ตอนที่ 62: คำเชิญชวน

ในตอนนี้ ไม่มีใครกล้าเอ่ยปากพูดอะไรออกมาเลย นั่นเป็นเพราะทั้งสามกลัวว่าตนจะไปทำให้เสี่ยวเฉิงวอกแวก

สำหรับชิเหวินปินและสหายข้างกาย… ทั้งคู่พลันกลั้นหายใจและมองไปยังบริเวณลานกว้างตรงหน้าอย่างใจจดใจจ่อ

พวกเขาอยากรู้ว่าเสี่ยวเฉิงนั้นรู้ได้ยังไงว่าจานร่อนพวกนั้นจะพุ่งออกมาจากทิศทางไหนและเมื่อไหร่… เสี่ยวเฉิงสามารถมองทะลุผ่านผ้าปิดตาได้งั้นรึ?

ในระหว่างที่ชิเหวินปินกำลังรู้สึกสับสนในความคิดของตัวเอง เสี่ยวเฉิงก็พลันขยับตัว

ทันใดนั้นเอง ประมาณห้าสิบเมตรไหลออกไป จานร่อนทั้งห้าแผ่นก็พุ่งออกมาจากทุกมุมในคราวเดียว!

เมื่อทั้งสามคนเห็นฉากที่ไม่คาดคิดตรงหน้า พวกเขาก็พลันมองไปยังเสี่ยวแทบจะในทันที ทั้งสามรู้สึกราวกับแขนของเสี่ยวเฉิงนั้นขยับภายในพริบตา เขาพลันเล็งไปยังจานร่อนทั้งห้าด้วยการเคลื่อนไหวสุดคล่องตัว

ในระหว่างที่เสี่ยวเฉิงกำลังยกแขนขึ้นเพื่อยิงจานร่อนแผ่นแรกที่มุมบนซ้าย ภายในหนึ่งวินาที เขาก็พลันลั่นไกออกไปสามนัดด้วยการงอข้อมือเล็กน้อย และทันทีที่สัมผัสได้ถึงเป้าหมายตรงหน้า เสี่ยวเฉิงก็พลันลั่นไกออกไปอีกสองนัด

ปัง ปัง ปัง ปัง ปัง…

จานร่อนทั้งห้าแผ่นถูกยิงจนแตกกระจาย ตัวเลขห้าที่โผล่ขึ้นมาบนหน้าจอแสดงผลพลันทำให้ทุกคนตกตะลึงในทันใด

หลังจากนั้น เสี่ยวเฉิงก็พลันถอดผ้าปิดตาออกและมองดูตัวเลขบนจอ เขารู้สึกพอใจกับการทดสอบไหวพริบของตนเองไม่น้อย ถึงกระนั้น เขาก็ไม่ได้สังเกตหรือหันไปมองหวังหยิงและอีกสองคนเลย ทั้งสามพลันกลืนน้ำลายและหายใจเข้าไปเฮือกใหญ่พร้อมกับจ้องมองไปยังเสี่ยวเฉิงด้วยความหวาดกลัว

“แค่นี้ก็น่าจะพอแล้วแหละมั้งสำหรับการทดสอบไหวพริบ ต่อไปก็ความเร็วกับพละกำลัง” เสี่ยวเฉิงพลันบ่นพึมพำกับตัวเอง

ทันใดนั้น หวังหยิงก็พลันดึงสติกลับคืนมาและกล่าวคำพูด “แล้วเครื่องจักรที่นายทำพังไปครั้งที่แล้วล่ะ? นั่นไม่ใช่พละกำลังทั้งหมดของนายหรือยังไงกัน?”

“ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน มันอาจจะยังไม่ใช่ขีดจำกัดของผมก็ได้มั้ง” เสี่ยวเฉิงกล่าว

อาจจะยังไม่ใช่ขีดจำกัดของตัวเอง?

ชิเหวินปินและคู่หูพลันอ้าปากค้าง… ให้ตายเถอะ!

ครั้งที่เครื่องจักรพัง หมอนี่น่าจะใช้แรงไปมากกว่าหนึ่งพันสี่ร้อยกิโลกรัมเสียอีก แต่ตอนนี้เขากลับมาบอกว่ามันอาจจะยังไม่ใช่ขีดจำกัดสูงสุดของตัวเองเนี่ยนะ?

เสี่ยวเฉิงวางปืนและผ้าปิดตาไว้ที่โต๊ะพร้อมเดินออกจากสนามยิงปืนไปโดยมีหวังหยิงตามหลังมาอย่างรวดเร็ว

ทันใดนั้น ชิเหวินปินก็รีบหยิบผ้าปิดตามาลองสวมทันที… หือ? มันมืดสนิทเลยนะ! มันมองไม่เห็นอะไรเลยด้วยซ้ำ! สำหรับตอนนี้ ชิเหวินปินเองก็กำลังรู้สึกสับสนไม่น้อย ทว่า เสี่ยวเฉิงสามารถมองเห็นจานร่อนได้ยังไงกัน? หรือเขาจะใช้แค่หูของตัวเอง? แต่เดี๋ยวก่อนสิ… แบบนั้นก็ไม่น่าจะใช่ เพราะเครื่องยิงจานร่อนเองก็ไม่ได้มีการส่งเสียงหรือสัญญาณเตือนอะไรออกมาเลยด้วยซ้ำ แถมการที่เสี่ยวเฉิงจะได้ยินเสียงจานร่อนที่ลอยอยู่ไกลกว่าตัวเองตั้งห้าสิบเมตรก็เป็นอะไรที่ไม่น่าเป็นไปได้อีกด้วย

“นายช่วยไปเปิดเครื่องให้ที ขนาดหมอนั่นยังทำได้เลย แล้วทำไมฉันจะทำไม่ได้ล่ะ?” ชิเหวินปินกล่าวคำพูดกับคู่หูพร้อมเปิดผ้าปิดตาออก

ทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น เพื่อนของเขาก็รีบเดินเปิดเครื่อง หลังจากจ้องมองไปยังชิเหวินปินเพียงสิบวินาที จานร่อนแผ่นแรกก็พุ่งออกมา ทว่า เมื่อเห็นว่าชิเหวินปินไม่แม้แต่จะขยับตัวหรือแสดงท่าทีอะไรเลย เขาก็รู้ได้ทันทีว่าคนปกติจะต้องใช้สายตามองเท่านั้น มิฉะนั้น พวกเขาก็คงจะไม่รู้ว่าจานร่อนจะพุ่งออกมาเมื่อใด ท้ายที่สุดแล้ว เสี่ยวเฉิงก็เป็นชายที่โคตรน่าทึ่งเลย!

“เฮ้ย นายได้เปิดเครื่องหรือยังเนี่ย?!” ชิเหวินปินสบถอย่างไม่พอใจ

“แผ่นที่สองพุ่งออกไปแล้ว…”

ชิเหวินปินพลันผงะในทันใด

หลังจากที่หวังหยิงทำตามขั้นตอนของเสี่ยวเฉิงแล้ว เธอก็พลันถามขึ้น “ทำไมนายถึงเลือกที่จะปลดตัวเองออกมาจากกองทัพล่ะ? นายเองก็ยังหนุ่มยังแน่น พูดตามตรงเลยนะ คนที่มีความสามารถอย่างนายน่ะ หลายต่อหลายกองทัพคงจะต้องสู้กันเพื่อแย่งมาเลยล่ะ”

“สำหรับเรื่องนั้น ผมเองก็ไม่รู้จะอธิบายยังไงเหมือนกัน แต่ตอนนี้ ผมก็เป็นเจ้าหน้าที่ลาดตระเวนของเมืองซ่างเฉิงไปแล้ว แถมงานนี้ก็ไม่เลวเลยด้วย” เสี่ยวเฉิงเผยยิ้มและตอบกลับ

“แต่ด้วยทักษะแล้วก็ความสามารถที่ฉันเห็น นายไม่จำเป็นต้องมาเป็นตำรวจระดับล่างแบบนี้เลยด้วยซ้ำนะ” หวังหยิงพลันตอบกลับ

“พูดอย่างกับคุณไม่รู้เรื่องความแตกต่างระหว่างการเมืองกับกองทัพอย่างนั้นแหละ ในกองทัพ เราสามารถใช้หมัดเพื่อดันตัวเองไปอยู่ในตำแหน่งที่สูงกว่าเดิมได้ แต่สำหรับการเมือง ความสำเร็จคือทุกสิ่งทุกอย่าง ครูฝึกของผมคิดว่าการเมืองกับกองทัพเป็นอะไรที่ต่างกันราวฟ้ากับเหวเลยล่ะ เพราะแบบนั้นแหละ ผมเลยต้องเริ่มต้นจากระดับล่างเพื่อสร้างรากฐานที่ดีให้ตัวเองก่อน”

หวังหยิงพลันกระซิบใส่หูเสี่ยวเฉิง “งั้นนายอยากเข้ามาอยู่ในกองทัพภาคที่แปดของเราไหมล่ะ? ถ้านายเข้ามาอยู่ที่นี่ ฉันรับประกันได้เลยว่านายจะต้องเป็นดาวเด่นแน่ ยังไงก็เถอะ ฉันช่วยนายเรื่องนั้นได้นะ…”