดได้ปรากฏตัวขึ้นในโลกมนุษย์ และมันยังถูกขี่โดยผู้ใช้พลังปราณขั้นปราณมนุษย์ ขณะเดียวกันมันทำให้เฟิงอวี่สับสนอย่างมาก

เฟิงอี้สูดหายใจลึกเพื่อระงับความตกตะลึงไว้ในใจ จากนั้นจิตสังหารใดปรากฏผ่านดวงตาพร้อมคิดบางอย่าง ‘เราไม่อาจปล่อยให้ไอ้หนูนี้มีชีวิตรอดไปได้ มิเช่นนั้นในอนาคตจะต้องเป็นตัวปัญหาใหญ่แน่’

หยางเย่ใจสั่นเมื่อสัมผัสได้ถึงจิตสังหารของเฟิงอี้ จากนั้นเขาเริ่มสนทนากับมิงค์ม่วงในตันเถียนน้ำวน “สหายตัวจ้อย ถึงแม้ข้าจะไม่ทราบว่าเจ้ามีชีวิตแบบไหน แต่ก็ทราบดีถึงต้นกำเนิดที่ไม่ธรรมดาของเจ้า เช่นนั้นแล้วจงรีบหนีไปเสีย หากเจ้ามีความสามารถพอ พาน้องสาวข้าไปด้วย แต่หากไม่ไหวก็จงหนีไปด้วยตนเอง ด้วยความสามารถของเจ้า นางจะไม่อาจจับตัวเจ้าได้แน่นอน”

หยางเย่มั่นใจว่ามิงค์ม่วงมีความสามารถพอที่จะเอาชีวิตรอด เพราะแม้แต่เงาดำในวันนั้นที่แข็งแกร่งกว่าสตรีผู้นี้เป็นสิบเท่า ก็ยังไม่สามารถจับตัวสหายตัวจ้อยได้

มิงค์ม่วงกระพริบตาปริบในตันเถียนน้ำวน มันไม่ส่ายหัวหรือพยักหน้า มีเพียงแสงสีม่วงอ่อนปรากฏขึ้นบนเล็บของมัน

“เจ้า… เหตุใดต้องมาจับพวกเรากับท่านแม่ด้วย…?” เมื่อสังเกตเห็นเฟิงอี้ลอยอยู่กลางอากาศ เสี่ยวเหยาแสดงอาการหวาดกลัวเล็กน้อย แต่นางยังคงเอ่ยถาม

เฟิงอี้ไม่ตอบสิ่งใด นางมองไปที่หยางเย่แทน “ทำไมสัตว์อสูรระเก้าถึงมาอยู่กับเจ้าได้? อย่าบอกนะว่ามันคือสัตว์เลี้ยงของเจ้า”

ในเขตแดนใต้ ขุนนางบางคนมักจะเลี้ยงสัตว์ แต่สัตว์เลี้ยงเหล่านั้นจะอยู่เพียงแค่ระดับห้าหรือต่ำกว่า และพวกมันยังเป็นสัตว์พันธุ์ที่อ่อนโยน นางไม่เคยเห็นหรือได้ยินว่ามีสัตว์อสูรระดับเก้าเป็นสัตว์เลี้ยงมาก่อน โดยเฉพาะพันธุ์ที่ดุร้ายอย่างหมาป่าใต้

“ราชวังบุปผาจะทำอะไรกับท่านแม่ของข้า?” หยางเย่ไม่สนใจคำถามนั้น

เฟิงอี้ไม่ตอบ แต่นางกลับให้เงื่อนไขแทน “บอกข้าว่าเจ้าควบคุมสัตว์อสูรระดับเก้าได้ยังไง แล้วข้าจะไว้ชีวิต ทั้งยังจะให้เป็นคนรับใช้ในราชวังบุปผา”

“ตอบคำถามข้าก่อน!” หยางเย่มองไปยังเฟิงอี้ขณะกล่าว

เฟิงอี้ขมวดคิ้ว นางรู้สึกไม่ค่อยพอใจนัก แต่เมื่อคิดว่าหยางเย่มีวิธีควบคุมสัตว์อสูรได้ นางจึงยอมประนีประนอม “อย่ากังวล ราชวังบุปผาจะไม่ลงโทษแม่เจ้าถึงตาย นางจะถูกคุมขังไว้ใต้ผาสิ้นรักเพื่อรับความทรมานจากลมหนาวและพิษจากดอกสิ้นรัก ในอดีต หากผู้ใดละเมิดกฎของราชวังก็จะได้รับผลเช่นเดียวกันเพื่อแสดงให้คนอื่นเกรงกลัว แต่โชคร้ายวิธีนี้ดูเหมือนยังมีคนกล้าละเมิด ข้าสงสัยว่าราชวังจะใช้วิธีอื่นหรือไม่ครั้งนี้!”

หยางเย่สูดหายใจลึกขณะมองไปยังเฟิงอี้ เขาปล่อยรอยยิ้มชั่วร้ายออกมาพร้อมกล่าว “ข้า หยางเย่สาบานว่าถ้ายังไม่ตาย ข้าจะกลับไปทรมานพวกเจ้าทุกคนที่กระทำกับแม่ข้าเป็นร้อยเท่า!”

เฟิงอี้ได้แสดงใบหน้าที่ดูถูกเหยียดหยามออกมาพร้อมเอ่ย “วันนี้ข้าได้เข้าใจแล้วว่าเวลาผู้อื่นประเมินตนเองสูงเกินไปเป็นเช่นไร อย่าว่าแต่ผู้ใช้พลังปราณขั้นปราณมนุษย์ที่มีพรสวรรค์อันน่าทึ่ง แม้จะเป็นยอดฝีมือขั้นปราณจักรพรรดิ มันก็เป็นแค่เพียงมดปลวกเท่านั้นเมื่ออยู่ต่อหน้าราชวังบุปผาของข้า ทรัพยากรที่ราชวังบุปผาได้รับไม่ใช่สิ่งที่เจ้าจะจินตนาการได้ เอาล่ะ แต่เดิมข้าตั้งใจจะไว้ชีวิตเจ้าอยู่แล้ว และจะให้ไปเป็นคนรับใช้ของราชวังบุปผา แต่ตอนนี้ดูเหมือนจะไม่จำเป็นอีกต่อไป ถึงแม้จะไม่บอกก็อย่าคิดว่าข้าจะล้วงความลับจากเจ้าไม่ได้!”

“เช่นนั้นยังจะมัวพล่ามหาอะไร!?” หยางเย่ปล่อยประกายชั่วร้ายออกมาขณะกล่าว

จิตสังหารปรากฏขึ้นในดวงตาเฟิงอี้ ขณะที่กำลังจะเริ่มลงมือ เฟิงอี้ขมวดคิ้วพร้อมหันไปมองรอบด้าน “ผู้ใดกัน? แสดงตัวออกมา!”ประกายสีขาวปรากฏขึ้น จากนั้นสตรีสวมชุดขาวพร้อมดาบหยกในมือได้ปรากฏตัวข้างหยางเย่ สตรีผู้นั้นไม่ใช่ใครนอกจากซูชิงฉือผู้ที่ทำข้อตกลงกับหยางเย่

หยางเย่ถอนหายใจโล่งอกทันทีที่เห็นซูชิงฉือ เขาไม่เกรงกลัวความตาย แต่กลัวว่าเสี่ยวเหยาจะตายไปด้วยมากกว่า ถึงแม้จะไม่ทราบว่าซูชิงฉือมาปรากฏตัวที่นี่ได้อย่างไร มันก็ไม่สำคัญอีก เพราะเสี่ยวเหยาดปลอดภัยแล้วตอนนี้

“คนสำนักดาบราชันงั้นหรือ?” เฟิงอี้ขมวดคิ้ว จากนั้นนางถามด้วยเสียงต่ำ

ซูชิงฉือมองไปยังหยางเย่ที่มีท่าทีดุร้าย จากนั้นมองไปที่เฟิงอี้พร้อมพยักหน้า “เขาเป็นศิษย์สำนักดาบราชันของข้า เจ้าห้ามแตะต้อง!”

เฟิงอี้หรี่ตาเล็กน้อยขณะกล่าว “เขาเป็นบุตรของศิษย์ราชวังบุปผาที่ละเมิดกดของราชวัง เจ้าน่าจะทราบดีถึงกฎนั่น”

เคล้ง!

ดาบหยกในมือซูชิงฉือเริ่มสั่น มันเหลือเพียงประกายสีเขียวขณะยิงขึ้นไปบนท้องฟ้า ทั้งยังแผดเสียงดังก้องไปทั่ว “เช่นนั้นก็มาประลองกับข้า!”

ประกายดำมืดปรากฏผ่านดวงตาเฟิงอี้เมื่อเห็นดาบหยก เพราะมันเป็นดาบขั้นปฐพี ขั้นพลังปราณของทั้งสองทัดเทียมกัน ดังนั้นนางจึงไม่เกรงกลัวสตรีชุดขาวตรงหน้า แต่ดาบของสตรีชุดขาวนั้นอยู่ขั้นปฐพี ส่วนของนางอยู่เพียงขั้นสีดำระดับสูง ถึงแม้มันระดับพลังของศาสตราจะต่างกัน แต่พลังของทั้งสองนั้นสูสี มันจึงทำให้นางลังเลไม่น้อย เพราะหากพลังปราณเท่ากัน กุญแจที่จะชนะได้ก็คือเคล็ดวิชาและศาสตราวุธ

“สำนักของพวกเราไม่เคยมีความขัดแย้งกัน ส่วนสำนักดาบราชันของเจ้าก็กำลังขัดแย้งกับสำนักภูตผี ราชวังบุปของข้าอยู่เป็นกลางมาตลอด เช่นนั้นเจ้าต้องการสร้างความขัดแย้งกับราชวังบุปผาเพื่อศิษย์คนเดียวงั้นหรือ?” เฟิงอี้กล่าวด้วยเสียงต่ำ

ซูชิงฉือโคจรพลังปราณทั่วร่าง นางกล่าวอย่างเย็นชา “จะขัดแย้งหรือไม่ มันไม่ใช่สิ่งที่ผู้อาวุโสอย่างเจ้าจะมาตัดสิน อย่าเปลืองลมหายใจอีกเลย หากเจ้ายังต้องการจะสังหารเขา เช่นนั้นก็เข้ามา!” ทันทีที่กล่าวจบ รังสีที่น่าสะพรึงพุ่งไปทางเฟิงอี้

เฟิงอี้กำลังจะกล่าวบางอย่าง แต่รังสีพลังที่สัมผัสได้นั้น ทำให้นางต้องตะโกนออกมาอย่างไม่รู้ตัว “จิตสังหารดาบ มันคือจิตสังหารแห่งดาบ เจ้าคือเทพธิดาซูแห่งสำนักดาบราชันงั้นหรือ?”

“ใช่!” ซูชิงฉือตอบรับ

เมื่อนางได้ยินซูชิงฉือยอมรับโดยไม่ลังเล เฟิงอี้ไม่มีความตั้งใจจะสู้ด้วยอีก เพราะซูชิงฉือเป็นยอดฝีมือที่อยู่เทียบอันดับมังกรลี้ลับ เทียบอันดับมังกรลี้ลับคืออะไรงั้นหรือ? มันไม่ต่างกับเทียบอันดับสวรรค์ มันคือสถานที่สำหรับอัจฉริยะที่โดดเด่น ถึงแม้พลังปราณจะทัดเทียมกับซูชิงฉือ นางก็ทราบดีว่าไม่สามารถประลองได้ แม้ซูชิงฉือจะไม่มีดาบหยกก็ตาม

“เทพธิดาซู ถึงแม้ข้าไม่ประลองกับเจ้า แต่ราชวังบุปผาไม่ปล่อยให้เรื่องเงียบแน่นอน ในอนาคตราชวังบุปผาจะไปยังสำนักดาบราชันเพื่อถามหาความเป็นธรรม!” หลังกล่าวจบ เฟิงอี้หันหลังจากไป เวลานี้นางรู้สึกเสียใจเล็กน้อย เพราะองครักษ์บุปผาไม่อยู่ที่นี่ มิเช่นนั้นด้วยการรวมกำลังกันห้าคน แม้ซูชิงฉือจะแข็งแกร่งเพียงใดก็ไม่สามารถต้านทานได้

เมื่อเห็นเฟิงอี้กลัวซูชิงฉือ หยางเย่บ่นพึมพำในใจ ‘นี่แหละความแข็งแกร่ง มันเป็นเช่นนี้แหละ! เราจะต้องแข็งแกร่งให้ได้เช่นกัน จะต้องแข็งแกร่งกว่านี้…’

“พี่หญิง ได้โปรดช่วยท่านแม่ข้าด้วยได้หรือไม่!?” เสี่ยวเหยาอ้อนวอนซูชิงฉือ ถึงแม้ไม่ทราบว่าพวกเขาแข็งแกร่งเท่าไหร่ นางก็ทราบดีว่าพี่หญิงคนนี้ร้ายกาจ เพราะสตรีก่อนหน้าที่บินได้เองยังเกรงกลัวพี่หญิงคนนี้ ดังนั้นเสี่ยวเหยาจึงรู้สึกว่าพี่หญิงคนนี้เหมือนความหวัง และนางคงสามารถช่วยมารดาได้

หยางเย่มองไปที่ซูชิงฉือเมื่อได้ยินเสี่ยวเหยา เขาจะรู้สึกขอบคุณจากใจหากนางยอมช่วยเหลือในครั้งนี้

เมื่อเห็นสายตาที่เต็มไปด้วยความคาดหวังของพวกเขา ซูชิงฉือรู้สึกว่าไม่สามารถปฏิเสธได้ แต่ท้ายที่สุดนางก็ต้องส่ายหัว เพราะแค่ช่วยเหลือหยางเย่มันก็ทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างทั้งสองมหาอำนาจแล้ว หากนางไปช่วยมารดาเขา เช่นนั้นคงไม่ง่าย ด้วยสถานการณ์ปัจจุบันของสำนักดาบราชันยังไม่สู้ดี นางจึงไม่อาจสร้างความขัดแย้งเพิ่มขึ้นระหว่างสองมหาอำนาจ

เสี่ยวเหยาเหมือนจะกล่าวบางอย่าง แต่หยางเย่ได้ห้ามไว้พร้อมกล่าว “เสี่ยวเหยา อย่าขอร้องอีกเลย พี่ใหญ่จะช่วยท่านแม่เอง ที่ใหญ่สัญญาว่าจะช่วยท่านแม่ให้ได้ และครอบครัวเรากลับมาอยู่กันพร้อมหน้าอีกครั้ง!”

ฮือ ฮือ

ไม่นาน นางได้เผลอหลับด้วยความเหนื่อยล้าในอ้อมแขนหยางเย่

“เจ้าไม่พอใจที่ข้าปฏิเสธหรือเปล่า?” ขณะเดียวกันซูชิงฉือหันไปถามหยางเย่ นางมาได้ถูกเวลา เพราะทราบว่าหลิวชิงอวี่พร้อมกับศิษย์อีกสองคนจากสำนักดาบราชันมาก่อเรื่องในเมืองทักษิณภิรมณ์ แต่ไม่คาดคิดว่าจะเจอเหตุการณ์นี้แทน

หยางเย่ลูบหัวเสี่ยวเหยาพร้อมกล่าวเบา “ข้าไม่พอใจเล็กน้อยในตอนแรก แต่ไม่อีกแล้ว ข้ารู้สึกประหลาดใจและขอบคุณท่านที่กล้าต่อต้านราชวังบุปผาเพื่อข้ากับน้องสาว อย่ากังวลมันจะไม่สูญเปล่าแน่นอน ข้าจะฝึกฝนอย่างหนักเพื่อเข้าสู่เทียบอันดับสวรรค์ให้ได้!”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ดาบหยกในมือซูชิงฉือสั่นเล็กน้อย ริมฝีปากนางที่กำลังจะขยับ แต่ท้ายที่สุดก็หาได้เอ่ยสิ่งใดไม่