ตอนที่ 59 หัวใจเต้น
เฉียวเวยตามมาพบเสี่ยวไป๋กลางทาง
ปรากฎว่าเสี่ยวไป๋ถูกเสื้อผ้าเปื้อนเลือดล่อให้หลงทาง คิดว่าชายชุดดำอุ้มจิ่งอวิ๋นกลิ้งลงมาจากเนินเขา เมื่อมันวิ่งปรี่ลงมาถึงรู้ว่าหลงกลวิธีล่อหลอกของอีกฝ่าย มันรีบวิ่งกลับไปบนเนินจนมาเจอเฉียวเวยพอดี
คนสองคนและสัตว์หนึ่งตัวเดินตามกลิ่นเลือดจางๆ ในอากาศ มุ่งลึกเข้าไปในป่า
เวลานี้สิ่งที่เฉียวเวยกังวลมากที่สุดไม่ใช่เรื่องที่บุรุษชุดดำจะลักพาตัวลูกชายไปที่ใด แต่กลัวว่าจะต้องเผชิญกับอันตรายที่ไม่รู้ระหว่างทางมากกว่า
สวีต้าจ้วงบอกว่ามีสัตว์ร้ายมากมายในส่วนลึกของภูเขา ผู้ที่เข้าไปไม่เคยมีคนรอดชีวิตออกมา สาเหตุที่เขาปลอดภัยมานานหลายปีต้องขอบคุณความขี้ขลาดของเขาที่ไม่กล้าเข้าป่าลึก
เขาเตือนนางว่าอย่าไปเด็ดขาด
นางเคยพบเสือมาก่อน ไม่จำเป็นต้องให้สวีต้าจ้วงเตือน นางก็ไม่กล้าเข้าไปลึกกว่านั้น
แต่คืนนี้นางไม่มีทางเลือก
โชคดีที่ไม่นานสือชีก็เหาะลงมาจากฟ้าพร้อมกับใบไม้กองโต
เมื่อใบไม้โปรยปรายลงมาจนหมด เฉียวเวยจึงเห็นจีหมิงซิวย่างเท้าออกมาจากเงามืดของป่าลึก
เขาสวมอาภรณ์สีขาวกระจ่างก้าวเดินอยู่ใต้แสงจันทร์ ใบหน้าสวมหน้ากากหยกเนื้องามที่ทอแสงเรืองๆ แววตาลึกล้ำและเยือกเย็น ฝีเท้านุ่มนวลแผ่วเบา ดั่งเทพเซียนผู้หลุดพ้นจากปวงกิเลส แต่ก็ประหนึ่งภูตพรายผู้ก้าวเดินออกมาจากม่านหมอก ความงดงามนี้สะกดทั้งผืนป่าให้ตกอยู่ในความเงียบ นิ่งสงบและสว่างไสว
เฉียวเวยยืนตะลึงอยู่กับที่ จวบจนจีหมิงซิวเดินมาหยุดตรงหน้า เอ่ยปากเรียกนางว่าแม่นางเฉียว นางจึงตื่นจากภวังค์ นางรับลูกชายที่เขาอุ้มอยู่ในอกและห่อตัวด้วยผ้าคลุมมาอย่างขัดเขิน “จิ่งอวิ๋นเป็นอันใดหรือไม่”
จีหมิงซิวตอบว่า “เพียงหกล้มเท่านั้น มิเป็นอันใดมาก”
เฉียวเวยโล่งใจ “คุณชายพบจิ่งอวิ๋นได้เช่นไร”
จีหมิงซิว “ผ่านทางมา”
กลางดึกกลางดื่น เดินทางผ่านป่าเขาเช่นนี้ คิดจะหลอกเด็กกระมัง แต่ในเมื่อไม่สะดวกบอก นางก็ไม่คาดคั้น
เมื่อนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เฉียวเวยจึงถามอีกครั้ง “คนผู้นั้น…”
จีหมิงซิวตอบด้วยท่าทางสบายๆ “จัดการเรียบร้อยแล้ว”
จัดการเรียบร้อยหมายถึง…ไล่ให้หนีไปหรือว่ากำจัดสิ้นซากแล้ว
เขาดูไม่เหมือนคนที่ฆ่าคนไม่เลือก ก่อนหน้านี้คนของพรรคชิงหลงเคยกระทบกระทั่งกับเขาสองหน เขาก็เพียงสั่งให้สือชีตักเตือนเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น ไม่เคยคิดลงมือฆ่าจริงๆ
ความจริงของเพียงลูกชายปลอดภัยก็พอแล้ว ไม่สำคัญว่าเขาจะจัดการบุรุษชุดดำเช่นไร หากไล่ให้หนีไปก็ถือว่าบุรุษชุดดำดวงแข็ง หากกำจัดจนสิ้นซากแล้วก็ถือว่ากรรมตามสนองบุรุษชุดดำ
ความคิดแวบผ่านสมองจบ เฉียวเวยผู้ทราบว่าสิ่งใดควรก็ไม่ถามมากความอีก
บนโลกมีคนฉลาดไม่น้อย แต่คนรู้ว่าสิ่งใดควรไม่ควรมีไม่มาก ในมุมมองของจีหมิงซิว คนประเภทหลังสำคัญกว่าคนประเภทแรก คนไม่ฉลาดเพียงทำงานไม่เก่ง แต่คนมิรู้จักสมควรจะทำตัวมิสมเป็นคน ดังนั้นคนผู้หนึ่งไม่ฉลาดได้ แต่ต้องรู้จักสิ่งใดควรมิควร
เห็นได้ชัดว่านางรู้จักว่าสิ่งใดควรและไม่ขาดไหวพริบ
ทุกสิ่งพอเหมาะพอดี
“ข้าจะไปส่งเจ้ากลับ” จีหมิงซิวบอกพลางรับจิ่งอวิ๋นจากมือนางมาอุ้ม
สือชีอยากอุ้มวั่งซู จึงวนเวียนรอบตัวเฉียวเวยไม่ยอมให้นางเดิน
พอเฉียวเวยผูกลูกสาวไว้ในอ้อมแขนของสือชีเสร็จ สือชีก็อุ้มนาง ‘เหาะ’ ไปทันที
เสี่ยวไป๋เดินนำทางอยู่ด้านหน้า ทั้งสองเดินเคียงกันใต้ต้นไม้ จิ่งอวิ๋นหายใจยาวสม่ำเสมอ ท่ามกลางค่ำคืนอันเงียบสงบ มีความอบอุ่นสอดแทรกอยู่
เดินไปได้พักหนึ่ง จู่ๆ จีหมิงซิวก็ถามขึ้นว่า “ว่าแต่ เจ้าเป็นอันใดกับจวนเอินปั๋ว”
“ไม่ได้เป็นอันใดกัน” เฉียวเวยมองเขา “เหตุใดถามเช่นนี้”
จีหมิงซิวตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย “พวกเจ้าต่างแซ่เฉียว แล้วยังรู้จักกันด้วย”
เฉียวเวยจึงตอบว่า “ข้ากับนางเพิ่งรู้จักกันเมื่อปีกลาย ฝังมามาที่คอยอยู่ข้างกายนางบังคับให้ข้าขายเสี่ยวไป๋ ข้าไม่ยอมจึงทะเลาะกับพวกนาง”
“วิวาทกันเล็กน้อยหรือ” จีหมิงซิวถามอย่างเหมือนจะเชื่อแต่ก็มิเชื่อ
เฉียวเวยยืดหลังน้อยๆ จนเหยียดตรง “…ใช่แล้ว!”
นางไม่มีทางยอมรับหรอกว่าตนเป็นคนถอดหัวไหล่ของฝังมามา!
นางจะทำเรื่องป่าเถื่อนพรรค์นั้นได้เช่นไร นางออกจะเป็นกุลสตรี!
จีหมิงซิวมองออกแต่มิพูดอันใด มุมปากยกขึ้นอย่างขบขัน “ไม่รู้จักจริงหรือ”
เฉียวเวยส่ายหน้า “ไม่รู้จัก!”
เรื่องนี้ นางมิได้โกหก
คนแซ่เฉียวมีอยู่มากมายนัก แต่ก่อนหัวหน้าพยาบาลในแผนกของนางก็แซ่เฉียว เพราะอายุมากกว่านางหลายปี ทุกคนจึงเรียกพยาบาลว่าต้าเฉียว เรียกนางว่าเสี่ยวเฉียว พวกนางเป็นญาติกันหรือ แน่นอนว่ามิใช่
ครั้งแรกที่นางพบกับบุตรีจวนเอินปั๋ว ต่างฝ่ายต่างไม่รู้จักกันมาก่อน นางไม่ได้สืบทอดความทรงจำของเจ้าของร่างคนเดิม แต่บุตรีจวนเอินปั๋วกับฝังมามาคงมิได้ความจำเสื่อมด้วยกระมัง อากัปกริยาท่าทีของพวกนางเห็นชัดเจนว่าไม่เคยพบนางมาก่อน
ช่างโชคร้ายจริง เหตุใดจึงแซ่เดียวกับคนน่ารังเกียจคนนั้นได้
จีหมิงซิวพูดขึ้นมาเหมือนไม่ใส่ใจ “ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็ไม่รู้จักยิ่นอ๋อง”
“ยิ่นอ๋องคือผู้ใด” เฉียวเวยถามอย่างแปลกใจ
จีหมิงซิวมองเจ้าตัวเล็กที่กำลังหลับสบายอยู่ในอ้อมแขนของเขา แล้วกล่าวว่า “ไม่ใช่คนสำคัญ ในเมื่อเจ้าไม่เกี่ยวข้องกับจวนเอินปั๋ว ก็ย่อมไม่เกี่ยวข้องกับเขา”
เมื่อกลับมาถึงเรือน อู๋ต้าจินก็ไม่อยู่แล้ว ไม่รู้ว่าเขาถูกสัตว์ร้ายลากไปหรือหนีไปเอง
เฉียวเวยทำลายจุดตันเถียนของเขาแล้ว แม้เขามีชีวิตอยู่ก็เป็นได้เพียงเศษสวะ สำหรับผู้ฝึกวรยุทธ์ การทำลายจุดตันเถียนน่ากลัวยิ่งกว่าความตาย
เพิ่งเกิดการต่อสู้ภายในเรือน ทุกอย่างจึงเละเทะแทบไม่มีที่ยืน เฉียวเวยอับอายจนไม่กล้าเชิญเขาเข้าบ้าน
จีหมิงซิวมองความอับอายของนางออก จึงเดินไปส่งถึงหน้าประตูแล้วกล่าวลาไปพร้อมกับสือชีอย่างรู้จักว่า ‘สิ่งใดควร’
“คุณชายหมิง ช้าก่อน!” เฉียวเวยเรียกเขา
จีหมิงซิวชะงักเท้า
เฉียวเวยอุ้มเด็กสองคนเข้าไปในบ้านก่อนแล้วจึงเข้าไปในครัว เมื่อนางออกมา ในมือก็ถือตะกร้าอยู่ใบหนึ่ง นางยื่นตะกร้าให้จีหมิงซิว “ไข่เยี่ยวม้าที่ข้าหมักเอง หากท่านไม่รังเกียจก็รับไปลองชิม จะกินดิบก็ได้ ทำยำ ผัด หรือใส่ในข้าวต้มก็ได้ บำรุงกระเพาะดี แต่ระวังอย่าทานมากเกินไปในครั้งเดียว”
จีหมิงซิวรับตะกร้ามา เขานิ่งอยู่ครู่หนึ่งก็ขยับเข้ามาใกล้ๆ จ้องมองดวงตาโตที่แสร้งทำเป็นนิ่งสงบของนาง แล้วเอ่ยหยอกเย้า “คิดว่าเจ้าตัดใจจากข้ามิลงจึงเรียกข้าให้ค้างคืนเสียอีก เดินช้าเสียเปล่าแล้วสิ”
เฉียวเวย “!”
จีหมิงซิวยืดตัวขึ้น เลิกคิ้วแล้วถอนหายใจ “ตอนนี้จะรั้งก็สายไปแล้ว ขอตัว”
เฉียวเวย “…”
หลังจากที่จีหมิงซิวออกไป เฉียวเวยก็หันหลังกลับเข้ามาในเรือน หัวใจเต้น ตึกตัก! ตึกตัก! คงเป็นเพราะเมื่อครู่เดินเร็วเกินไป นางไม่มีทางหน้าแดงหัวใจเต้นแรงเพราะคำพูดหยอกเย้าประโยคสองประโยคนั่นหรอก
เฉียวเวยเดินเข้ามาในห้องอย่างวางท่า
จากนั้นนั่งบนเตียง กอดหมอนปิดหน้าอย่างนิ่งสงบ แล้วหายใจเข้าลึกๆ “อ้ากกก”
คานบ้านสั่นสะเทือน…
การถูกลอบโจมตีครั้งนี้มิใช่ว่าจะไม่ได้รับสิ่งใดกลับมา แม้เรือนของนางจะเละเทะ และยังเสียน้ำมันงาไปสองขวด แต่ระหว่างทำความสะอาดเรือน เฉียวเวยเก็บเงินที่อู๋ต้าจินและบุรุษชุดดำทำตกไว้ได้ ถึงยี่สิบตำลึง!
ซื้อน้ำมันงาได้สองร้อยขวดโหลเลยทีเดียว!
ยังมีแผ่นทองคำอีกสองแผ่น ลาภลอยจริงๆ!
กลางเดือนนี้น้องชายของชุ่ยอวิ๋นไปสอบบัณฑิตถงเซิงรอบสุดท้าย หากสอบผ่าน เขาจะได้เป็นซิ่วไฉ ช่วยลดหรือยกเว้นภาษีให้ครอบครัวได้ แต่น่าเสียดายเขาทำไม่สำเร็จ
การค้าขายของเฉียวเวยในโรงน้ำชาหรงจี้ดีขึ้นเรื่อยๆ ราคาที่ขายก็สูงขึ้นทุกที จากตอนแรกขายสิบอีแปะต่อชิ้น ตอนนี้เพิ่มราคาขึ้นเป็นสิบห้าอีแปะต่อชิ้นแล้ว แต่รัชสมัยนี้เก็บภาษีแพง โดยเฉพาะการเก็บภาษีจากพ่อค้าวาณิช ด้วยเหตุนี้กำไรที่ตกมาถึงมือนางจึงเหลือไม่มาก
วันนี้นางหิ้วตะกร้าขนมสองตะกร้ากับไข่เยี่ยวม้าหนึ่งตะกร้าเดินเข้ามาในโรงน้ำชาหรงจี้
ยามนี้เถ้าแก่หรงชอบเทพแห่งโชคลาภตัวน้อยคนนี้ยิ่งกว่าเดิม เขาเดินเข้ามาต้อนรับด้วยรอยยิ้ม “โอ๊ะ เหตุใดวันนี้จึงมาเช้าเช่นนี้!”
เฉียวเวยยิ้ม “ข้ามีสิ่งใหม่มาแนะนำ”
“ทำรสชาติใหม่ออกมาอีกแล้วหรือ” นัยน์ตาของเถ้าแก่หรงเป็นประกาย
เฉียวเวยเปิดผ้าที่ปิดตะกร้าอยู่ เผยให้เห็นไข่เยี่ยวม้ายี่สิบฟอง เถ้าแก่หรงมองดูไข่เป็ดสีแปลกๆ แล้วขมวดคิ้ว “นี่คือสิ่งใด”
“ไข่เยี่ยวม้า”
นางสืบถามมาแล้วว่ารัชสมัยนี้มีแต่ไข่เค็ม ยังไม่มีไข่เยี่ยวม้า ไข่เยี่ยวม้ามีรสชาติเฉพาะตัว และมีคุณค่าทางยาบางอย่างจึงไม่ต้องกังวลว่าจะขายไม่ได้
ริมฝีปากของเถ้าแก่หรงกระตุก เขาไม่เคยเห็นไข่แบบนี้มาก่อน…
“ให้ข้ายืมครัวสักหน่อย” เฉียวเวยเดินเข้าไปในครัว แล้วทำข้าวต้มไข่เยี่ยวม้า ผัดไข่เยี่ยวม้ากับพริกหยวกและเต้าหู้ไข่เยี่ยวม้าทอด
เถ้าแก่หรงพาพ่อครัวมาชิม ทุกคนที่ได้ชิมตาเป็นประกาย!
เฉียวเวยยิ้มเล็กน้อย “เถ้าแก่หรงถูกปากหรือไม่”
เถ้าแก่หรงพยักหน้าประหนึ่งกำลังตำกระเทียม!
“เจ้าขายไข่นี่เท่าไร”
เฉียวเวยเปิดราคาด้วยความมั่นใจ “ฟองละหนึ่งร้อยอีแปะ”
เถ้าแก่หรงไม่คิดแม้แต่น้อย ตบโต๊ะดังลั่น!
“ตกลง!”