ภาคที่สอง-หิมะใต้หล้า ตอนที่ 138 สร้างสะพานพบกัน

เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า

ตอนที่ 138 สร้างสะพานพบกัน

ไข่มุกครรภ์ราชันปีศาจแตก!

ยอดปีศาจพวกนั้นที่เคยติดตามปราชญ์ปฐมเก้าวิญญาณออกรบภูเขาแดง บ้างพลังบำเพ็ญบรรลุราชันดาราของผู้บำเพ็ญเผ่ามนุษย์ ตายไปแล้ว ซากศพเป็นเถ้าถ่าน หลงเหลือเพียงไข่มุกครรภ์ หนิงอี้ถือไข่มุกครรภ์ราชันปีศาจในมือสี่เม็ด ในนั้นแฝงแสงดาราจำนวนมาก หลังบีบแตกก็จะซึมเข้าผิวหนัง เหมือนมังกรน้ำเล็กพุ่งชน

มังกรน้ำเวียนว่าย ยืดยาวไปทั่วร่างกาย

ก่อนค่อยๆ รวมกันจนถึงในตันเถียนของหนิงอี้

เวลาร้อยปีพันปีผ่านไป ราชันปีศาจพวกนี้ตอนมีชีวิตมีพลังบำเพ็ญล้นฟ้า วางไว้ใต้ฟ้าเผ่าปีศาจก็เป็นบุคคลปกครองเมฆลมหนึ่งทิศ น่าเสียดายว่ากาลเวลาไร้ความเห็นใจมากที่สุด ตอนนี้ตัวตายมรรคสลาย ไข่มุกเม็ดเดียว พลังบำเพ็ญพันปี กระจายในร่างกายหนิงอี้

หนิงอี้นั่งขัดสมาธิกับพื้น

เขาหลับตาลง สัมผัสถึงแสงดารามหาศาลนั้นที่กำลังก่อตัวช้าๆ และพุ่งจากตันเถียนขึ้นกลางกระหม่อม

เทียบกับตอนทะลวงขอบเขตที่ห้าไปขอบเขตที่หกแล้ว ไข่มุกครรภ์ราชันปีศาจหลายเม็ดในสุสานภูเขาแดงนี้ พลังแห่งแสงดาราที่ซ่อนอยู่ข้างในบริสุทธิ์ยิ่งกว่า อีกทั้งยังแข็งแกร่ง

เป็นราชันปีศาจเหมือนกัน พลังบำเพ็ญก็มีอ่อนแอและแข็งแกร่ง การสั่งสมก็มีแบ่งลึกและหนา

ไข่มุกครรภ์ราชันปีศาจหลายเม็ดใต้ดินจวนภูเขาคราม ถ้าวัดกันที่การตกตะกอน ไม่อาจเทียบกับในมือหนิงอี้ตอนนี้ได้เลย เพิ่งบีบแตก หัวใจหนิงอี้ก็ดังกึก ลอยขึ้นมา

พลังเหี้ยมโหดพุ่งขึ้นมา หนิงอี้หน้าเขียวแดงสลับกัน สองมือกดลง กอดหัวเข่าแน่น ชุดคลุมใหญ่สีดำถูกพลังไร้รูปพัดลอยขึ้นข้างบน ดังพึ่บพั่บ

ทะลวงด่านเหมือนฝ่าหายนะ

หนึ่งด่านก็คือหนึ่งเคราะห์ภัย

ขอบเขตที่หกคือขอบเขตสุดท้ายของช่วงกลาง

ขอบเขตที่เจ็ดคือขอบเขตแรกของช่วงปลาย

ระหว่างสองขั้นดูเหมือนห่างเพียงขั้นเดียว แต่ต่างกันมาก ไกลโพ้น เหมือนร่องสวรรค์

จวนภูเขาครามที่ปักหลักในเมืองหลวง คุณชายน้อยในนั้นมีสายเลือดที่ได้รับแต่งตั้ง ผู้บำเพ็ญที่ได้ขึ้นไปแนวหน้าได้ล้วนเป็นบุคคลขอบเขตที่เจ็ด พลังบำเพ็ญแสงดาราขอบเขตที่เจ็ด ในรุ่นเยาว์ถือว่าเป็นผู้โดดเด่น ส่วนศิษย์ในสำนักขอบเขตที่หก เทียบกับขอบเขตที่เจ็ดแล้วเป็นขุนนางข้ามแม่น้ำ ระดับไม่เสมอกัน วางไว้ในสายเลือดเฉพาะในสำนักยังถือว่าโดดเด่น ถือว่าเป็นชั้นหนึ่งที่ต่ำกว่าคุณชายน้อย แต่ถ้าวางในสำนักศึกษาจริงๆ คนที่มีคุณสมบัติพูดได้ นอกจากคุณชายใหญ่ของสี่สำนักศึกษาแล้วก็มีเพียงคุณชายน้อยที่ได้รับการแต่งตั้งฉายา ขอบเขตที่หกดูธรรมดาอย่างชัดเจน กระทั่งพื้นๆ

ใต้ฟ้าต้าสุย หลังจากสวีจั้งออกกระบี่นั้น ก็เหมือนจะทำให้เกิดยุคใหม่หมด

อัจฉริยะเริ่มผงาดขึ้น

แดนบูรพาประจิมสองแดน สำนักเต๋าฝ่ายพุทธ เริ่มแตกกิ่งใหม่ใบหยกมาเรื่อยๆ ผู้แข็งแกร่งรุ่นเยาว์มากมายหลั่งไหลกันมา โลดแล่นในเทือกเขาประจิมกับดินบูรพา แม้จะยังไม่เข้าเมืองหลวง แต่ผลการรบน่าตกใจ ดูถูกไม่ได้เลย

ในระบบของพลังบำเพ็ญแสงดารา ความจริง ขอบเขตปราณกระบี่ของนักกระบี่ ส่งผลกับกำลังรบโดยรวมไม่มาก…เพราะผู้บำเพ็ญใต้ฟ้าต้าสุยมีมากจริงๆ พกดาบห้อยกระบี่ นับไม่ถ้วน แต่คนที่มีสิทธิ์ถูกเรียกว่านักกระบี่จริงๆ มีน้อยมาก

เว้นแต่จะเป็นแบบสวีจั้งแห่งเขาสู่ซาน เป็นตัวอ่อนกระบี่ที่เกิดมาเพื่อกระบี่ ไม่อย่างนั้นก็ยากจะมีใครฝึกพลังบำเพ็ญปราณกระบี่ตามพลังบำเพ็ญแสงดาราทัน

มีคนติดอยู่ขอบเขตที่สิบ ลำบากก็ยังทะลวงพลังไม่ได้ ตอนนี้เพิ่งจะได้ถือกระบี่อย่างแท้จริง เริ่มตระหนักรู้ปราณกระบี่ ในที่สุดก็เป็นนักกระบี่ในขอบเขตที่สิบได้ พลังบำเพ็ญปราณกระบี่หนึ่งชั้นฟ้า กำลังรบจะเทียบเท่าผู้บำเพ็ญแสงดาราขอบเขตที่เจ็ดโดยแท้ สำหรับผู้บำเพ็ญขอบเขตที่สิบแล้ว ปราณกระบี่หนึ่งชั้นฟ้าที่เพิ่มมา ถือว่ามีน้อยก็ยังดีกว่าไม่มีเลย

ผู้บำเพ็ญที่มีจำนวนน้อยยิ่ง อย่างเช่นคนเขาอนันต์เล็ก คนตำหนักทะเลสาบกระบี่ คนที่ใช้กระบี่เป็นประจำพวกนั้น ตระหนักรู้ในขอบเขตที่เจ็ด เป็นนักกระบี่ ก็ถือว่าเป็นอัจฉริยะที่ค่อนข้างน่าตกใจแล้ว พลังบำเพ็ญปราณกระบี่เป็นอาวุธสังหารเท่าฟ้าในขอบเขตพลังเดียวกัน แสงดารากับปราณกระบี่ส่งเสริม สองสิ่งซ้อนทับกัน ก็แทบจะถือว่าเป็นศัตรูไร้พ่ายในขอบเขตเดียวกัน เว้นแต่จะเป็นคนประเภทที่มีวิชาลับ ไม่อย่างนั้นแทบจะไม่มีกลอุบายใดใช้สู้กับอัจฉริยะฝึกสองศาสตร์ได้เลย

ส่วนแบบหนิงอี้ ตระหนักพลังบำเพ็ญปราณกระบี่ในขอบเขตที่หก วางในใต้ฟ้าต้าสุยก็ยากจะหาเจอได้…หาได้ยากมากจริงๆ

เป็นขนหงส์เขากิเลน

ทว่า…

แบบหนิงอี้ ฝึกแสงดารา ยกระดับหนึ่งขอบเขตพลัง ก็ทำให้ภูเขาศักดิ์สิทธิ์น้ำตานองเป็นสายเลือด น่าจะมีคนเดียวในใต้ฟ้าต้าสุย

มังกรจู๋หลงน้อยเฉาหลัยแห่งแดนอุดรอะไร เยี่ยหงฝูแห่งเขาลั่วเจียอะไร คนมีชื่อเสียงฝึกบำเพ็ญกินทรัพยากรจำนวนมาก คนหนึ่งเป็นผู้บำเพ็ญพเนจร สังหารผู้แข็งแกร่งรุ่นเยาว์ใต้ฟ้าเผ่าปีศาจไปทั่ว ท้าสู้กับอัจฉริยะเขาศักดิ์สิทธิ์มากมายเพื่อชิงทรัพยากรมาพัฒนาตนเอง ส่วนอีกคนเป็นความหวังในอนาคตของเขาศักดิ์สิทธิ์อันดับหนึ่ง ศิษย์เพียงคนเดียวของฝูเหยา ทุ่มกำลังทั้งหมดบ่มเพาะ การฝึกบำเพ็ญของสองคนนี้ไม่ยากเท่าหนิงอี้เลย

การจะทะลวงหนึ่งขอบเขตพลัง กลับต้องใช้ไข่มุกครรภ์ราชันปีศาจในช่วงกลาง

ไข่มุกตะวันคร้านพันปีเหมือนดื่มน้ำ

สำหรับอัจฉริยะเขาศักดิ์สิทธิ์แล้ว ล้วนบอกว่าได้กินคือโชคดี หากเขาศักดิ์สิทธิ์ปรากฏเด็กหนุ่มที่มีคุณสมบัติพรสวรรค์สุดยอด โดยเฉพาะกินทรัพยากรเก่ง เช่นนั้นจะต้องเป็นเรื่องน่ายินดีแน่นอน

แต่หากปรากฏคนโหดอย่างหนิงอี้ เช่นนั้นก็บอกได้ว่าเป็นพิษเลือดที่สังหารไปแปดชั่วโคตร

ต่อให้เป็น ‘เซียนจุติ’ ลั่วฉางเซิง ก็เกรงว่าคงกินไม่เก่งเท่าหนิงอี้

หนิงอี้คนนี้กำลังฝ่าด่านยากของขอบเขตที่เจ็ด ยากจะจินตนาการได้ว่าหากเขาทะลวงขอบเขตที่เจ็ด ขอบเขตที่แปดที่เก้าและสิบจากนี้ จะยากขึ้นไปทีละขั้น ควรใช้ทรัพยากรเท่าไรในการเติมเต็มถ้ำไร้ก้นแห่งนี้

……

ในทะเลสาบจิตของหนิงอี้ รูปปั้นของเคียงกระบี่สั่นไหวเบาๆ

หนวดมังกรอักษรเต่ารุ้งขาวกระบี่ยาวสามเล่มลอยอยู่เหนือทะเลสาบจิต ตอนนี้เริ่มสั่นไหวไม่แน่นอน เพราะการทะลวงพลัง ทำให้ทะเลสาบจิตไม่สงบนิ่งอีก แต่เดือดพล่านขึ้นมา รอบๆ มีน้ำทะเลสาบระเบิดลอยขึ้น

ที่ราบกระดูกกินแสงดาราไปมากมาย ในบ่อสีขาวบริสุทธิ์นั้น แสงดาราคงอยู่ร่วมกับความเป็นเทพ หากหนิงอี้จะทะลวงพลัง จะก้าวข้ามขอบเขตแสงดาราหนึ่งขั้น ก็ต้องให้มันกินอิ่มก่อน

ใยหลิ่วสีขาววนเวียนรอบตัวหนิงอี้

สถานการณ์ของเขาไม่ค่อยดีนัก เป็นเช่นนี้มาตลอด หนิงอี้กินไข่มุกปีศาจ ล้วนใช้วิธีที่ค่อนข้างบุ่มบ่าม เศษแสงดารามากมายยังไม่หลอมละลาย ไอปีศาจที่เหลือมากกว่ายังตกค้างอยู่ในร่างกาย

กายและจิตที่ผ่านการหล่อหลอมอย่างไร้รูปจากที่ราบกระดูกทำให้หนิงอี้กินทรัพยากรได้อย่างไม่ต้องกลัวความเสี่ยง ขอแค่ไม่ข้ามขั้นมากเกินไป เช่นนั้นขอแค่เขากล้ากิน ที่ราบกระดูกก็กล้าหลอมละลาย บ่อแห่งนี้รับความเป็นเทพ แต่ภาชนะกลับใช้ผนังในที่รองด้วยแสงดารา หนิงอี้อยากได้ความเป็นเทพมากเท่าไรก็ต้องการแสงดารามากเท่านั้น

หลังจากบีบไข่มุกครรภ์ราชันปีศาจแตกในอึดใจเดียวสี่เม็ด สติของหนิงอี้ก็ดังสนั่น เข้าสู่เงามืด

เขาเหมือนมาอยู่ในแดนเทวาของร่างกายตนเอง

คลื่นลมปั่นป่วนมากมายถูกพลังของไข่มุกครรภ์ราชันปีศาจสี่เม็ดเหนี่ยวนำ

การทะลวงพลังของหนิงอี้ดูฉุกละหุกมาก

นอกตำหนัก ไอปีศาจของยอดปีศาจกิเลนนั่นคืบคลานเข้ามาเงียบๆ แล้ว

หนิงอี้หน้าซีดขาว นั่งขัดสมาธิลงกับพื้น

เขาท่องคัมภีร์จิตม่วงเร้นของสำนักเต๋าซ้ำไปมา ใช้คัมภีร์พลิกกลับของเขาสู่ซานลองกำราบทะเลจิต ไปถึงฝั่งของขอบเขตที่เจ็ด…ทว่าเศษแสงดาราที่เหลือในเส้นชีพจรถูกไข่มุกครรภ์ที่มีไอปีศาจหนาแน่นสี่เม็ดลุกแผดเผา สายฟ้าสวรรค์เหนี่ยวนำอัคคีปฐพี ลุกโชติช่วงขึ้นมา

ภัยแฝงเร้นที่อยู่มานานบางส่วน ตอนนี้พลันลุกโชน พอลุกขึ้นมาก็ไม่อาจจัดการได้

หนิงอี้มีสีหน้าเหี้ยมเกรียมเล็กน้อย

ทะเลสาบจิตเดือดพล่าน

ใครจะสยบได้

……

อุณหภูมิหนาวเย็นแผ่มาจากข้างหลัง

คล้ายกับทิวทัศน์ตอนฝนตกหนักบนภูเขาแดงจนผิดแปลก

ฝ่ามือขาวเนียนหิมะคู่หนึ่งกดแผ่นหลังหนิงอี้เบาๆ ผ่านชุดคลุมดำ ก็ยังรู้สึกถึงความร้อนรุ่มในกายเด็กหนุ่ม

เด็กสาวคุกครึ่งหนึ่งหนึ่งบนพื้น งอเข่าสองข้าง สีหน้าเคร่งขรึม เม็ดเหงื่อเท่าถั่วไหลผ่านแก้มลงมา

สวีชิงเยี่ยนไม่รู้ว่าหนิงอี้เจอกับอะไร

แต่นางรู้สึกได้ว่าหนิงอี้เหมือนต้องการตน…

ดังนั้นนางเลยนั่งคุกเข่า ยื่นมือไปผ่านจิตสำนึกของตน

ทะเลสาบจิตเดือดพล่านของหนิงอี้ ชั่วครู่เดียว หยดน้ำฝนเท่าถั่วที่ดีดขึ้นก็ตกลงมาอีกครั้ง หยดเล็กหยดใหญ่ตกลงบนถาดหยก แตกเป็นคลื่นกระเพื่อมแล้ว สายฝนสั่นไหว ไม่เด้งขึ้นอีก

……

หนิงอี้เข้าสู่ขอบเขตที่ลี้ลับมาก

ไอปีศาจที่เหลือในกายถูกเหนี่ยวนำออกมา ไม่ซ่อนเร้นอีก แต่เป็นยาบำรุง

แสงดาราที่ใหญ่เกินไปกลายเป็นเติมเต็มพรสวรรค์ที่ยังไม่เพียงพอ หลังจากเติมบ่อของที่ราบกระดูกเต็มแล้วก็เริ่มป้อนกลับมา…แสงดาราพวกนี้มีจำนวนมาก มากพอให้หนิงอี้ก้าวสู่ขอบเขตที่เจ็ดได้สบาย

ไปถึงขอบเขตที่แปดไม่ได้แน่นอน แต่ก็ไม่ได้ก้าวสู่ช่วงหลังอย่างแท้จริง แต่เป็นแบบครึ่งก้าว

ทว่าเทียบกับพวกนี้แล้ว การเปลี่ยนแปลงในทะเลสาบจิตของหนิงอี้ต่างหากคือสิ่งอัศจรรย์อย่างแท้จริง

ใบไม้มากกว่าครึ่งของที่ราบกระดูก อยู่ในมือสวีชิงเยี่ยนก็เหมือนสะพาน

และตอนนี้สวีชิงเยี่ยนยื่นมือออกมา กดหลังหนิงอี้ ก็เป็นสะพานเช่นกัน

ดังนั้นในทะเลสาบจิตของหนิงอี้ รูปปั้นเคียงกระบี่ที่ลอยอยู่เหนือน้ำทะเลสาบ แขนเสื้อเริ่มถอดดินเหนียวออก ขยับขึ้นไปในทิศทางหนึ่งช้าๆ เริ่มเปิดเส้นทางสายหนึ่ง

กระบี่บินสามเล่มบินวนรอบสายรุ้งยาว ส่งเสียงดัง

บนทะเลสาบจิตมีสะพานเล็กข้ามเมฆหมอก

หนิงอี้หันกลับไปมองด้วยความงุนงง มองด้านนั้นของสะพาน มีแม่นางรูปร่างงดงามและเลือนราง

ทะเลสาบจิตกลับมาสงบนิ่ง

มีเสียงหนึ่งดังขึ้นบนสะพานนั้น

เหมือนน้ำค้างเหมือนสายฟ้า เหมือนเงามายาความฝัน

ได้ยินไม่ชัด

…….

บนใบหน้าของสวีชิงเยี่ยนมีเหงื่อไหลยาวลงมา นางหน้าซีดขาวเล็กน้อย แสงอ่อนไข่มุกมากมายตกลงมา น้ำฝนดังติงๆ กระจายบนบ่านาง

สองคนนั่งหน้าศิลาโบราณของสุสาน

หน้าหลังซ้ายขวา สายลมพัดมารอบๆ

สายลมนั้นพัดแขนเสื้อเด็กหนุ่มดังพึ่บพั่บ เด็กสาวที่นั่งคุกเข่าข้างหลังเด็กหนุ่มลืมตาขึ้นไม่ได้นิดๆ

ลืมตาไม่ขึ้น แต่ก็ไม่ได้ขวางให้สวีชิงเยี่ยนมองไม่เห็นด้านนั้นของสุสาน

กลางความมืด มีเสียงหอบหายใจหนักหน่วง

อิฐสมบูรณ์ตรงสุดทางเดินถูกฝ่ามือตบแตก ดินหินกระจาย

ร่างเงาสีทองอมดำสูงใหญ่กลางหมอกมืดจับผนังหินก้าวออกมาช้าๆ

หนิงอี้เหมือนไม่ได้ยิน ยังอยู่ในการตระหนักรู้

ทะเลสาบจิตเกิดคลื่นลมขึ้น

ทางนั้นของสะพาน

ในที่สุดเสียงแหบแห้งและร้อนใจของเด็กสาวก็ดังแว่วมา

“หนิง…อี้!”