ตอนที่ 135 โจรชั่ว?

หลีชิงได้ยินเสียงประตูบ้านหลังข้าง ๆ ถูกเปิดออกแล้วตามมาด้วยเสียงสดใสของเด็กสาว “ท่านแม่ทัพ ท่านมาหาใครหรือ ? ย่าเถียนบ้านข้าง ๆ ย้ายไปอยู่ในเขตเริ่นอันแล้ว หากท่านมาหาพวกเขาก็สามารถไปที่ร้านขายขนมและผลไม้อบหนิงจี้ เพราะอาเถียนเป็นหลงจู๊อยู่ที่นั่น ! ”

ผู้มาเคาะประตูคือแม่ทัพหนุ่มนายหนึ่ง เขามองประตูใหญ่ที่ถูกปิดสนิทครู่หนึ่ง จากนั้นก็เดินมาที่บ้านตระกูลหลินและกางรูปวาดชายชุดดำที่อยู่ในมือออกพลางกล่าวเสียงดังว่า “คนผู้นี้คือโจรชั่วมือเปื้อนเลือด พวกเราตามจนมาถึงภูเขาแถบนี้ เกรงว่ามันจะออกมาทำร้ายผู้คน ไม่ทราบว่าช่วงนี้กู่เหนียงเห็นใครน่าสงสัยบ้างหรือไม่ ? ”

หลินเว่ยเว่ยลองสังเกตภาพนั้นอย่างละเอียด…คิ้วก็หนา ตาก็ดุ ไม่เหมือนเลยสักนิด ! ไม่น่าแปลกใจเลยว่าเหตุใดคนในสมัยโบราณจึงปิดคดีได้น้อยและต้องมีคดีที่ตัดสินอย่างไม่เป็นธรรมเกิดขึ้นมากมาย

นางส่ายศีรษะแล้วกล่าวว่า “ข้าไม่เห็นคนแปลกหน้าเข้ามาในหมู่บ้าน…ช่วงนี้หมู่บ้านของเรามีฝูงหมาป่ามาเยือน พวกเราจึงไม่ได้ออกไปไหนเลย บ้านข้าอยู่หน้าหมู่บ้านและในบ้านก็ไม่มีผู้ชายอยู่ด้วย ดังนั้นในเวลาปกติจึงไม่เปิดประตูรับแขก เช่นนั้น…เหตุใดท่านไม่ลองไปถามชาวบ้านในส่วนลึกของหมู่บ้านดูเล่า ? ”

“ใครมาหรือ ? ” ทันใดนั้นเสียงอบอุ่นของชายหนุ่มก็ดังขึ้นทางด้านหลัง

หลินเว่ยเว่ยหันไปมองบัณฑิตหนุ่มแล้วกล่าวว่า “เจ้าหน้าที่ทางการมาจับกุมโจร ! ช่วงสองสามวันนี้เจ้าอย่าทำตัวปลีกวิเวกเพื่อไปนั่งอ่านตำราในหุบเขาเลย หากพบโจรชั่วขึ้นมาแล้ว บัณฑิตน้อยที่ไร้เรี่ยวแรงอย่างเจ้าอาจถูกฆ่าได้นะ ! ”

แม่ทัพหนุ่มมองเจียงโม่หานปราดหนึ่ง จากนั้นก็ละสายตาแล้วหันไปมอง ‘สมาชิกครอบครัว’ ที่กำลังทานอาหารมื้อค่ำอยู่แทน นอกจากเด็กหนุ่มกึ่งโตคนหนึ่งแล้วก็มีเด็กน้อยอีกคนที่เป็นบุรุษ นอกนั้นล้วนเป็นสตรีทั้งหมด เขาจึงคลายความสงสัยไปพอสมควร “ถ้าพวกเจ้ามีข่าวของโจรชั่วก็สามารถไปรายงานได้ที่เมืองจงโจว หากจับคนร้ายได้จะมีรางวัลเป็นเงิน 200 ตำลึง ! ”

“ว้าว ! 200 ตำลึง ! ดูสิ เจ้าอ่านตำราอันใดอยู่ ! อ่านมาตั้งหลายปียังเป็นแค่ถงเซิง ฝึกศิลปะการต่อสู้ดีจะตายไป ไม่เพียงทำให้ร่างกายแข็งแรงยังสามารถใช้ปกป้องคนในครอบครัวและในเวลาสำคัญยังช่วยทางการจับคนร้ายได้ด้วย แถมยังมีเงินรางวัลตั้ง 200 ตำลึง ! เฮ้อ ! เป็นนักปราชญ์ที่ไร้ประโยชน์…” ความโลภปรากฎขึ้นในแววตาของหลินเว่ยเว่ยขณะเดียวกันนางก็กล่าวด้วยน้ำเสียงเสียดาย

ทันใดนั้นแม่ทัพหนุ่มก็แสดงท่าทีรังเกียจแล้วเก็บรูปวาด จากนั้นก็พาลูกน้องเข้าไปตรวจตราในหมู่บ้านทันที

หลินเว่ยเว่ยมุ่ยปากแล้วปิดประตูบ้านอีกครั้ง แต่เจียงโม่หานที่อยู่ด้านข้างกล่าวว่า “หากเจ้ายอมมอบตัวชายข้างบ้านออกมาก็จะได้เงินรางวัลถึง 200 ตำลึงเชียวนะ ! ”

“200 ตำลึง ? มากนักหรือ ? ก็แค่สูตรขนมของข้าสูตรเดียวเท่านั้น ! ” หลินเว่ยเว่ยเงยหน้าขึ้นอย่างภาคภูมิใจ…เราเป็นพวกหน้าเงินหรือไร ?

เจียงโม่หานยังพูดเสริมอีกครั้ง “เจ้าไม่กลัวว่าเขาจะเป็นโจรโฉดจริงหรือ ? ”

“ตาข้าไม่ได้บอดเสียหน่อย ! คนเลวกับคนดี ข้าแยกแยะออก ! ” สำหรับฆาตกรหรือคนที่มือเปื้อนเลือดจะมีแววตากระจ่างใสได้เช่นไร ?

เจียงโม่หานเดินมาด้านข้างโต๊ะแล้วค่อย ๆ นั่งลง “คนเลวไม่ได้เขียนสองคำนี้ไว้บนหน้าผาก แม้ไม่ควรคิดร้ายต่อผู้ใด แต่พึงระวังคนมาคิดร้ายต่อเรา อย่าหลงเชื่อใครโดยง่าย ! ”

“รู้แล้วน่า จู้จี้จุกจิกอยู่ได้ ! ” หลินเว่ยเว่ยคีบปลากระรอกทอดราดซอสเปรี้ยวหวานขึ้นมากิน ด้านนอกกรอบด้านในรสเผ็ดจัดจ้าน เปรี้ยวหวานลงตัว รสชาติดีสุด ๆ ไปเลย !

เจียงโม่หานก็กินอาหารจานนี้เหมือนกัน “ปลากระรอกทอดราดซอสเปรี้ยวหวานนี้เป็นอาหารท้องถิ่นของซูโจวใช่หรือไม่ ? ”

หลินเว่ยเว่ยกะพริบตาแล้วตอบอย่างไร้เดียงสา “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน ข้าบังเอิญเห็นสูตรอาหารชนิดนี้จากตำราในเมือง ข้าช่างมีพรสวรรค์เสียจริง ทำครั้งแรกก็ออกมาสมบูรณ์แบบถึงเพียงนี้แล้ว ต้าฮว๋า เพราะเจ้าจึงทำให้บนโลกใบนี้ขาดแม่ครัวชื่อดังไปคนหนึ่งเลยนะ ช่างน่าเสียดาย ! ”

หลินจื่อเหยียนเงยหน้าขึ้นจากโต๊ะอาหารแล้วถามด้วยความงงงวย “ข้าหรือ ? เหตุใดจึงเป็นเพราะข้า ? ”

“ก็เดิมทีข้าอยากเปิดร้านอาหารตรงท่าเรือ พวกหมูตุ๋นน้ำแดง ปลากระรอกทอดราดซอสเปรี้ยวหวานแล้วยังมีปลาต้มในน้ำซุป ขาหมูตุ๋นน้ำแดง…ที่ข้าเคยทำทั้งหมดก็มากเกินพอที่จะเปิดร้านอาหารได้แล้ว รวมกับขนมอร่อยของข้าอีกนานาชนิด ถ้าร้านอาหารของเราไม่ดังก็คงจะแปลก ! แต่น่าเสียดาย…เพราะเจ้าต้องสอบซิ่วไฉ แผนการและความคิดของข้าจึงต้องหยุดอยู่แค่นั้น ! น่าเสียดายอาหารอร่อยเหล่านี้มาก ! ” หลินเว่ยเว่ยทำหน้าเศร้าสร้อย

“จะน่าเสียดายได้อย่างไร ? ท่านก็สามารถทำให้คนในบ้านกินได้นี่ ! ” หลินจื่อเหยียนไม่คิดเช่นนั้น “อีกอย่าง งานครัวก็เหนื่อยจะตาย ! ต้องเอาแต่ล้างโน้นล้างนี่อยู่ในครัวทั้งวัน ผ่านไปไม่กี่ปีท่านก็จะกลายเป็นป้าหน้าแก่แล้ว ! ”

เอ่ยมาถึงตรงนี้เขาก็กวาดสายตามองเจียงโม่หาน “พี่รอง ท่านทำอาหารเก่ง ในอนาคตจะต้องหาสามีได้อย่างแน่นอน ท่านเองก็เคยพูดไม่ใช่หรือว่าการจะมัดใจใครสักคนได้ เราต้องจับท้องของเขาให้ได้เสียก่อน ! ”

พอได้ยินเช่นนั้น เจียงโม่หานก็กวาดสายตามองหลินเว่ยเว่ยแล้ว ‘ตั้งใจ’ เพลิดเพลินกับอาหารเลิศรสต่อไป ส่วนหลินเว่ยเว่ยหัวเราะคิกคัก “ข้าต้องหาสามีได้อยู่แล้ว รอให้ปีหน้าน้องชายของข้าสอบซิ่วไฉได้ แล้วพี่สาวของซิ่วไฉคนนี้ยังต้องกังวลเรื่องออกเรือนอีกหรือ ? จะทำอาหารต้องดูที่อารมณ์ก่อน ถ้าไม่ใช่เพราะเอาไว้หาเงินก้อนโต ข้าก็จะทำให้คนที่ชอบกินเท่านั้น ! ”

ทันใดนั้นเจ้าหนูน้อยก็รีบยกมือขึ้นมา “พี่รอง หนูน้อยคนนี้เป็นคนที่ท่านชอบหรือไม่ ? ”

“แน่นอนสิ ! เจ้าหนูน้อยน่ารักถึงเพียงนี้ ทั้งยังรู้ความ ใครจะไม่ชอบบ้าง ? ” หลินเว่ยเว่ยหอมแก้มเจ้าหนูน้อยจนทิ้งรอยคราบน้ำมันไว้เป็นวง

เจ้าหนูน้อยจึงทำหน้ามีความสุข ดวงตาคู่โตของเขากวาดมองรอบโต๊ะอาหาร จากนั้นก็ถามอีกครั้งว่า “พี่รอง พี่รอง พี่โม่หานก็เป็นคนที่ท่านชอบด้วยหรือ ? ”

“ใช่ ! ” หลินเว่ยเว่ยตอบอย่างมั่นใจ นางไม่ได้เว้นช่วงในการคิดหรือเขินอายแม้แต่น้อย “บัณฑิตน้อยรูปงามถึงเพียงนี้ แถมยังมีใบหน้าที่ทำให้เทพเซียนหรือภูติผีต้องร่ำไห้1…จะมีใครไม่ชอบบ้างเล่า ? ”

ทันใดนั้นหลังมือของนางก็โดนเคาะด้วยตะเกียบ “อย่าใช้สำนวนมั่วซั่ว ! ”

“น้าเฝิง ท่านดูสิ ! บัณฑิตน้อยรังแกข้า ! ” หลินเว่ยเว่ยยกหลังมือที่ทิ้งรอยแดงขึ้นมาแล้วบ่นคร่ำครวญกับนางเฝิง

นางเฝิงรีบง้างมือขึ้นทันที จากนั้นก็ฟาดลงไปอย่างเบามือ “ข้าช่วยตีคืนให้แล้ว ! ”

เจียงโม่หานโดนตีไหล่สองสามครั้ง แม้แรงที่มากระทบจะไม่มากไปกว่าการปัดฝุ่นให้เด็กน้อย แต่เขาก็อยากพูดว่า ‘ใครเป็นลูกแท้ ๆ กันแน่ ? ’ …แค่กแค่ก…ช่างเถิด ก็ไม่ใช่ทั้งนั้น !

หลังมื้ออาหารค่ำจบลง คนในครอบครัวก็มารวมตัวกันเพื่อชมจันทร์และกินขนมไหว้พระจันทร์ตรงลานบ้าน แต่หลินเว่ยเว่ยกลับย้ายบันไดไปทางฝั่งผนังบ้านตระกูลเถียน จากนั้นก็ปีนขึ้นไปราวกับลิง เมื่อนั่งบนกำแพงได้แล้ว นางก็ย้ายบันไดไปทางฝั่งหนึ่งแล้วกระโดดลงไปในลานบ้าน

หลังได้ยินเสียงความเคลื่อนไหว หลีชิงก็เห็นฉากนี้จากทางหน้าต่าง เขาจึงแกล้งหยอกนางว่า “ไอหยา ! มองจากท่าทางแล้วคงปีนกำแพงบ้านผู้อื่นบ่อยสิท่า คาดไม่ถึงเลยว่าหลินกู่เหนียงยังมีงานอดิเรกเช่นนี้ด้วย ! ”

ต่อจากนั้นหลินเว่ยเว่ยก็เก็บถ้วยชามใส่ตะกร้าแล้วใช้สายตาเค้นถามเขา “โจรชั่วไม่มีสิทธิ์วิจารณ์ผู้อื่น ! บอกมาเถิด เหตุใดเจ้าจึงถูกเจ้าหน้าที่เหล่านั้นตามจับ ? ”

“เพราะข้าพยายามลอบสังหารท่านโหว2 เจ้ากลัวหรือไม่ ? ” รอยยิ้มบนใบหน้าของหลีชิงได้จางหายไป สิ่งที่เหลืออยู่คือความเกลียดชังอันไร้ขอบเขต

“ข้าจะกลัวสิ่งใด ? เจ้าหน้าที่ทางการเหล่านั้นไม่ได้มาจับข้าเสียหน่อย ! ” หลังเก็บถ้วยชามเสร็จแล้ว นางก็ทิ้งกระบอกน้ำไว้กระบอกหนึ่ง จากนั้นก็ไม่ได้กล่าวเรื่องไร้สาระใดกับเขาอีก เพียงปีนกำแพงกลับทางเดิมเท่านั้น

1 เทพเซียนหรือภูตผีต้องร่ำไห้ หมายถึง น่าทึ่งและน่าประทับใจมาก

2 โหว ไม่ใช่ตำแหน่งที่เกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ในทางราชการโดยตรง แต่เป็นฐานันดรศักดิ์หรือชนชั้นทางสังคมที่แปลว่าไม่ใช่คนสามัญ การจะมีฐานะเป็นโหวได้มีสองแบบคือ โดยกำเนิดเป็นบุตรของอ๋องหรือแต่งตั้งโดยฮ่องเต้เนื่องจากทำความดีความชอบแก่แผ่นดิน

ตอนต่อไป