“เช็ดเหงื่อซะ” ไท่ซ่างหวงร้องสั่งเสียงดัง

หยวนชิงหลิงรีบหยิบผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดเหงื่อให้เขา “พักสักหน่อยนะเพคะ ดื่มน้ำดื่มท่าก่อนค่อยทำต่อก็ได้”

“ใกล้จะเสร็จแล้วแหละ แค่แกะสลักลวดลายมังกรอีกสองสามลาย เพื่อพรางปุ่มที่ซ่อนอยู่ก็เรียบร้อย” ไท่ซ่างหวงผินหน้ามามองนางแบบนิ่งๆ “พูดถึงเรื่องเจ้าพระยาหุ้ยติ่งนั่น เจ้าไม่สนใจว่าจะเสื่อมเสียชื่อเสียง กระทั่งเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยง ก็ไม่ควรปลอมตัวเป็นผู้ชาย แต่ควรไปปรากฏตัวต่อหน้าเขาในฐานะพระชายาตรงๆ ไปเลย เช่นนั้นจะสามารถดึงดูดความสนใจของเขาได้มากกว่า จะให้ดีที่สุดคือดึงดูดจนใจเขาเตลิดเปิดเปิงไปเลยก็ยิ่งเหมาะ”

หยวนชิงหลิงเอ่ยถามว่า “มันแตกต่างกันตรงไหนล่ะเพคะ เขารู้อยู่แล้วว่าข้าคือพระชายาฉู่”

ไท่ซ่างหวงตอบว่า “เขาแสร้งทำเป็นไม่รู้ เมื่อเสร็จเรื่องหลังจากนั้น ก็แค่ฆ่าทิ้งซะ ใครจะรู้ล่ะว่าเจ้าตกอยู่ในเงื้อมมือของเขา เช่นนั้นไม่เท่ากับว่าเจ้าต้องตายไปเปล่าๆ หรอกหรือ แต่ถ้าเจ้าอยู่กับเขาในฐานะพระชายา ย่อมมีพยานยืนยันได้มากกว่า แล้วถ้าเกิดว่าเจ้าตายไป ต่อให้หาหลักฐานพิสูจน์ไม่ได้ว่าเขาเป็นคนทำ แต่อย่างน้อยก็ยังสามารถตั้งข้อหาในความผิดของเขาได้ เช่นนี้ต่างหาก ความตายของเจ้าจึงจะคุ้มค่า”

เมื่อหยวนชิงหลิงได้ฟังที่ไท่ซ่างหวงกล่าวมาแล้ว ถึงกับไม่ชื่นชมไม่ได้เลยทีเดียว นี่คือจิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์ชัดๆ

“ก่อนจะทำอะไร เจ้าจะต้องคิดถึงขั้นตอนที่ได้ผลแน่นอนที่สุดไว้ล่วงหน้า และทำสิ่งต่างๆ เหล่านั้นไปตามขั้นตอน ด้วยความคิดที่ว่าต่อให้ตัวเจ้าเองต้องตาย ก็จะไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายได้อยู่อย่างเป็นสุข เมื่อทำเช่นนั้น เรื่องต่างๆ จึงจะมีประสิทธิภาพสูงสุด”

“ได้ฟังคำสอนของไท่ซ่างหวงแล้ว มีประโยชน์อย่างเหลือคณานับจริงๆ เพคะ”หยวนชิงหลิงรับฟังอย่างจริงจังตั้งใจ หากคิดๆ ไปแล้ว เรื่องนี้มันก็อันตรายเกินไปจริงๆ นั่นแหละ หากไม่ใช่เพราะเจ้าตอเป่ากับคู่ของมันมาช่วยนางไว้ เรื่องก็คงเป็นเหมือนดั่งที่ไท่ซ่างหวงว่ามา คือตายเปล่า ทั้งยังทำให้ศัตรูได้มีช่วงเวลาดีๆ ก่อนที่นางจะตายอีกด้วย

ฉางกงกงพูดว่า “พระชายาต้องจำไว้ให้ขึ้นใจนะพ่ะย่ะค่ะ คำสอนจากองค์ไท่ซ่างหวงนั้น หาได้ยากยิ่งที่จะถ่ายทอดบอกต่อแก่ผู้อื่น นับได้ว่ามีท่านนี่ล่ะ ที่เป็นคนแรก”

มันมืดมนเกินกว่าที่คิดไว้มาก

“ข้าเข้าใจแล้ว” หยวนชิงหลิงตอบรับ ใกล้ชิดไท่ซ่างหวงไปอีกขั้นจากจิตใต้สำนึก อย่างไม่รู้ตัว นี่เป็นพึ่งพาเลยนะ

“ออกจากวังไปซะไป อย่ามาขัดขวางคนทำงานทำการ” ไท่ซ่างหวงกลับผลักหัวเบาๆ ไล่นางกลับ “พรุ่งนี้เจ้าต้องไปจวนอ๋องหวยไม่ใช่หรือ รีบกลับไปเตรียมตัวให้พร้อมก่อนเถอะ”

“ท่านทราบข่าวแล้วหรือเพคะ” หยวนชิงหลิงตกใจจนผงะ นางเพิ่งตรงมาจากห้องทรงพระอักษรโดยไม่มีการแวะที่ไหนระหว่างทางทั้งสิ้น อีกทั้งยังไม่เห็นใครที่มารายงานข่าวให้เขาทราบเลยสักคนด้วย

“เรื่องนี้เดาเอาก็รู้แล้ว เรื่องที่เจ้าทั้งสองทะเลาะกัน แล้วตกลงไปในทะเลสาบ ก็ไม่ใช่เรื่องของวันนี้ หากฮ่องเต้ต้องการถาม ก็คงเรียกไปถามตั้งนานแล้ว เจ้าคิดว่าเขาต้องรอให้หลู่เฟยมาร้องห่มร้องไห้เล่าให้ฟังถึงจะรู้จริงๆ น่ะหรือ ตอนเกิดเรื่องไม่ถาม พอมาวันนี้จู่ๆ ก็เรียกมาถามเสียดื้อๆ แน่นอนล่ะว่า เพราะต้องการจะดูทิศทางความคิดของเจ้า อีกทั้งสิ่งที่จะทำให้เจ้าถูกคนใช้ประโยชน์ได้ ก็คือทักษะทางการแพทย์สุดอัศจรรย์พันลึก ที่ยากจะอธิบายพวกนั้นของเจ้าเท่านั้นแล้ว แต่ที่ตลอดมาเขาไม่เคยใช้เจ้า ก็เพราะเขาไม่ต้องการให้เจ้าต้องรับผิดชอบการตายของราชนิกุลชั้นอ๋อง แต่มาถึงตอนนี้ เขาเองก็ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว สำหรับคนเป็นพ่อแล้ว สิ่งที่น่าเศร้าที่สุด ก็คือการที่ต้องเป็นคนผมขาว ไปยืนส่งศพคนผมดำที่จากไปก่อนนี่ล่ะ” ไท่ซ่างหวงเอ่ยจบ ก็ถอนหายใจเบาๆ

หยวนชิงหลิงอดไม่ได้ ที่จะรู้สึกเคารพยกย่องชายผู้นี้จากก้นบึ้งของหัวใจจริงๆ ช่างสมกับเป็นคนที่ใช้ชีวิตมานาน ผ่านร้อนผ่านหนาวมาจนเข้าใจทุกอย่างบนโลกใบนี้อย่างถึงแก่น ไม่ว่าใครก็ไม่อาจซ่อนเร้น ปิดบังความคิดให้พ้นไปจากสายตาของเขาได้แม้แต่คนเดียว

หากว่าท่านผู้เฒ่าท่านนี้ ยังคงเป็นคนที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ของในประเทศนี้อยู่ เกรงว่าพวกตระกูลฉู่คงจะไม่กล้าทำตัวเหิมเกริม กำเริบเสิบสานอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้แน่

ฉลาดทันคน!

“แล้วเมื่อไรท่านถึงจะมอบไม้ปราบผัวนี้ให้ข้าหรือเพคะ” หยวนชิงหลิงยืนขึ้นพลางเอ่ยถาม

“นี่เป็นรางวัลที่จะมอบให้ตามหลัง ต้องมีราชโองการออกมาด้วย ไม่อย่างนั้นแล้ว ใครหน้าไหนมันจะเห็นเจ้าไม้นี่อยู่ในสายตากันเล่า”ไท่ซ่างหวงหันกลับมา แล้วเริ่มวุ่นวายกับเครื่องไม้เครื่องมือต่างๆ มากมายตรงหน้า หยิบสว่านหัวเจาะรูปทรงยาวๆ ที่ดูแปลกตาออกมาดอกหนึ่ง

หยวนชิงหลิงยกยิ้มพลางพูดว่า “มีเหตุผลมากเพคะ มีเหตุผลมาก”

นางคิดอยากจะเอื้อมมือไปหยิบมีดแกะสลัก ไท่ซ่างหวงพลันหันมาจ้องนางตาเขม็ง “ของสำคัญของข้า เจ้ายังกล้าแตะต้องรึ รีบไสหัวกลับไปได้แล้ว”

ตอนที่เข้าวังไป นางยังต้องเดินก้มหัวห้อยต่ำแทบแย่ แต่พอตอนออกจากวัง หยวนชิงหลิงกลับเชิดหน้าคอตั้ง เดินออกมาอย่างสง่าผ่าเผยเป็นที่สุด

การมีคนใหญ่คนโตที่ทรงอิทธิพลหนุนหลังอยู่ มันเป็นอะไรที่กร่างได้เต็มที่แบบนี้นี่เอง

มู่หรูกงกง ก็ไปยังจวนอ๋องหวยเพื่อประกาศพระราชโองการแล้ว โดยแจ้งว่าฝ่าบาททรงแต่งตั้งหมอท่านหนึ่งเพื่อมารักษาอาการป่วยของอ๋องหวย ให้ทางจวนอ๋อง ตระเตรียมที่พักรับรองแก่ท่านหมอให้เรียบร้อย

ในเวลาเดียวกัน หลู่เฟยก็ได้รู้ข่าวเรื่องที่ว่า ฮ่องเต้ทรงมีรับสั่งให้ส่งบรรดาหมอหลวงทุกคนในจวนอ๋องหวยออกไปทั้งหมด แล้วส่งหยวนชิงหลิงมาทำการรักษาอ๋องหวยแทน

นางโกรธจัดจนขว้างปาทำลาย ทุบตีข้าวของทุกอย่างที่ทุบตีได้ภายในตำหนักจนหมดสิ้น ทุบตีข้าวของเสร็จ ก็ไปร้องห่มร้องไห้ที่ห้องทรงพระอักษร บอกว่าจะออกจากวังไปดูแลโอรสด้วยตนเอง หากฝ่าบาทไม่ทรงอนุญาต นางก็จะไม่ขอมีชีวิตอยู่อีกต่อไปแล้ว

สิ่งที่ฮ่องเต้หมิงหยวนกลัวที่สุด ก็คือผู้หญิงร้องไห้ฟูมฟายไม่ฟังเหตุผล จึงโบกๆ พระหัตถ์แล้วตรัสไปว่า “ข้าอนุญาต”

หลังจากได้ยินคำนี้ หลู่เฟยก็หยุดร้องไห้ทันที เปลี่ยนสีหน้าเป็นเคร่งขรึมจริงจัง กล่าวขอบพระทัยฝ่าบาท แล้วรีบไปเก็บข้าวของเตรียมออกเดินทาง

มู่หรูกงกงเอ่ยถามว่า “ฝ่าบาท พระสนมหลู่เฟย จะไปขัดขวางการรักษาของพระชายาหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”

“ขวางแน่!” ฮ่องเต้หมิงหยวนตอบกลับทันที

“แล้ว…แล้วเหตุใดพระองค์ถึงได้ปล่อยในพระนางไปล่ะพ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้หมิงหยวน จ้องมองมู่หรูกงกงอย่างลึกซึ้งครู่หนึ่ง แล้วจึงส่ายพระพักตร์ “เจ้าคงไม่เข้าใจเรื่องนี้ไปตลอดชีวิตของเจ้าเป็นแน่”

“ข้าน้อยโง่เขลานัก หากฝ่าบาททรงชี้แนะ ข้าน้อยคงจะเข้าใจได้พ่ะย่ะค่ะ” มู่หรูกงกงขอคำแนะนำอย่างถ่อมตน

ฮ่องเต้หมิงหยวนทำเมินเฉยใส่เขาไปตรงๆ

คุยเรื่องผู้หญิงกับขันทีชราไป รังแต่จะเปลืองน้ำลายเปล่าๆ

ในจวนอ๋องฉู่ หยู่เหวินเห้ารอคอยด้วยความกังวลใจอย่างยิ่ง หลังจากที่เขากลับมาถึงจวน คนในจวนก็มารายงานเขาว่า จู่ๆ มหาดเล็กกู้ก็มานำตัวหยวนชิงหลิงเข้าวังไป พูดเพียงแค่ว่าเป็นเพราะเรื่องจวนอ๋องหวย เขาจึงลังเลว่าจะเข้าวังไปด้วยดีหรือไม่ ก็พอดีมีคนมาแจ้งว่าพระชายากลับมาแล้ว

ทันทีที่หยวนชิงหลิงเห็นหน้าเขา ประโยคแรกที่พูดก็คือ “เสด็จพ่อให้ข้าไปรักษาอาการป่วยของอ๋องหวย”

หยู่เหวินเห้าประหลาดใจ “เจ้ามีความมั่นใจหรือ”

หยวนชิงหลิงส่ายหน้า “ไม่มีเลย”

“ถ้าไม่มี ก็อย่าไปเลยจะดีกว่า” หยู่เหวินเห้ารีบพูด

หยวนชิงหลิงนั่งลง ดื่มน้ำไปแก้วหนึ่งพลางพูดว่า “ไม่ไปคงจะไม่ได้ เจ้าก็รู้นิสัยของเสด็จพ่อดีไม่ใช่รึ หากข้ากล้าขัดราชโองการของเขา เขาคงสั่งตัดหัวข้าแน่”

“คงไม่ขนาดนั้นหรอกน่า” หยู่เหวินเห้าโต้ตอบ

“ใช่ มันไม่ถึงขนาดนั้นหรอก” หยวนชิงหลิงมองดูใบหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวลของเขา รู้สึกอบอุ่นในหัวใจขึ้นมาวูบหนึ่ง ในที่สุดก็รู้จักเป็นห่วงเป็นใยคนอื่นเสียทีนะ “เจ้าก็อย่ากังวลให้มากเกินไปเลยน่า ต่อให้ข้ารักษาไม่หาย ฝ่าบาทก็คงจะไม่คาดโทษอะไรข้าจริงๆ จังๆ หรอก อย่างมากที่สุดก็แค่สั่งลงโทษสถานเบา”

หยู่เหวินเห้าพูดอย่างเฉยชา “ข้าไม่ได้เป็นห่วงเจ้า ก็แค่กังวลว่าเจ้าไปแล้ว จะยิ่งก่อให้เกิดเรื่องวุ่นวายในจวนอ๋องหวย หรือไม่ก็ใช้เข็มประหลาดๆ พวกนั้น ฉีดยาใส่เจ้าหกจนเขายิ่งทุกข์ทรมานหนักกว่าเดิม หากเจ้ามั่นใจว่าจะรักษาจนสำเร็จได้ ข้าย่อมหวังให้เจ้าไปอยู่แล้ว แต่ในเมื่อเจ้าไม่มั่นใจ ต่อให้เจ้าไปมันก็ไม่มีประโยชน์”

หยวนชิงหลิงวางแก้วน้ำลงดังตึง “พูดจาดีๆ หน่อย มันจะตายหรือยังไงหา”

หยู่เหวินเห้าจ้องมองนาง “ครึ่งเดียวเจ้าก็ไม่มั่นใจอย่างนั้นหรือ”

“หากจะบอกว่ามั่นใจตั้งแต่ตอนนี้ มันก็ยังเร็วเกินไป ข้าต้องดูก่อนว่าอาการของเขามันไปถึงขั้นไหนแล้ว ถึงจะบอกได้”

วันพรุ่งนี้ข้าไปกับเจ้าด้วยดีกว่า

หยวนชิงหลิงส่ายหน้า “ไม่ต้องหรอก ท่านอ๋องต้องกลับไปทำงานที่ศาลาว่าการอีก ข้าไปกับแม่นมสี่ก็ได้”

“ข้าจะไปกับเจ้าด้วย” หยู่เหวินเห้าพูดย้ำคำอย่างไม่พอใจ นี่ไม่ใช่การขอความคิดเห็นของนาง นี่คือการตัดสินใจของเขา

หยวนชิงหลิงยืนขึ้น เอามือไพล่หลังแล้วเดินออกไป ฉับพลันก็หันหน้ากลับมามองเขาที่ยังคงสีหน้าเฉยชา พูดไปว่า “ไท่ซ่างหวงบอกกับข้าว่า พระองค์จะพระราชทานของบางอย่างให้ข้า”

“อะไรนะ” หยู่เหวินเห้าโพล่งถามออกไปอย่างไม่รู้ตัว

“เรียกว่าไม้ปราบผัวย่ะ” หยวนชิงหลิงยืดแผ่นหลังเหยียดตรง “ยังบอกด้วยว่า ข้าไม่จำเป็นต้องถามหาเหตุผลใดๆ ก็สามารถใช้มันฟาดเจ้าได้ทันที”

พูดจบ ก็เดินจากไปด้วยท่วงท่าจดจำความแค้นเต็มที่

หยู่เหวินเห้าตัวแข็งทื่อราวกับก้อนหิน เสด็จปู่ นี่มันออกจะมากไปกระมัง

ในคืนนั้นเอง ไม้ปราบผัวก็ถูกส่งมายังจวนอ๋องฉู่อย่างยิ่งใหญ่

วันนี้ไม้ดูมีความแตกต่างจากสิ่งที่หยวนชิงหลิงเคยเห็น มันเป็นสีแดงเข้ม ถูกขัดจนขึ้นเงาทั้งด้าม ผิวดูเรียบลื่นอย่างยิ่ง มีลายสลักเป็นมังกรพันรอบตัวไม้ ดูคล้ายเหินลอยเหนือเมฆหมอก ทั้งยังแกะสลักเป็นลายน้ำไหลกับลายเพลิงอีกด้วย หัวไม้มีขนาดใหญ่ก็แยกเป็นแฉก ขัดเป็นเงาและมีลักษณะโค้งมนเล็กน้อย แกะสลักอักษรคำว่า “คทา”สองคำไว้อย่างเด่นชัด

หยวนชิงหลิงหยิบขึ้นมาถือไว้ในมือ รู้สึกว่ามันหนักเล็กน้อย แตกต่างจากไม้ธรรมดา ทั่วๆ ไป ทั้งยังดูแข็งมาก

“นี่เป็นไม้อะไรรึ” หยวนชิงหลิงถามแม่นมสี่ด้วยความสงสัย

แม่นมสี่มองดูไม้ที่ว่าครู่หนึ่ง จึงพูดว่า “นี่น่าจะเป็น ไม้เถี่ยฮั่ว เพคะ” (ไม้เบิร์ชเหล็กหรือที่เรียกกันว่า แบล็กเบิร์ช เป็นไม้ผลัดใบในตระกูล Fagaceae)

หยวนชิงหลิงตกใจ “ไม้เถี่ยฮั่วหรือ”