บทที่ 149 สู่มหามรรคาไปด้วยกัน มีของอยู่บ้าง

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 149 สู่มหามรรคาไปด้วยกัน มีของอยู่บ้าง

“ผู้อาวุโส เพียงท่านปล่อยข้าไป ข้าจะไม่มาอีกเด็ดขาด!”

โหลวอวี้เซวี่ยกัดฟันกล่าว ความแข็งแกร่งของหานเจวี่ยทำให้เขาเทียบไม่ติด เพียงได้แต่ขอความเมตตาแล้ว

‘สมควรตาย!

ภารกิจนี้ไม่น่าไว้ใจอย่างที่คิดจริงๆ ด้วย!’

ยามที่โหลวอวี้เซวี่ยได้รับคำสั่งจากปรมาจารย์มารนั้น ปฏิกิริยาแรกของเขาคือรู้สึกว่าจะต้องมีหลุมพรางบางอย่าง

แผนการทั้งหลายที่เผ่ามารมีต่อโลกมนุษย์เดิมทีไม่ใช่แผนการที่ใช้เวลาร้อยปีหรือพันปี แต่เป็นแผนที่คำนวณไว้หมื่นปี แต่ไม่สำเร็จมาโดยตลอด

เป็นดังที่คาดไว้จริงๆ!

เขาเพิ่งมาถึงโลกมนุษย์ก็ล้มเหลวเสียแล้ว!

โหลวอวี้เซวี่ยโกรธแค้นปรมาจารย์มารเป็นอย่างมาก

รออยู่ในยมโลกไม่สบายใจหรอกหรือ จะต้องมาสร้างเรื่องในโลกมนุษย์ให้ได้!

[โหลวอวี้เซวี่ยเกิดความเกลียดชังในตัวท่าน ระดับความเกลียดชังในขณะนี้คือ 1 ดาว]

หานเจวี๋ยหรี่ตาลง

ที่จริงแล้วความเกลียดชัง 1 ดาวก็ยังดีอยู่ อยู่ห่างจากสถานการณ์ที่ไม่ตายไม่เลิกราอยู่มาก

หานเจวี๋ยลังเลว่าจะปล่อยเขาไปดีหรือไม่ แต่ต่อให้จะปล่อยไป อย่างไรก็ต้องคุมขังวิญญาณของเขาไว้

“มารแท้คนอื่นๆ แข็งแกร่งกว่าเจ้าหรือไม่” หานเจวี๋ยเอ่ยถาม

โหลวอวี้เซวี่ยกล่าวด้วยรอยยิ้มขมขื่น “มีที่ไหนกัน ที่แข็งแกร่งที่สุดก็คือข้า กลับกลายเป็นว่าลงมือครั้งแรกก็ได้พบกับท่าน…”

หานเจวี๋ยหุบฝ่ามือลง นำวิญญาณของโหลวอวี้เซวี่ยคุมขังไว้ในส่วนลึกสุดของวิญญาณตนเอง

บางทีภายหน้าอาจจะได้ใช้งานเจ้าหมอนี่ก็ได้

อู้เต้าเจี้ยนที่อดกลั้นมาโดยตลอด เอ่ยถามขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ “นายท่าน เผ่ามารมาโจมตี พวกเราควรทำอย่างไรดี”

หานเจวี๋ยเอ่ยขึ้นอย่างราบเรียบว่า “รอดูไปก่อน หากสู้ไม่ไหวจริงๆ พวกเราค่อยหนี”

ภายนอกถ้ำเทวา

ราชามังกรสามหัวกลับมาถึงใต้ต้นฝูซังด้วยสีหน้าหงอยเหงาเศร้าซึม เขาก้มหน้าลงไม่กล้าเผชิญหน้ากับผู้อื่น

ไก่คุกรัตติกาลเอ่ยหยอกเย้าด้วยรอยยิ้ม “นี่หรือราชามังกร พวกเราต้องให้นายท่านลงมือ เจ้าเองก็ต้องให้นายท่านช่วยเหลือ เจ้าบอกข้าหน่อย พวกเราแตกต่างกันตรงที่ใด”

ราชามังกรสามหัวได้ฟังก็แทบระเบิดโทสะออกมา

ฟางเหลียงทอดถอนใจกล่าว “มารแท้เมื่อครู่นี้แข็งแกร่งอย่างน่าเหลือเชื่อจริงๆ ดูเหมือนว่าราชามังกรจะถูกกดดันจนไร้แรงต่อต้านแม้แต่น้อย จริงๆ แล้วพลังของทั้งสองก็ห่างกันเกินไป”

ได้ยินเช่นนี้ราชามังกรสามหัวก็ยิ่งระทมทุกข์กว่าเดิม

สวินฉางอันอาศัยโอกาสนี้สอนฟางเหลียง เขาเอ่ยว่า “เจ้าก็ต้องตั้งใจฝึกฝนให้ดี เจ้ากับศิษย์พี่ของเจ้าคือความหวังของพวกเรา ต่อไปอาจารย์ก็ต้องอาศัยพวกเจ้าในการขจัดความกังวลปลดภยันตรายแล้ว”

หยางเทียนตง ราชามังกรสามหัว ไก่คุกรัตติกาลและสุนัขสวรรค์ฮุ่นตุ้นต่างก็รู้สึกว่าถูกประชดเข้าเสียแล้ว

โดยเฉพาะสุนัขสวรรค์ฮุ่นตุ้น

พลังของมันต่ำต้อยที่สุด ปกติแล้วสู้ใครก็ไม่ได้ ทำให้รู้สึกคับแค้นใจเป็นอย่างมาก

‘ไม่ได้!

ข้าต้องแข็งแกร่งเหนือพวกเขา!’

อีกาทองตัวน้อยสองตัวนอนหมอบอยู่บนกิ่งของต้นฝูซัง หันซ้ายหันขวามองดูคนเหล่านี้ไปมา

พวกมันสื่อสารกันด้วยน้ำเสียงที่หวานหยาดเยิ้ม ราวกับเด็กน้อยอายุหกเจ็ดขวบ

“เจ้าคนเมื่อครู่นั่นแข็งแกร่งมากหรือ”

“ไม่รู้สึกว่าแข็งแกร่งเท่าไหร่”

“อาจเป็นเพราะพวกเขาอ่อนแอเกินไปกระมัง”

“คาดว่าเป็นเช่นนั้น”

……

หนึ่งปีต่อมา

หานเจวี๋ยศึกษาวิชาอัญเชิญเทพสำเร็จ

วิชาอัญเชิญเทพมีพลังวิเศษหลักและพลังวิเศษสาขา เมื่อเรียนรู้พลังวิเศษสาขาแล้วสามารถเรียกผู้ที่ควบคุมพลังวิเศษหลักได้

เรียนรู้พลังวิเศษสาขา เป็นเพียงการควบคุมการเรียกเท่านั้น

หานเจวี๋ยตัดสินใจถ่ายทอดพลังวิเศษสาขาให้กับศิษย์และศิษย์หลานของตนเอง

พลังวิเศษนี้ถ่ายทอดให้ได้เพียงคนของตนเองเท่านั้น ไม่อาจถ่ายทอดให้ทั่วทั้งสำนักศักดิ์สิทธิ์หยกพิสุทธิ์ได้ ต่อให้ถ่ายทอดให้กับคนของตัวเอง แต่ก็ต้องเปลี่ยนวิธีการพูดด้วย

หานเจวี๋ยเรียกอู้เต้าเจี้ยนให้ออกจากถ้ำเทวาฟ้าประทานพร้อมกัน เมื่อมาถึงใต้ต้นฝูซังเขาก็เรียกซูฉีให้ออกมาด้วย

มู่หรงฉี่กลับมาแล้ว ก่อนหน้านั้นเขายังคิดจะออกไปอีก แต่สุดท้ายถูกหานเจวี๋ยเรียกตัวไว้เพื่อที่จะถ่ายทอดวิชาอัญเชิญเทพให้

ท่ามกลางคนทั้งหมดยกเว้นไก่คุกรัตติกาลและสุนัขสวรรค์ฮุ่นตุ้น ทกุคนต่างพบกับซูฉีเป็นครั้งแรก

ฟางเหลียงและมู่หรงฉี่รู้สึกสนใจในตัวอาจารย์ลุงรองผู้ลึกลับคนนี้เป็นอย่างมาก

“ผู้บำเพ็ญสายมาร” ฟางเหลียงพูดพึมพำเบาๆ

ซูฉียิ้มแห้งๆ ในใจเขารู้สึกตื่นเต้นมาก พรสวรรค์ของศิษย์พี่ศิษย์น้องและผู้เยาว์เหล่านี้ล้วนไม่เลวเลย

โดยเฉพาะฟางเหลียงและมู่หรงฉี่ ตบะของศิษย์รุ่นสามเกือบจะตามศิษย์รุ่นสองอย่างเขาทันแล้ว

หานเจวี๋ยเอ่ยปากกล่าวว่า “ก่อนหน้านี้ซูฉีถูกข้าส่งไปแฝงตัวในสำนักมาร จึงจำต้องเปลี่ยนเป็นผู้บำเพ็ญสายมาร ครานั้นสายหลักกับสายมารทำศึกใหญ่ มีผู้บำเพ็ญสายมารตายในเงื้อมมือของเขาจำนวนไม่น้อย”

ได้ยินเช่นนี้ ทุกคนก็ลุกขึ้นแสดงความเคารพเลื่อมใสต่อซูฉีอย่างสุดซึ้ง

ในบรรดาศิษย์และศิษย์หลานของหานเจวี๋ย ไม่มีผู้ใดอีกแล้วที่หายเจวี๋ยมอบหมายภารกิจให้

เมื่อเห็นใบหน้าของซูฉีที่ผ่านชีวิตมาอย่างลำบากโชกโชน พวกเขาก็รู้สึกละอายใจ หานเจวี๋ยปกป้องพวกเขาถึงเพียงนี้ แต่พวกเขายังคิดที่ออกไปข้างนอกอยู่บ่อยๆ

หานเจวี๋ยจับสีหน้าท่าทางของทุกคนได้ แต่ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมามาก

ครั้งนี้ที่เรียกซูฉีมาด้วย ก็เพื่อที่เขาจะลองหยั่งเชิงดูสักหน่อย

อยากจะรู้ว่าดวงชะตาของเขาเพียรบำเพ็ญเซียนจะสามารถกำราบความโชคร้ายของซูฉีได้หรือไม่ ก่อนหน้านี้โหลวอวี้เซวี่ยก็เคยกล่าวว่าดวงชะตาของที่นี่คือที่สุดในโลกมนุษย์

ส่วนตู้ขู่นั้น เขาไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกับหานเจวี๋ย อีกทั้งยังไม่ใช่ผู้มีดวงชะตายิ่งใหญ่ อาจหาญอยู่กับซูฉีตามลำพังนานถึงห้าวัน ก็เป็นเรื่องธรรมดาที่ต้องประสบกับหายนะ

“ข้าจะถ่ายทอดพลังวิเศษให้พวกเจ้ากระบวนท่าหนึ่ง พลังวิเศษนี้ให้ได้เฉพาะตอนชีวิตตกอยู่ในอันตรายเท่านั้น เมื่อใช้พลังวิเศษนี้ พวกเจ้าจะได้รับพลังที่แข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง ทว่าค่าตอบแทนก็ยากที่จะจินตนาการได้ พวกเจ้าจะเผชิญกับฝันร้ายที่พวกเจ้าหวาดกลัวที่สุด”

หานเจวี๋ยกล่าวอย่างจริงจัง ทุกคนได้ฟังจนต้องมองหน้าสบตากัน

ฟางเหลียงเอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัย “ฝันร้ายเป็นภาพมายา หรือว่าเรื่องที่หวาดกลัวจะกลายเป็นจริง”

หานเจวี๋ยกล่าวอย่างลึกซึ้งจนยากจะคาดเดา “มีเพียงพวกเจ้าเองที่จะรู้แน่ชัด พวกเจ้ากลัวที่จะกลายเป็นความจริง หรือกลัวว่าทุกอย่างจะกลายเป็นแค่มายา สรุปแล้วหากไม่ถึงคราวคับขันอย่าได้สำแดงพลังวิเศษนี้ออกมาโดยเด็ดขาด แต่หากสำคัญถึงชีวิต จำเป็นต้องใช้ก็ให้ใช้ ข้าหวังว่าพวกเจ้าจะมีชีวิตอยู่ และมุ่งสู่มหามรรคาไปพร้อมกับข้า เสพสุขความเป็นนิจนิรันดร์”

วาจานี้ทุกคนที่ได้ฟังแล้วต่างเลือดกายพลุ่งพล่าน

สู่มหามรรคาไปด้วยกัน!

เสพสุขความเป็นนิจนิรันดร์!

มู่หรงฉี่กำมือทั้งสองแน่นและกล่าวออกมา “ศิษย์หลานจะต้องตั้งใจฝึกฝนให้ดี วันหน้าจะขจัดทุกสิ่งที่ขวางทางสู่มหามรรคาเพื่ออาจารย์ปู่!”

คนอื่นๆ ก็พากันให้คำมั่นสัญญา

สวินฉางอันที่ดูไร้ชีวิตชีวามาโดยตลอดก็เผยสีหน้าวาดหวังออกมา

“อีกาทอง สามหัว พวกเจ้าก็เข้ามาเถิด มาเรียนด้วยกัน” หานเจวี๋ยมองไปด้านข้างแล้วกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม

เมื่อราชามังกรสามหัวที่แอบฟังมาโดยตลอดได้ยินเช่นนี้ ก็รีบร้อนคลานเข้ามา

อีกาทองสองตัวก็บินเข้ามาเกาะอยู่บนบ่าของฟางเหลียง

ไม่รู้เป็นเพราะเหตุใด พวกมันถึงชอบฟางเหลียงเป็นพิเศษ มักจะคลอเคลียฟางเหลียงอยู่บ่อยๆ

[ความประทับใจที่ราชามังกรสามหัวมีต่อท่านเพิ่มขึ้น ระดับความประทับใจในขณะนี้คือ 5.5 ดาว]

หานเจวี๋ยเริ่มถ่ายทอดพลังวิเศษสาขาของวิชาอัญเชิญเทพ

สอนไปสองเดือนเต็มๆ

พลังวิเศษสาขาของวิชาอันเชิญเทพยังคงซับซ้อนเป็นอย่างมาก แต่ฟางเหลียง มู่หรงฉี่และซูฉีใช้เวลาไม่กี่วันก็สามารถเข้าใจได้แล้ว ที่เรียนรู้ช้าสุดคือหยางเทียนตงและไก่คุกรัตติกาล

พวกเขาแทบจะรู้สึกหดหู่ไปหมดแล้ว

ในที่สุดสุนัขสวรรค์ฮุ่นตุ้นก็เรียกความมั่นใจกลับคืนมาได้ มันมีความสุขจะแย่อยู่แล้ว

หานเจวี๋ยพาอู้เต้าเจี้ยนกลับมาที่ถ้ำเทวาฟ้าประทาน

ซูฉีเองก็ไม่ได้รั้งอยู่นาน เขารีบกลับไปตั้งใจฝึกฝนในถ้ำของตัวเองอย่างรวดเร็ว

หานเจวี๋ยใช้หุ่นเชิดแห่งสวรรค์ตรวจสอบดูสถานการณ์ของพวกสิงหงเสวียนทั้งสาม พวกนางยังคงอยู่ในระหว่างเดินทางกลับ ชั่วขณะนี้ไม่ได้เผชิญกับมารแท้แต่อย่างใด

ตามที่โหลวอวี้เซวี่ยกล่าวไว้ เป้าหมายของพวกมารแท้คือจวนเซียนสวรรค์

ไม่รู้ว่าจวนเซียนสวรรค์จะสามารถต้านทานได้หรือไม่

……

แปดปีต่อมา

หานเจวี๋ยอยู่ห่างจากระดับมหายานขั้นเก้าไม่มากแล้ว เขากำลังคิดที่จะฝึกฝนต่อไปภายในอึดใจเดี๋ยว

[ตรวจสอบพบผู้มีดวงชะตาแต่กำเนิด จะตรวจสอบที่มาหรือไม่]

หานเจวี๋ยเลิกคิ้วขึ้น

ไม่ได้พบผู้มีดวงชะตายิ่งใหญ่คนใหม่มานานแล้ว คนก่อนคือจี้เซียนเสิน ผู้ที่ลำพองตนเพ้อฝันว่าจะเป็นอันดับหนึ่งในใต้หล้า

หานเจวี๋ยเลือกตรวจสอบที่มาทันที

เขามองดูการแนะนำผู้มีดวงชะตาแต่กำเนิดคนนี้จนต้องเบิกตากว้างขึ้นมา

‘นี่…

มีของอยู่บ้างนี่!’

……………………………………….