บทที่ 198 เสด็จพ่อไม่ได้อิจฉาข้าใช่หรือไม่

เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช

บทที่ 198 เสด็จพ่อไม่ได้อิจฉาข้าใช่หรือไม่

บทที่ 198 เสด็จพ่อไม่ได้อิจฉาข้าใช่หรือไม่

ขณะที่หนานกงฉีโม่พยายามปลอบเสี่ยวเป่าอยู่นั้น จู่ ๆ เงาขนาดใหญ่ก็ทอดลงมาและอุ้มเสี่ยวเป่าเอาไว้

“ไม่ต้องร้องแล้ว ข้ายกเลิกการลงโทษวันนี้”

เสี่ยวเป่าสะอึก มองท่านพ่อน้ำตาคลอเบ้า “จะ…จริงหรือเพคะ?”

หนานกงสือเยวียน “กษัตริย์ตรัสแล้วไม่คืนคำ”

เสี่ยวเป่าหยุดร้องไห้แล้ว แต่ดวงตายังคงแดงระเรื่ออยู่

ไม่ถูกลงโทษ นางก็จะได้กินของว่างแล้ว

“พี่รอง อุ้ม”

หนานกงฉีโม่อุ้มเจ้าตัวนุ่มนิ่มไว้ในอ้อมแขน แต่จิตใต้สำนึกกลับรู้สึกแปลกไป

เดิมทีเขาตั้งใจจะทักทายคนในครอบครัวที่จากลากันไปนานอย่างเช่นประโยค “เจ้าผอมลงนะ”

แต่ว่า…

ด้วยตัวที่หนักอึ้งเช่นนี้ เขาอ้าปากค้างจากนั้นก็หุบลง พูดสิ่งที่ขัดต่อความรู้สึกไม่ออก

“แผลเล็กแค่นี้ไม่เจ็บเลยสักนิด เสด็จพ่อมีแผลเยอะกว่าพี่เสียอีก”

เพียงแต่รอยแผลพวกนั้น ผู้อื่นอาจจะคิดว่ามันน่าเกลียด ทว่าสำหรับบุรุษที่เคยผ่านศึกสงครามในสนามรบ แผลเป็นเหล่านี้ถือเป็นเครื่องย้ำเตือนที่ไม่อาจลืมเลือน และเป็นแม้กระทั่งเกียรติยศอันสูงส่ง

ไปชายแดนรอบนี้ หนานกงฉีโม่โตขึ้นมากทีเดียว และมุมมองของเขาก็เปลี่ยนไปมากเช่นกัน

ได้กลับมาพบกันหลังที่แยกจากไปนาน เสี่ยวเป่ามีเรื่องมากมายอยากจะเล่าให้พี่รองของตนฟัง นางกอดคอของเขาไว้ไม่ยอมปล่อยเหมือนกับเหนียนเกา ดวงตาคู่โตเป็นประกาย ปากพูดจ้อเรื่องที่นางได้ประสบพบเจอมา ขอแค่เป็นเรื่องที่ตนรู้สึกสนุกและทำให้ผู้อื่นสนใจได้ เสี่ยวเป่าก็ไม่รีรอที่จะแบ่งปันกับพี่รอง

หนานกงฉีโม่เองก็ตั้งใจฟังอย่างอดทน เป็นเวลาพักหนึ่งที่สองพี่น้องเผลอเมินเฉยต่อเสด็จพ่อผู้ดุดันที่กำลังยืนอยู่ข้าง ๆ

หนานกงสือเยวียนจ้องมองพวกเขาด้วยแววตาสงบนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ริมฝีปากเหยียดตรง ทั้งยังสีหน้าบึ้งตึง จากนั้นก็หมุนตัวเดินไป

หึ…คำพูดของเจ้าตัวเล็กเชื่อถือไม่ได้จริง ๆ ก่อนหน้านี้ยังบอกว่าเขาเป็นคนโปรดที่สุดอยู่เลย!

ฝูไห่ลอบมองฝ่าบาท เห็นสีหน้าท่าทางที่บอกว่า ‘ข้าไม่พอใจมาก แต่ข้าจะไม่พูดออกไปหรอก’ ก็ไม่ได้รู้สึกกลัวแต่อย่างใด กลับแอบหัวเราะในใจมากกว่า

นี่ฝ่าบาทกำลังอิจฉาอยู่หรือ

สองพี่สองพูดคุยจนเวลาผ่านไปสองก้านธูป ในที่สุดหนานกงสือเยวียนที่ถูกบุตรสาวละเลยมาเป็นเวลานานก็เริ่มรู้สึกหงุดหงิดบ้างแล้ว ความรู้สึกห่วงหาที่มีต่อลูกชายคนรองที่เพิ่งกลับมาจากแดนไกลได้จางหายไป เหลือเพียงความรู้สึกขัดหูขัดตาเท่านั้น

“เสี่ยวเป่ามานี่ พี่รองของเจ้าเพิ่งจะกลับมา ยังไม่ทันได้ล้างเนื้อล้างตัว อย่าเพิ่งไปกวนเขาเลย”

เสี่ยวเป่าส่งเสียงร้องเป็นการเข้าใจ เมื่อเห็นพี่รองดูเหนื่อยล้า นางก็รีบพูดอย่างตำหนิตัวเองว่า

“ท่านพี่รีบกลับไปพักผ่อนเถิดเพคะ”

หนานกงฉีโม่อยากพูดว่าเขาไม่เหนื่อย แต่เมื่อสบตาเข้ากับเสด็จพ่อ เขาก็…

สายตาของเสด็จพ่อเมื่อครู่กำลังข่มขู่เขาอยู่ใช่หรือไม่…ใช่จริงหรือ!

หนานกงฉีโม่สงสัยว่าตัวเองตาฝาดไปหรือไม่ เขาไม่รู้ว่าตนทำสิ่งใดให้เสด็จพ่อกริ้ว?

“มานี่”

เสี่ยวเป่าที่คลอเคลียพี่รองจนพอใจ บัดนี้ไม่ได้เกาะแน่นเหมือนอย่างในทีแรก อีกอย่างพี่รองจำต้องพักผ่อน นางจึงวิ่งไปหาเสด็จพ่ออย่างเชื่อฟัง

หนานกงสือเยวียนอุ้มเจ้าก้อนแป้งขึ้นมา

“หากหายเหนื่อยแล้วก็ไปหาพี่น้องของเจ้าเถิด ข้าจะดูแลเสี่ยวเป่าเอง”

แค่ไม่ต้องยุ่งกับน้องสาวของเจ้าก็พอ

หนานกงฉีโม่ประสานมือคารวะ “พ่ะย่ะค่ะเสด็จพ่อ”

เมื่อออกจากตำหนักฉินเจิ้งด้วยความงุนงง เขาก็เพิ่งรู้สึกตัว

เสด็จพ่อคงไม่ได้กำลัง…อิจฉาหรอกนะ?

ความคิดที่ผุดแวบขึ้นมาถูกสลัดทิ้งแทบจะในทันที

จะเป็นไปได้อย่างไรกัน? นั่นคือเสด็จพ่อเชียวนะ!

แต่ว่าเขาก็รู้สึกอ่อนล้าจริง ๆ รีบเร่งเดินทางมาตลอดหลายวัน ม้าเองก็เหนื่อยอ่อน เวลาพักผ่อนแค่นั้นไม่เพียงพอเลยสักนิด

เมื่อกลับมาถึงตำหนักของตนเอง เขาก็ล้างเนื้อล้างตัวและผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า ได้มาอยู่ในสถานที่ปลอดภัยเช่นนี้ หนานกงฉีโม่แทบผล็อยหลับทันทีที่หัวถึงหมอน

เขาหลับสนิทตลอดทั้งคืนจนกระทั่งวันรุ่งขึ้น นับเป็นการนอนที่สงบสุขที่สุดตลอดหลายเดือน

หนานกงฉีโม่ตื่นนอนอย่างสดชื่น เขาเพิ่งจะอาบน้ำเปลี่ยนชุดเสร็จก็ได้รับแจ้งว่า พวกพี่น้องของเขารวมถึงเสี่ยวเป่าต่างก็มารอเขาอยู่ที่นี่แล้ว

หนานกงฉีโม่ก้าวอาด ๆ ออกไป

“พี่รอง!”

เสี่ยวเป่าที่กำลังถือซาลาเปาไว้ในมือเป็นคนแรกที่เห็นเขา นางเอาซาลาเปานึ่งเข้าปาก จากนั้นก็อ้าแขนวิ่งเข้าไปหา

“พี่ออง~”

ซาลาเปาอัดแน่นอยู่เต็มปากของเจ้าตัวน้อยจนฟังไม่รู้เรื่อง

เสี่ยวเป่ากลืนซาลาเปาลงท้องและวิ่งเข้าไปเกาะขาพี่รอง ตัวติดหนึบเหมือนลูกหมาสลัดอย่างไรก็ไม่หลุด หากว่ามีหางด้วยละก็ คงส่ายไปมาไม่หยุดแน่

“พี่รอง ท่านอยากกินซาลาเปาหรือไม่~”

หนานกงฉีโม่อุ้มเสี่ยวเป่าขึ้นมาแล้วใช้นิ้วจิ้มแก้มกลม ๆ ของนาง

“กินไปกี่ลูกแล้ว หืม?”

เสี่ยวเป่าตีพุงน้อย ๆ ของตนเอง “ไม่เยอะเลย ไม่เยอะ”

รอยยิ้มอ่อนหวาน น่ารักน่าชังเสียจริง

“พี่รอง”

คนอื่น ๆ ก็ล้อมเข้ามาด้วยท่าทางดีอกดีใจ

“ว้าว…พี่รอง กล้ามแขนของท่านแน่นปึกเลย!”

องค์ชายห้าจิ้มแขนของพี่ชายด้วยความอิจฉา “ไปอยู่ชายแดนแล้วถึกทนอย่างที่คิดไว้เลย เหมือนว่าท่านจะตัวสูงขึ้นด้วยนะ หากข้าไปที่นั่น ข้าต้องฝึกฝนจนบึกบึน มีกล้ามหน้าท้องแปดลูกเหมือนที่เสี่ยวเป่าพูดแน่ ๆ แล้วข้าก็จะได้เป็นเหมือนเสด็จพ่อ”

แม้ตอนนี้เขาจะฝึกวรยุทธ์อยู่ แต่ก็มีกล้ามหน้าท้องเพียงแค่หกลูกเท่านั้น ทำได้เพียงเฝ้าฝันถึงสองลูกที่เหลืออยู่

หนานกงฉีรุ่ยมองไปที่พี่รอง “ท่านดำขึ้นนะ”

เมื่อก่อนผิวของพี่รองขาวซีดถึงขั้นที่สตรีเห็นแล้วต่างก็ต้องอิจฉา

ทว่าถึงแม้จะคล้ำลงเล็กน้อย แต่กลับไม่ส่งผลต่อหน้าตาของเขาเลยสักนิด ทั้งยังสูงเด่นเป็นสง่าเสริมให้เขาดูหล่อเหล่ายิ่งกว่าเดิม

น้องแปด “พี่รอง ท่านรีบเล่าเรื่องที่เมืองหน้าด่านให้พวกเราฟังเร็วเข้า ได้ยินว่าที่นั่นยากจนมาก ทั้งยังอากาศหนาวจริงหรือไม่?”

หนานกงฉีโม่อุ้มเสี่ยวเป่าพลางมองหาน้องชาย “แล้วน้องสามเล่า?”

หนานกงฉีเฉิน “พี่สามกำลังศึกษาวิธีที่จะนวดข้าวได้เร็วและสบายยิ่งขึ้น เสด็จพ่อให้เขาไปอยู่ที่กรมโยธา”

ถึงคราวหนานกงฉีโม่เป็นฝ่ายที่ต้องประหลาดใจบ้าง ถึงอย่างไรตัวเขาก็รู้จักนิสัยของน้องสามดีที่สุด หนานกงฉีอวิ๋นเป็นคนที่อ่อนแอที่สุดในบรรดาพี่น้อง เขาเพิ่งออกจากวังเพียงไม่นาน เหตุใดน้องสามผู้มีนิสัยเคร่งขรึมถึงไปอยู่กรมโยธาเสียได้

ไม่เลวเลย…

หลังจากได้ฟังบรรดาน้องชายพากันพูดจ้อไม่หยุด หนานกงฉีโม่ก็ยิ้มพลางลูบคาง “ไม่คิดเลยว่าน้องสามจะมีความสามารถเช่นนี้ด้วย”

เสี่ยวเป่า “พี่รองก็ยอดเยี่ยมเหมือนกันนะเพคะ”

หนานกงฉีโม่แย้มยิ้มพลางหยิกใบหน้ากลม ๆ ของน้องสาว เขาไม่ได้ออกแรง แต่สัมผัสที่ได้รับทำให้ไม่อยากปล่อยมือจนถึงขั้นเสพติด

หลังจากฝึกฝนมาตลอดหลายเดือน มือเรียวยาวที่เดิมไร้ที่ติของหนานกงฉีโม่ก็เริ่มมีตุ่มแข็งกระด้างขึ้นหลายจุด ทว่าเสี่ยวเป่าไม่ได้รู้สึกรังเกียจแต่อย่างใด นางพุ่งเข้าไปคลอเคลียมือของพี่รอง

หนานกงฉีโม่: น่ารักจริง ๆ!

“วันนี้ข้าต้องออกจากวังไปเยี่ยมพี่ใหญ่…แล้วก็ไปที่จวนเซวียนผิงโหว ไว้วันหน้าข้าจะเลี้ยงข้าวพวกเจ้านะ”

“ตกลง เช่นนั้นพวกข้าจะรอท่านนะ”

เหล่าพี่น้องได้มีช่วงเวลาที่ดีด้วยกัน หนานกงฉีโม่จูงมือเสี่ยวเป่าเพื่อไปทูลขอเสด็จพ่อออกจากวัง

เขาเปลี่ยนมาสวมชุดสีโปรดของตน เป็นสีเปลวไฟลุกโชนเหมือนเช่นทุกครั้ง ปรากฏความดื้อรั้นและเย่อยิ่งที่มิอาจมองข้ามได้อยู่บนหน้าผากกว้าง

ชายหนุ่มนั่งรถม้ามาถึงหน้าจวนจิ้นอ๋อง เมื่อจ้องมองประตูสูงใหญ่ หนานกงฉีโม่ก็พลันลังเลอย่างที่พบเห็นได้ไม่บ่อยนัก

เป็นเพราะเขาจากบ้านไปนาน หรือเพราะความรู้สึกอื่นที่ตัวเขาก็มิอาจล่วงรู้ได้ หนานกงฉีโม่ที่เฝ้ารอจะได้พบหน้าพี่ใหญ่กลับรู้สึกหวั่นใจขึ้นมา

เขาเองก็ไม่รู้ว่าตนเองกำลังหวาดกลัวสิ่งใด