บทที่ 163 ปรสิตเป็น ๆ

เจ้าของร้านพิศวง

อะไรที่มีชีวิตเหรอ?

หลินเจี๋ยรู้สึกขนลุกขนพองทันทีที่ได้ยินคำเหล่านั้น

เขาเหลือบมองรายงานในมือของเขา…ตามด้วยตัวอย่างจำนวนเล็ก ๆของแก่นจันทร์ศักดิ์สิทธิ์ในถุงพลาสติกที่แนบมากับเอกสารด้วย แล้วกระเถิบไปด้านหลังในขณะที่ยังรักษารอยยิ้มฝืน ๆ เอาไว้

แล้วชายหนุ่มก็วางแฟ้มลงบนเคาน์เตอร์แล้วเลื่อนมันไปหาคล็อด บ่งบอกว่าเขาอ่านมันเสร็จแล้ว

เมื่อคำพูดว่า ‘อะไรที่มีชีวิต’ ถูกเอ่ยออกมา ส่วนประกอบทั้งหมดของแก่นจันทร์ศักดิ์สิทธิ์ก็ถูกมองด้วยมุมมองที่ต่างออกไปโดยสิ้นเชิง

ความรู้สึกไม่ชอบที่ฝังรากลึกต่อสารเสพติดเปลี่ยนไปเป็นความรู้สึกขนลุกเมื่อต้องมาเห็นอะไรที่น่าขยะแขยง

ต้องรู้ก่อนว่าแก่นจันทร์ศักดิ์สิทธิ์นั้นปรากฏออกมาในรูปแบบของ ‘บุหรี่’ และผู้ใช้มันจะต้องทำตามขั้นตอน ‘จุดไฟ’ และ ‘สูดดม’ เพื่อใช้งานมัน

นั่นก็หมายความว่าหากมีอะไรที่มีชีวิตอยู่ในหมู่ส่วนผสม มันก็เป็นไปได้สูงมากด้วยว่ามันจะเข้าไปในร่างกายของผู้ใช้ผ่านทางควัน

มันยังมีโอกาสด้วยว่ามันอาจจะถูกคนอื่นใกล้ ๆ คนที่ ‘สูบ’ มันหายใจเข้าไปด้วย

ตอนนั้นเองที่หลินเจี๋ยพลันนึกขึ้นได้ว่าวินเซนต์เกือบได้จุดแก่นจันทร์ศักดิ์สิทธิ์ในร้านหนังสือนี้แล้วเมื่อครั้งก่อน แล้วเขาเกือบจะทำมันตรงหน้าเขาแล้วด้วย โชคดีที่ชายหนุ่มจับพฤติกรรมแปลก ๆ ของวินเซนต์หยุดไม่ให้เขาสูบบุหรี่ในที่สาธารณะได้ แล้วบอกไม่ให้เขาแตะต้องมันอีก

ไม่ว่าอะไรจะอยู่ข้างในนั้น แต่ความคิดว่า ‘อะไรที่มีชีวิต’ นั่นคงทำให้ไม่ว่าใครก็ขยะแขยงทั้งนั้น

สายตาของหลินเจี๋ยทอดมองลงไปที่ตัวอย่างบุหรี่อีกครั้ง หลังจากสงบใจตนเองแล้ว หลินเจี๋ยก็พูดเย้า “ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่า ธรรมชาติที่ชวนให้เสพติดของแก่นจันทร์ศักดิ์สิทธิ์นี่…อาจจะเป็นไปได้ว่าเป็นฝีมือของส่วนผสมที่ไม่รู้ว่าคืออะไรนี่สินะครับ”

“มันไม่ใช่การติดยา แต่มันคืออะไรที่เป็นเชิงปรสิตมากกว่า”

คล็อดพยักหน้าทื่อ ๆ “ครับ จากผลการวิเคราะห์แล้ว ส่วนประกอบอื่นนั้นมีผลให้คงตัวในลักษณะเดียวกับสารกันบูดและไม่ได้มีอะไรที่ทำให้เกิดอาการติดยาได้เลยครับ ดังนั้นเจ้าส่วนประกอบที่ไม่รู้ว่าคืออะไรนี่คงจะเป็นตัวการที่เป็นไปได้ที่สุด”

เขาหันไปมองเหยื่อโดยตรงอย่างวินเซนต์แล้วพูดขึ้น “คุณพ่อวินเซนต์สูบแก่นจันทร์ศักดิ์สิทธิ์มาเป็นระยะเวลาสั้น ๆ อาการของเขาในตอนแรกไม่ได้เด่นชัด แล้วเขาก็หยุดใช้มันทันเวลา…เจ้าสิ่งมีชีวิตนี่กลัวไฟครับ ดังนั้นคุณพ่อจึงโชคดีสุด ๆ เลยที่เคยถูกไฟคลอกมาก่อน ผลของมันคือทำให้พวกมันตาย ดังนั้นคุณบาทหลวงเลยไม่ได้ถูกพิษมันมากนักครับ”

วินเซนต์พยักหน้าด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เขาไม่ได้ให้ข้อมูลใด ๆ เกี่ยวกับดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ซึ่งเป็นเทพจอมปลอมให้กับคล็อดเลย ดังนั้นคล็อดจึงคาดเดาไปว่าเขาบรรลุพลังพิเศษที่เป็นธาตุไฟ

“ผมยังต้องขอบคุณเจ้าของร้านหลินนะครับ ถ้าไม่ใช่เพราะคำเตือนของคุณ ผมคงกลายเป็นหนึ่งในคนที่ติดยาโดยไม่รู้ตัวเข้าแล้ว”

แม้ว่าตัววินเซนต์เองจะทำลายส่วนประกอบของแก่นจันทร์ศักดิ์สิทธิ์ไปหมดแล้วในระหว่างการหลอมรวมตัวเองเข้ากับแก่นแห่งดวงตะวันก็ตาม แต่เขาก็ยังมีความรู้สึกกลัวอย่างสุดขีด และในขณะเดียวกันในใจเขาก็มีโทสะและความแค้นสุมแน่นด้วย

เขากลัวในสิ่งที่จะเกิดขึ้นถ้าเขาไม่ได้มาพบกับเจ้าของร้านหลิน

โทสะและความแค้นของเขานั้นเกิดมาจากความจริงที่ว่ายังมีผู้บริสุทธิ์อีกมากมายที่ยังใช้แก่นจันทร์ศักดิ์สิทธิ์โดยไม่รู้อิโหน่อิเหน่ และเต็มใจจะสูดดมเจ้าสิ่งที่ไม่รู้ว่าคืออะไรนี่เข้าไปในร่างกายของพวกเขา

วินเซนต์ไม่ใช่บาทหลวงคนแรกที่ใช้แก่นจันทร์ศักดิ์สิทธิ์ มีนักบวชอีกกลุ่มหนึ่งใช้มันมาก่อนหน้าเขา และบาทหลวงอีกหลายคนที่เขารู้จักก็ใช้แก่นจันทร์ศักดิ์สิทธิ์ด้วย

เขาไม่รู้ว่าโบสถ์แห่งจุดสูงสุดวางแผนอะไรไว้ แต่ดูจากการกระทำของพวกเขาแล้ว ก็พอจะเดาได้ว่ามันต้องเป็นเป้าหมายที่ไม่สามารถบอกต่อสาธารณะได้แน่

วินเซนต์เพิ่งจะได้ค้นพบเบาะแสเล็ก ๆ ของความจริงเท่านั้น แล้วอัครสาวกลำดับที่ 7 วาเนสซ่าก็ส่งคนมาสังหารเขาโดยไม่มีการไต่สวนใด ๆ

จินตนาการได้เลยว่าไม่ว่าอะไรที่พวกเขาซ่อนไว้นั้น จะให้หลุดรอดไปไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว

มีเพียงพวกเขาเท่านั้นที่เปิดโปงทุกสิ่งได้!

นี่รู้สึกเหมือนเป็นภาระอันหนักอึ้งบนบ่าของวินเซนต์ สิ่งที่กระตุ้นเขาให้ไปต่อในตอนนี้ได้ไม่ใช่แค่เพียงความแค้น แต่เป็นความรู้สึกรับผิดชอบและหน้าที่ของเขาด้วย…

มันเหมือนกับตอนที่ยังช่วยผู้คนในสังฆมณฑลปัดเป่าวิญญาณร้ายด้วยความใจบุญสุนทานในใจเขา…นั่นเป็นอะไรที่อยู่สูงยิ่งกว่าความแค้น

วินเซนต์กำหมัดในขณะที่ทัศนคติของตัวเองเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง

หลินเจี๋ยพึมพำ “งั้นตอนนี้เราก็ยังต้องเริ่มจากหอการค้าแอช…ผมเพิ่งได้รับเบาะแสที่เป็นประโยชน์มาจากเชอร์รี่ด้วยครับ”

เขาเล่าให้พวกเขาฟังเกี่ยวกับสถานการณ์ที่คอนกรีฟแอบขัดการส่งสินค้าอย่างลับ ๆ และความเป็นไปได้สูงที่จะมีใครสักคนชักใยอยู่เบื้องหลัง

ถ้าพวกเขาสามารถหาได้ว่าสินค้าชุดนั้นหายไปไหนล่ะก็ พวกเขาอาจจะพบเจตนาที่แท้จริงของโบสถ์แห่งจุดสูงสุดด้วยก็ได้…

ในที่สุดคล็อดก็เข้าใจ ในตอนที่เขาพบว่าคนที่อยู่ปลายสายของอุปกรณ์สื่อสารเป็นเชอร์รี่แห่งหอการค้าแอช เขาก็รู้สึกราวกับได้เห็นเหมืองทอง…งบประมาณ 40% ของฝ่ายข่าวกรองนั้นมาจากหอการค้าแอชซึ่งเป็นผู้สนับสนุนพวกเขาอย่างแท้จริง

ในครั้งก่อนตอนที่ไวลด์มาเยือนร้านหนังสือ หอพิธีกรรมต้องห้ามเคลือบแคลงและคิดว่าที่นี่อาจจะเป็นแหล่งกบดานของนักเวทมนตร์ดำก็ได้ ทว่าร้านหนังสือนี้มีการหนุนหลังจากหอการค้าแอช และเพราะฉะนั้นพวกเขาเลยไม่กล้าออกหมายค้น

แม้จะมีคุณธรรมค้ำจุน แต่หากต้องเผชิญการถูกตัดงบแล้ว มันไร้ค่าไปทันควัน

แน่นอนว่าตอนนี้เขาตั้งตารออยู่ว่าเชอร์รี่จะสามารถนำเบาะแสที่เป็นประโยชน์อะไรมาให้เขาได้บ้าง

หลินเจี๋ยหยิบอุปกรณ์สื่อสารขึ้นมาอีกครั้งแล้วพูดขึ้น “เชอร์รี่ คุณได้ยินทั้งหมดที่เราคุยกันเมื่อครู่ไหมครับ?”

เชอร์รี่ตอบกลับ “ได้ยินค่ะ”

เสียงของเธอฟังดูตื่นเต้นเกินไปหน่อย อะไรที่มีชีวิตเหรอ? สถานการณ์ที่รายล้อมโบสถ์แห่งจุดสูงสุดอยู่นั่นน่าสนใจเกินไปแล้ว แล้วฟังดูเหมือนพวกเขาจะมีแผนล้มโบสถ์แห่งจุดสูงสุดแล้วสร้างโบสถ์ใหม่กันด้วยนี่

เชอร์รี่สนับสนุนเรื่องนี้อย่างสุดหัวใจ

นี่เป็นเพราะว่าโบสถ์แห่งจุดสูงสุดนั้นเป็นขุมพลังที่อยู่ในระดับเดียวกับหอการค้าแอชซึ่งมีความเชื่อมโยงแน่นแฟ้นกับบริษัทพัฒนาทรัพยากรโรลล์ และพวกเขามักจะติดต่อกันอยู่บ่อย ๆ

แม้ว่าสาขาของหอการค้าแอชที่เชอร์รี่นำอยู่จะมีคลังสินค้าอยู่มากมายเช่นกันก็ตาม แต่พวกเธอก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดีในเมื่ออีกฝ่ายไม่ได้เลือกพวกเธอ

ดังนั้น นั่นจึงเป็นวิธีที่เชอร์รี่จะหาเงินเพิ่มได้โดยไม่ต้องลงแรง

แต่ถ้าพวกเขาจะสร้างศาสนาใหม่ขึ้นมา และถ้าคนก่อตั้งมันเป็นลูกค้าของเจ้าของร้านหลิน มันจะกลายเป็นโอกาสอันสมบูรณ์แบบที่จะผูกขาดการทำธุรกิจต่อกันได้ ถ้าพวกเขาสามารถแทนที่โบสถ์แห่งจุดสูงสุดได้จริง ๆ

เธอรอที่จะไปถึงร้านหนังสือไม่ไหวแล้ว

ทั้งสองฝ่ายทั้งต้นและปลายสายต่างกระตือรือร้น เฝ้ารอให้การสืบสวนดำเนินต่อ

และด้วยความช่วยเหลือของมูเอน วินเซนต์ก็เริ่มการเทศนาธรรมครั้งแรกของเขา…

วิหารกลาง โบสถ์แห่งจุดสูงสุด

นักบวชกลุ่มหนึ่งกำลังรอให้พระสังฆราชเชิญเข้าไปหา

พวกเขาทุกคนต่างผูกผ้าปิดตา แต่เห็นได้ชัดจากสีหน้าของพวกเขาว่าแต่ละคนต่างมีความเบิกบานใจต่าง ๆ กันไป แล้วใบหน้าของพวกเขาต่างเปี่ยมด้วยความตื่นเต้น

นักบวชที่มาชุมนุมกันนี้ ส่วนใหญ่เป็นบาทหลวงและแม่ชีธรรมดา ๆ เหมือนกับวินเซนต์ บุคคลระดับสูงที่พวกเขาได้เจออย่างมากก็แค่อัครสาวก และได้รับพิธีชำระบาปอย่างง่ายในพิธีแต่งตั้งอัครสาวกคนใหม่

ในขณะเดียวกัน พวกเขาสามารถเห็นสตรีศักดิ์สิทธิ์และพระสังฆราชได้เพียงจากที่ไกล ๆ เพียงครั้งเดียวต่อปีในระหว่างพิธีกรรมในวันจุติเทพ

ในใจของพวกเขามีเพียงความชื่นชม บูชา และอยากพบผู้นำของพวกเขา

ในตอนนี้เมื่อกลุ่มนักบวชธรรมดาผู้ต่ำต้อยจะได้เข้าพบพระสังฆราช นี่ไม่ต่างจากเกียรติอันสูงสุดที่พวกเขาจะได้รับได้เลย เหล่านักบวชพยายามกดข่มความตื่นเต้นของพวกเขาไว้ แต่ทั้งใบหน้าและลำคอของพวกเขาต่างแดงเถือก และบางคนกระทั่งตัวสั่น

สตรีศักดิ์สิทธิ์ผู้งดงามที่มองพวกเขาอยู่จากด้านข้างยิ้มอย่างอบอุ่นแล้วขานชื่อออกมาสองสามชื่อ “ท่านที่ดิฉันขานชื่อออกมา ตามดิฉันเข้ามาก่อนนะคะ ส่วนคนอื่น ๆ รออยู่ที่นี่ก่อนสักครู่นะคะ”

“ครับ/ค่ะ!”

บาทหลวงและแม่ชีที่ถูกขานชื่อต่างตอบรับทันทีแล้ววาดจันทร์เสี้ยวโค้งบนอกของตน ก่อนจะตามสตรีศักดิ์สิทธิ์เข้าไปในห้องด้านใน

ด้วยความที่ผูกผ้าปิดตาเอาไว้ พวกเขาจึงไม่เห็นว่ามีเครื่องหมายบนแก้มและคอแดง ๆ ของพวกเขาที่บิดตัวยุกยิกไปมาให้เห็นรำไรราวกับเป็นเส้นเลือด และในขณะเดียวกันมันก็ดูคล้ายกับ…ฝูงหนอน!