บทที่ 136 ข้าเสียใจที่ทำให้ทหารของเจ้าล้มตาย

ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี

จี้หยกที่ซูเซียงเสวี่ยถืออยู่ในมือมีคำว่า ‘ยืนหยัด’ สลักอยู่ ไป๋ชิวหรานก็ไม่รู้ว่ามันหมายความว่าอย่างไรเช่นกัน

“หลังจากข้าค้นพบหนทางการบรรลุสู่ขั้นสร้างรากฐานแล้ว ข้าต้องไปเยือนมหาวิหารฝูซางแห่งนี้ให้จงได้”

ว่าแล้วไป๋ชิวหรานก็หยิบจี้หยกคืนมาจากซูเซียงเสวี่ย

“จัดการกับเรื่องที่อยู่ตรงหน้าให้เสร็จสิ้นเสียก่อนเถอะ”

ซูเซียงเสวี่ยจึงหันกลับไปนำกำลังพลกวาดต้อนเชลยศึกต่อไป ขณะที่ไป๋ชิวหรานพาอสูรสองสามตนลงไปยังคุกใต้ดิน เพื่อค้นหาองค์ชายอสรพิษดำ องค์ชายและองค์หญิงอสูรอีกสี่ตนที่ถูกองค์ชายหมีขาวคุมขัง

เพราะพวกเขาไม่ใช่ไป๋ชิวหราน เมื่อถูกจิตรกรรมน้ำหมึกเซียนโจมตี จึงทำให้ทั้งสี่ถูกผูกมัดด้วยกุญแจมือและแขวนร่างไว้บนผนัง กระแสจิตของพวกเขายังคงอยู่ในภาวะสูญเสียการรับรู้

ไป๋ชิวหรานสั่งให้ผู้ติดตามสาดน้ำเย็นใส่ร่างเพื่อปลุกพวกเขาให้ฟื้นขึ้น องค์ชายอสูรหลายตนต่างส่งเสียงคร่ำครวญด้วยความเจ็บปวดขณะตื่นขึ้น ทันทีที่เห็นชายหนุ่มปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าเสมือนภาพอันเลือนราง จากนั้นก็ได้สติคืนกลับมาอย่างรวดเร็วด้วยความตื่นตระหนก

สิ่งแรกที่พวกเขารู้สึกคือความตื่นตกใจ แต่แล้วสีหน้าของพวกเขากลับแปรเปลี่ยนเป็นปีติยินดีอีกครั้ง ก่อนที่พวกเขาจะเอ่ยถาม

“บรรพชนสำนักกระบี่ชิงหมิง ท่านเอาชนะได้แล้วหรือ?”

“ใช่”

ไป๋ชิวหรานเผยรอยยิ้มพร้อมพยักหน้า

“ตื่นเสียทีเถิด สงครามกลางเมืองจบลงแล้ว”

“ว่าอย่างไรนะ?!”

องค์ชายอสรพิษดำพยายามดิ้นรนให้หลุดจากพันธนาการอยู่ครู่หนึ่งก่อนเอ่ยถาม

“ผลลัพธ์เป็นอย่างไรบ้าง?”

“มีทั้งข่าวดีและข่าวร้าย เจ้าต้องการรับฟังเรื่องราวแบบใดก่อนล่ะ?”

ไป๋ชิวหรานถามกลับ

เห็นได้ชัดว่าองค์ชายกับองค์หญิงอสูรทั้งสี่เกิดความไม่สบายใจเล็กน้อย หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง องค์ชายอสรพิษดำจึงตอบกลับด้วยความลังเล

“เช่นนั้นพวกเราขอฟังข่าวดีก่อน”

“ข่าวดีก็คือ เซียงเสวี่ยและกองทัพจากโลกมารฝ่ายตะวันตกเป็นผู้ชนะในการทำสงคราม กองทัพโลกมารฝ่ายเหนือและกองทัพจักรวรรดิอสูรพ่ายแพ้อย่างราบคาบ”

ไป๋ชิวหรานก้มศีรษะลงเล็กน้อยขณะบอกกล่าว

“ว่าอย่างไรนะ?! ฝ่ายเราชนะแล้วอย่างนั้นหรือ?!”

องค์ชายอสูรทั้งสี่ต่างรู้สึกยินดียิ่ง องค์หญิงบุปผาจึงเอ่ยถามต่อไปด้วยความระมัดระวัง

“แล้วข่าวร้ายเล่า?”

“อืม เซียงเสวี่ยไม่เคยเรียนรู้ทักษะการจัดกระบวนทัพในการต่อสู้มาก่อน… ทำให้นำกองทัพของพวกเจ้าไปให้ฝ่ายตรงข้ามกวาดล้างเกือบทั้งหมด”

สีหน้าของไป๋ชิวหรานเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด

“ตอนนี้กองกำลังหลงเหลืออยู่เพียงยี่สิบนายเท่านั้น ข้าเสียใจที่ทำให้ทหารของเจ้าล้มตาย”

องค์ชายหมีขาวกับองค์ชายจิ้งจอกขาวหลบหนีกลับไปยังโลกมารฝ่ายเหนือ ชางหวงอวี่ในฐานะผู้นำองค์ชายอสูรของฝ่ายจักรวรรดิอสูรยอมรับความพ่ายแพ้ เพราะคงไม่มีผู้ใดที่มีระดับพลังแข็งแกร่งเพียงพอจะต่อกรกับซูเซียงเสวี่ยได้อีก กล่าวได้ว่าโลกมาร ณ ปัจจุบันได้รวมกันเป็นหนึ่งเดียวด้วยฝีมือของซูเซียงเสวี่ย บรรลุผลลัพธ์ตามแผนการขององค์ชายอสรพิษดำและองค์ชายอสูรตนอื่น ๆ

ทว่าในขณะเดียวกัน กองทัพอันเกรียงไกรของโลกมารฝ่ายตะวันตกก็จบสิ้นลงเพราะการนำทัพชั่วคราวของซูเซียงเสวี่ย นับว่าองค์ชายอสรพิษดำวางแผนคำนวณเป็นอย่างดีในการดึงไป๋ชิวหรานให้เข้าร่วมกับฝ่ายตนเพื่อทำสงครามกลางเมืองในโลกมาร เพราะภายในโลกมารไม่มีผู้ใดเลยที่จะมีความสามารถเหนือไปกว่าเขา!

ถึงอย่างนั้นเขากลับคำนวณผิดไปประการหนึ่ง แม้ว่าแผนที่ของหลุมศพจักรพรรดิอสูรองค์แรกนั้นจะมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งสำหรับไป๋ชิวหราน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าแผนที่ดังกล่าวจะทำให้ชายหนุ่มเพิกเฉยต่อเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่อาศัยอยู่ในเก้ามหาทวีปสิบแผ่นดิน!

โลกมารที่รวมกันเป็นหนึ่งโดยไร้ซึ่งระบอบแนวคิดเรื่องลำดับชั้นทางสายเลือด จึงถือเป็นปัญหาร้ายแรงสำหรับเผ่าพันธุ์มนุษย์ในเก้ามหาทวีปสิบแผ่นดิน

ราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์ในยุคสมัยโบราณ ถือกำเนิดขึ้นจากราชวงศ์เซียนที่รวมกำลังกันเป็นหนึ่งเดียวทั้งยังทรงพลังยิ่ง ทำให้โลกมารต้องเผชิญกับความพ่ายแพ้และไม่มีความกล้าที่จะรุกรานเข้าโจมตีอีกต่อไป จากภูมิความรู้ที่จื้อเซียนบอกกล่าว ขณะนั้นราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์ก็ได้ประสบกับความสูญเสียอย่างใหญ่หลวงเช่นเดียวกัน

กล่าวโดยสรุปคือ มวลมนุษยชาติในปัจจุบันเพิ่งก้าวสู่การฟื้นคืนชีพ หลังจบสงครามระหว่างเผ่ามนุษย์และอสูรเผ่ามาร

ตอนนั้นจำนวนของอสูรเผ่ามารจะมีน้อยกว่าเผ่ามนุษย์ในเก้ามหาทวีปสิบแผ่นดินมาก และกว่าจะเรียกได้ว่าเป็นอสูรเผ่ามาร ต้องมีความสามารถในการแปลงกายได้ในระดับผู้ฝึกตนที่บรรลุขั้นสร้างรากฐาน

หลังจากเผ่าพันธุ์ดังกล่าวผ่านการพัฒนามาหลายร้อยหลายพันปี จึงทำให้มีจำนวนมากกว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์อย่างไม่ต้องสงสัย

อย่างน้อยภายในเก้ามหาทวีปสิบแผ่นดิน นอกเหนือจากกลุ่มพันธมิตรผู้ฝึกตนฝ่ายธรรม หรือแม้แต่กลุ่มพันธมิตรผู้ฝึกตนฝ่ายมาร เป็นไปไม่ได้เลยที่เผ่ามนุษย์จะรวมตัวกันเป็นกองทัพเพื่อต่อสู้เฉกเช่นเดียวกันกับสงครามกลางเมืองครั้งนี้

เพื่อที่เผ่าพันธุ์จะยังพอมีโอกาสสั่งสมการพัฒนาเพิ่มขึ้นอีก อสูรเผ่ามารจำเป็นต้องคงสภาพกึ่งตายนี้ไว้

ในตอนแรกไป๋ชิวหรานไม่ได้คิดถึงผลกระทบในวงกว้าง ทว่าในช่วงเริ่มต้นของสงครามกลางเมือง โลกมารฝ่ายเหนือกับกองทัพจักรวรรดิอสูรได้ล่วงรู้ว่าโลกมารฝ่ายตะวันตกมีกำลังสนับสนุนเป็น ‘บรรพชนสำนักกระบี่ชิงหมิงแห่งเผ่าพันธุ์มนุษย์’ แต่พวกเขาก็ยังคงเลือกบุกเข้าโจมตีโลกมารฝ่ายตะวันตกอย่างสุดกำลัง เห็นได้ชัดว่าต้องการบีบบังคับให้เขาออกไป

ด้วยเหตุนี้ จึงมีเพียงพวกเขาเท่านั้นที่สามารถจัดการกับไป๋ชิวหราน หรือเป็นเพราะคิดว่าสามารถรับมือกับไป๋ชิวหรานได้…

แม้ว่าชายหนุ่มจะยังไม่สามารถคาดเดาได้ว่ากลวิธีดังกล่าวคือสิ่งใดแน่ แต่คงไม่ใช่สิ่งที่จักรพรรดิอสูรผู้อ่อนประสบการณ์จะรับมือได้อย่างแน่นอน

ดังนั้นในสงครามสู้รบ ณ หุบเขาเหยียนชาน ไป๋ชิวหรานจึงตั้งเป้าหมายว่าจะเอาชนะกองกำลังของศัตรูได้เกือบทั้งหมดภายในคราวเดียว โดยละเว้นไว้เพียงองค์ชายจิ้งจอกขาว… จากนั้นชายหนุ่มก็จะเล่นละครตามน้ำและปล่อยให้องค์ชายหมีขาวจับตัวเข้าไปขังอยู่ในจิตรกรรมน้ำหมึกเซียน

เพราะไป๋ชิวหรานตระหนักดีว่าแม้ตนเองจะได้รับการยอมรับ แต่ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ นอกเหนือจากซูเซียงเสวี่ยก็ยังคงมีองค์ชายอสูรอีกห้าตนจากโลกมารฝ่ายตะวันตกที่ยังไม่สูญสิ้นชีพ แม้ว่าองค์ชายหมีขาวจะบาดเจ็บจนแทบเอาชีวิตไม่รอด ทว่าเขาจะต้องหาวิถีทางเพื่อสกัดกั้นองค์ชายอสูรทั้งสี่ไว้

หลังจากที่ไป๋ชิวหรานปรากฏตัว ชายหนุ่มจึงวางแผนให้ซูเซียงเสวี่ยล่าถอยไปก่อน และหลังจากองค์ชายอสูรทั้งสี่ถูกองค์ชายหมีขาวจับตัวไปทั้งหมดแล้ว นางจึงได้ถือโอกาสนี้เข้ายึดกองทัพของโลกมารฝ่ายตะวันตกที่กำลังเคว้งคว้างเพราะไร้ผู้นำ

แผนการต่อไปจึงยิ่งเป็นเรื่องง่ายดาย ไป๋ชิวหรานแสร้งทำเป็นหมดสิ้นเรี่ยวแรง ก่อนจะเรียกใช้ปราณวิญญาณที่แท้จริงของตนเพื่อรวบรวมชิ้นส่วนแผนที่อีกสองส่วนที่เหลืออยู่ ขณะที่ซูเซียงเสวี่ยจงใจออกคำสั่งโดยไม่มีการวางกลยุทธ์ใด ๆ ทั้งสิ้น เพื่อให้กองกำลังของฝ่ายศัตรูกวาดล้างกองทัพโลกมารฝ่ายตะวันตกทางอ้อม!

กองกำลังหลักทั้งสามฝ่ายในโลกมารจึงได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง ซูเซียงเสวี่ยจึงได้กลายเป็นจักรพรรดินีอสูรองค์ใหม่ด้วยความสมเหตุสมผล นางสะสางสถานการณ์ในโลกมารให้เข้าที่เข้าทาง จากนั้นก็สละราชสมบัติ ด้วยวิธีดังกล่าว เก้ามหาทวีปสิบแผ่นดินจึงจะยังดำรงความสงบสุขได้ต่อไปอย่างน้อยสองพันปี

ไม่ต้องกล่าวถึงว่าในภายหลังบรรดาอสูรเผ่ามารที่เริ่มตาสว่าง จะก่นด่าสาปแช่งไป๋ชิวหรานกับซูเซียงเสวี่ยอย่างไรบ้าง หลังจากที่ชายหนุ่มบอกกล่าวผลลัพธ์กับองค์ชายอสูรทั้งสี่แล้ว ทำให้ท่าทีขององค์ชายอสูรทั้งสี่เต็มไปด้วยความคั่งแค้น

ท่าทีดังกล่าว ราวกับว่าพวกเขาเห็นครอบครัวของตนเองถูกระเบิดทำลายล้างจนร่างหมุนวนขึ้นไปอยู่บนอากาศ

“เวลาเช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้น กองทัพของเราจะเดินทัพเข้าไปยังเมืองหลวงของแคว้นจักรวรรดิ”

ไป๋ชิวหรานกล่าวอย่างใจเย็น

“ซูเซียงเสวี่ยจะขึ้นครองบัลลังก์ ณ ที่แห่งนั้น ในช่วงเวลาดังกล่าวองค์ชายอสูรทุกตนจะต้องอยู่เป็นสักขีพยาน”

องค์ชายอสูรทั้งสี่รีบหันมองหน้ากัน องค์ชายจระเข้ผู้มีนิสัยโหดเหี้ยมกว่าใครอยากเปิดฉากการโจมตีทันที ทว่าถูกองค์ชายอินทรีใช้สายตาห้ามปรามไว้

องค์ชายอินทรีโน้มศีรษะไปกระซิบสองสามประโยคข้างหูขององค์ชายจระเข้ ก่อนที่เขาและองค์หญิงบุปผาจะดึงอีกฝ่ายให้ถอยห่างออกไป

ในทางกลับกัน องค์ชายอสรพิษดำกลับหันหน้าไปทางไป๋ชิวหราน แล้วค้อมศีรษะลง

“ข้าน้อยขอแสดงความยินดีกับจักรพรรดินีเซียงเสวี่ย ที่สังหารและปราบปรามเหล่ากบฏจนราบคาบ เพื่อแก้ไขสถานการณ์ในโลกมาร ขอถวายพระพรให้พระองค์ทรงมีอายุยืนยาว อยู่คู่สวรรค์และโลกด้วยความเจริญรุ่งเรืองหมื่น ๆ ปี”

“เจ้าจะสรรเสริญนางต่อหน้าข้าด้วยเหตุใด?”

ไป๋ชิวหรานโคลงศีรษะเล็กน้อย ก่อนกล่าวต่อ

“ผู้ที่เจ้าควรกล่าวคำสรรเสริญ… อยู่ด้านนอกต่างหาก”

“ข้าได้ฟังข่าวดี จึงเกิดความตื่นเต้นยินดีจนลืมตนไปชั่วขณะ”

องค์ชายอสรพิษเผยรอยยิ้ม ใบหน้าเต็มไปด้วยร่องรอยแห่งความประจบประแจง

“เจ้าเหมือนหางเสือที่แล่นไปตามลม*[1] อย่างรวดเร็ว”

ไป๋ชิวหรานชำเลืองมองพวกเขาเล็กน้อย ก่อนจะหันหลังกลับเดินออกจากห้องขังไป

“อย่าอยู่ที่นี่ต่อเลย ออกไปเสียเถิด”

ทันทีที่เห็นไป๋ชิวหรานเดินจากไป องค์ชายอสูรอีกสามตนจึงรีบก้าวเข้าไปหยุดอยู่ข้างกายองค์ชายอสรพิษดำทันที องค์ชายจระเข้เป็นคนแรกที่เอ่ยถามด้วยความโกรธเคือง

“เจ้างูดำ? เจ้าจะยอมสละผลแห่งชัยชนะไปอย่างง่ายดายเช่นนี้อย่างนั้นหรือ?! มีพี่น้องกี่คนที่ต้องสังเวยชีวิตให้กับโลกมารฝ่ายตะวันตกของเราเพราะตำแหน่งนั้น?!”

“เจ้าจระเข้ รู้หรือไม่ว่าข้ารอดชีวิตจากไอ้องค์ชายนอกสมรสนั่น และยืนหยัดอยู่จนมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร?”

องค์ชายอสรพิษดำชี้ไปยังใบหน้าของอีกฝ่ายก่อนกล่าวต่อไป

“เป็นเพราะความไร้ยางอายอย่างไรล่ะ! ผู้ที่รู้เท่าทันสถานการณ์และมีใบหน้าที่ไร้ยางอายเท่านั้น ถึงจะอยู่รอดมีชีวิตมาอย่างยาวนานได้!”

[1] หางเสือแล่นไปตามลม คือ ปรับตัวไปตามสถานการณ์