บทที่ 138 ข้อเท็จจริงหลังความตาย

ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี

หลุมศพจักรพรรดิอสูรองค์แรกนั้นกว้างใหญ่ ไม่เพียงกินพื้นที่เกือบทั้งหมดของภูเขาที่อยู่บนเกาะเท่านั้น แต่ยังขุดลึกลงไปใต้ผืนดินพอสมควร หลุมฝังศพเป็นสถานที่เก็บโลงศพของจักรพรรดิอสูรองค์แรกมีอยู่จริง ณ ที่แห่งนี้!

องค์ชายอสูรทั้งสามพร้อมด้วยทหารองครักษ์อสูรติดตามองค์หญิงบุปผาลงสู่ใต้ดิน ซึ่งขุดลึกเข้าไปภายในหลุมฝังศพจักรพรรดิอสูรองค์แรกผ่านแนวหินที่ฝังอยู่ใต้เกาะ

เถาวัลย์ทะลุทะลวงผ่านชั้นหินเหล่านั้นเพื่อล่วงหน้าเข้าไปสำรวจภายใน หลังจากรับรู้พื้นที่แล้ว เถาวัลย์จึงเลื้อยกระจายออกไปเว้นว่างไว้เป็นทางเดิน

“เข้าไปข้างในได้ ไม่มีกับดักหรือค่ายกลใด ๆ”

องค์หญิงบุปผาเดินเข้าไปข้างในก่อน ตามด้วยองค์ชายจระเข้และองค์ชายอินทรี ถัดมาคือเหล่าทหารอสูร

หลังจากเข้าไปด้านใน องค์ชายอินทรีดีดนิ้วหนึ่งครั้งเพื่อจุดประกายไฟให้สว่างเรืองขึ้น แสงที่สาดส่องไปทั่วบริเวณ แสดงให้เห็นว่าได้มาถึงสุสานของจักรพรรดิอสูรองค์แรกแล้ว พื้นที่ภายในสุสานทั้งกว้างขวางและสงบเงียบ ใหญ่โตโอ่อ่าเสมือนพระราชวัง

“ดูนั่น!”

สายตาขององค์ชายจระเข้กวาดมองไปโดยรอบ ทันใดนั้นชี้ไปยังสถานที่แห่งหนึ่งในส่วนลึกของความมืดมิด

องค์ชายอินทรีเลื่อนเปลวไฟบนปลายนิ้วให้ส่องไปทางนั้นเล็กน้อย ฉับพลันแสงก็ส่องสว่างจนมองเห็นสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่ในความมืด โลงศพยักษ์ที่มีความสูงหลายสิบจั้งถูกแขวนตระหง่านลอยอยู่กลางอากาศด้วยโซ่เหล็กอย่างหนาหลายเส้น!

ฝูงชนที่เห็นภาพตรงหน้าต่างกลั้นหายใจด้วยความระทึก

อีกด้านหนึ่ง ไป๋ชิวหรานกับซูเซียงเสวี่ยก็ค้นพบทางเข้าสุสานหลวงตามแผนที่ได้ในที่สุด ทั้งสองเดินเข้าไปจนสุดทางบันไดสุสานอันมืดมิด ครั้นลงไปสู่ชั้นล่าง จึงได้พบว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเป็นโถงทางเดินกว้างที่พอจะให้รถม้าสองคันขับสวนทางกันได้

หลังจากเดินต่อไปอีกประมาณหลายสิบจั้ง ภาพจิตรกรรมฝาผนังที่มีรอยกระดำกระด่างเริ่มปรากฏขึ้นทั้งสองฟากฝั่งผนังตรงโถงทางเดิน

เวลาผ่านมาอย่างยาวนาน ทว่าภาพจิตรกรรมบนฝาผนังของโถงทางเดินเหล่านี้ยังคงปรากฏให้เห็น คงเป็นเพราะใช้เม็ดสีพิเศษบางอย่าง ถึงกระนั้นกลับมองเห็นเนื้อหาไม่ค่อยชัดเจนนัก ไป๋ชิวหรานและซูเซียงเสวี่ยพยายามพินิจดูอยู่ครู่หนึ่งภายใต้แสงสว่างของดวงไฟ แต่กลับตีความภาพเหล่านั้นไม่ออก

“ภาพเขียนสีบนผนังเหล่านั้นคือสิ่งใดกัน? ให้ข้าดูหน่อย”

จื้อเซียนริเริ่มความคิดเสนอเข้าช่วยเหลือ ไป๋ชิวหรานจึงยกเจ้าหัวกะโหลกขึ้นมาให้มองภาพจิตรกรรมบนฝาผนัง

จื้อเซียนจ้องมองอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวอธิบาย

“จิตรกรรมฝาผนังเหล่านี้พรรณนาถึงยุคสมัยของเผ่าเทพ เหล่าทวยเทพสถิตอยู่เหนือท้องฟ้า ปกครองดูแลทุกสรรพสิ่งบนโลก ดูเหมือนว่าในหมู่พวกเขาจะมีทั้งร่างของมนุษย์และอสูร เรื่องดังกล่าวคงต้องดูจากภาพต่อไป”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ไป๋ชิวหรานจึงอุ้มเจ้าหัวกะโหลกไปอีกทางหนึ่งพร้อมด้วยซูเซียงเสวี่ย หลังจากเดินตรงไปข้างหน้าทางพอสมควร จึงพบกับภาพจิตรกรรมจุดที่สองบนผนัง

จื้อเซียนกวาดสายตาสำรวจอีกครั้งด้วยทักษะทางภูมิปัญญาอันยิ่งใหญ่ของตน ก่อนจะกล่าว

“สิ่งที่จิตรกรรมฝาผนังชุดนี้กล่าวถึง คือผู้คนในเผ่าพันธุ์มนุษย์บังเอิญค้นพบวิธีการรวบรวมพลังปราณที่ซ่อนอยู่ในร่างกายให้แปรเปลี่ยนเป็นพลังวิญญาณที่แท้จริง แล้วฝึกฝนจนกลายเป็นเซียนได้ในที่สุด เขาเผยแพร่วิธีนี้ออกไปยังภูมิภาคอื่น ๆ หลังจากนั้นสิ่งมีชีวิตในเผ่ามนุษย์และอสูรเผ่ามารจึงทวีความเจริญรุ่งเรืองยิ่งขึ้น”

ไป๋ชิวหรานอุ้มจื้อเซียนเดินต่อไปข้างหน้า จนพบกับจิตรกรรมฝาผนังจุดที่สาม

“ภาพนี้แสดงให้เห็นว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์และอสูรเผ่ามาร ได้รวมตัวกันเพื่อต่อต้านอำนาจของเผ่าเทพ และล้มล้างการปกครองของเหล่าทวยเทพจนสิ้น”

ไป๋ชิวหรานเดินหน้าต่อไปอีก คราวนี้เห็นปลายสุดของโถงทางเดินแล้ว บนผนังถัดจากปลายโถงทางเดินปรากฏภาพจิตรกรรมฝาผนังจุดที่สี่

“ภาพเขียนนี้แสดงให้เห็นว่า หลังจากที่เผ่าเทพถูกโค่นอำนาจ เผ่ามนุษย์และอสูรเผ่ามารก็เริ่มหันหน้าทำสงครามกันเอง”

จื้อเซียนกล่าวหลังจากสำรวจภาพนั้น

“ดูเหมือนว่าอสูรเผ่ามารจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ มิฉะนั้นจักรพรรดิอสูรองค์แรกคงไม่สิ้นพระชนม์ และไม่จำเป็นต้องใช้พลังอันยิ่งใหญ่เหนือธรรมชาติเพื่อแยกโลกมารออกมาจากพื้นที่เก้ามหาทวีปสิบแผ่นดิน”

“หลักฐานเหล่านี้ใช้การไม่ได้”

ไป๋ชิวหรานยกมือขึ้นเกาบริเวณท้ายทอย

“หากเป็นเช่นนั้น แล้วในประวัติศาสตร์อสูรเผ่ามารเคยเอาชนะเผ่ามนุษย์หรือไม่?”

“เรื่องนั้นข้าไม่อาจล่วงรู้ แต่เท่าที่รู้ก็คือ ในการทำสงครามทุกครั้ง สัตว์อสูรทั้งหลายล้วนพ่ายแพ้ไปจนสิ้นแล้ว”

จื้อเซียนตอบกลับ

“มีความเพียรในการต่อสู้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ถึงแม้จะเผชิญความล้มเหลวทุกคราวไป แต่ก็ถือได้ว่าเป็นความกล้าหาญที่น่ายกย่อง… อีกทั้งยังพ่ายแพ้ให้กับเผ่าพันธุ์มนุษย์ทุกครั้งไป ดูเหมือนว่าชะตากรรมของโลกใบนี้จะขึ้นอยู่กับเผ่ามนุษย์อย่างแท้จริง”

“หากไม่มีสิ่งใดสำคัญแล้ว ก็ออกไปจากที่นี่กันเถอะ”

ไป๋ชิวหรานกล่าว

บริเวณสุดโถงทางเดินเป็นหลุมฝังศพขนาดใหญ่ ทว่าไม่มีโลงศพอยู่ในนั้น ใจกลางของหลุมฝังศพสี่เหลี่ยมจัตุรัสที่อยู่ลึกลงไป มีสมบัติเช่นทองคำและเงินจำนวนมาก กองทับถมอยู่บนพื้นจนสูงประหนึ่งเนินเขา

“สิ่งเหล่านี้คือทรัพย์สมบัติที่ทิ้งไว้ให้กับชนรุ่นหลังอย่างนั้นหรือ?”

ไป๋ชิวหรานขมวดคิ้ว

“เก็บเอาทรัพย์สมบัติเงินทองไว้จะเกิดประโยชน์อย่างไร… สู้เก็บหินวิญญาณยังดีเสียกว่า”

“มูลค่าของเงินตราในโลกมารก็เหมือนกับโลกมนุษย์ในเก้ามหาทวีปสิบแผ่นดิน พวกมันล้วนเป็นทองคำ เงิน และเงินตราที่ออกโดยราชสำนักของจักรวรรดิอสูร”

ซูเซียงเสวี่ยอธิบาย

“คงมีเพียงเทพเซียนเท่านั้นที่ล่วงรู้ว่าสุสานแห่งนี้ดำรงอยู่มาแล้วกี่พันปี ต่อให้ในหลุมนั้นมีหินวิญญาณเป็นจำนวนมาก ทว่าจิตวิญญาณที่อยู่ภายในคงระเหยจางไปจนหมดแล้ว”

“ใครจะล่วงรู้? ถึงอย่างไรก็พอมีความเป็นไปได้เล็กน้อยที่หินวิญญาณจะสามารถปลุกจิตวิญญาณทางปัญญาขึ้นมาได้ หรืออาจแปลงกายเป็นสัตว์อสูร”

ไป๋ชิวหรานผายมือออกไป

“ถึงเวลานั้น มันจะกลายเป็นกองกำลังหลักของอสูรเผ่ามาร”

“เจ้ามัวพูดพล่ามไร้สาระถึงเรื่องใดกัน?”

ซูเซียงเสวี่ยตบหลังชายหนุ่มครั้งหนึ่ง ก่อนจะหยิบเอาถุงเก็บสมบัติสภาพใหม่เอี่ยมออกมาจากแหวนเก็บสมบัติของนาง

“ข้าจะเก็บเงินและทองเหล่านี้ไว้… เจ้าอยากแบ่งไว้บ้างหรือไม่?”

“เจ้าเตรียมพร้อมมาเพื่อการนี้สินะ”

ไป๋ชิวหรานโบกมือ

“ข้าไม่ต้องการมัน ต่อให้เก็บไว้ก็เปล่าประโยชน์ ทว่าเจ้าเก็บไว้ยังนำไปดูแลสำนักได้”

หลังจากที่ซูเซียงเสวี่ยเก็บรวบรวมสมบัติไว้แล้ว ทั้งสองก็เดินผ่านบันไดที่อยู่ด้านหลังหลุมฝังศพเพื่อเดินต่อลงไปยังชั้นล่าง คอยเดินสลับกับหยุดชะงักฝีเท้าไปตลอดทาง เพื่อหลบหลีกกับดักค่ายกลบางอย่างและทุบทำลายรูปปั้นหินที่มีกลไกอีกจำนวนหนึ่ง ตอนนี้มาถึงส่วนที่ลึกที่สุดของชั้นใต้ดิน พบว่ามีโพรงใต้ดินขนาดใหญ่อยู่

บริเวณทางออกของโพรงใต้ดิน มีสะพานหินขนาดกว้างขวางที่ทอดยาวเชื่อมไปยังฝั่งตรงข้าม ด้านล่างของสะพานเป็นหุบเหวลึก ส่วนฝั่งตรงข้ามของปลายสะพานมีวิหารใต้ดินขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านดูน่าเกรงขามยิ่ง!

บนสะพานมีแผ่นหินขนาดใหญ่ตั้งอยู่ รูปแบบการก่อสร้าง ทำให้ไป๋ชิวหรานรู้สึกคุ้นเคยขึ้นมา

“นี่ จื้อเซียน”

เขาโพล่งถาม

“คนยุคเก่านิยมขุดหลุมลึกลงไปเป็นโพรงใต้ดิน แล้วสร้างสะพาน สร้างวิหาร และสร้างอนุสาวรีย์เหมือนกันทั้งหมดเลยหรือ?”

“จะเหมารวมเช่นนั้นก็ไม่ได้เสียทีเดียว”

จื้อเซียนปกป้องแนวคิดของผู้คนรุ่นตนเอง

“แต่เมื่อกล่าวถึงส่วนใหญ่ ในการเลือกสถานที่สำหรับหลุมฝังศพขององค์จักรพรรดิและบรรดาแม่ทัพใหญ่นั้น จะนิยมสร้างวิหารใต้ดินพร้อมกับการฝังศพทุกครั้งไป”

“เป็นถึงจักรพรรดิและแม่ทัพ ทำเช่นนั้นก็เหมาะสมแล้ว”

ไป๋ชิวหรานยกมือขึ้นลูบจมูกแผ่วเบา

ขณะที่ทั้งสองกำลังโต้เถียงกันอยู่ ซูเซียงเสวี่ยเดินไปสำรวจตรงหน้าแผ่นศิลา นางยื่นมือไปสัมผัสถ้อยคำอันคลุมเครือบนแผ่นศิลา ก่อนจะหันหน้ากลับมาเพื่อเอ่ยถาม

“นี่ ชิวหราน เจ้าพาหัวกะโหลกมาที่นี่ทีเถิด ให้เขาดูว่าตรงนี้เขียนไว้ว่าอย่างไรบ้าง?”

ไป๋ชิวหรานรีบอุ้มหัวกะโหลกจื้อเซียนเดินเข้ามา จื้อเซียนตรวจสอบชั่วครู่ แล้วกล่าวว่า

“มันคือแผนภาพโครงสร้างของสุสาน ระบุเครื่องหมายสิ่งของที่เก็บรักษาไว้ในสุสานที่ตำแหน่งต่าง ๆ และมีคำเตือนในส่วนท้ายอีกด้วย”

“คำเตือนคืออะไร?”

ซูเซียงเสวี่ยถามกลับ

“ลูกหลานแห่งอสูรเผ่ามารเอ๋ย หากไร้ความจำเป็น อย่าได้รบกวนหลุมฝังศพของจักรพรรดิอสูรองค์แรก”

จื้อเซียนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเนิบนาบ

“มิฉะนั้นแล้ว ผลลัพธ์ที่ตามมาอาจร้ายแรงเกินจินตนาการ หยกและศิลาจะถูกเผาไหม้”

“เหตุใดจักรพรรดิอสูรองค์แรกถึงสร้างค่ายกลไว้ภายในหลุมศพของตนเองด้วยเล่า?”

ไป๋ชิวหรานตั้งข้อสังเกตด้วยความฉงน

“จะล่วงรู้ได้อย่างไร ข้าก็อ่านจากแผ่นหินนี้ทั้งนั้น”

จื้อเซียนตอบกลับ

“แม้มีภูมิปัญญายิ่งใหญ่ก็ใช่ว่าจะรอบรู้ไปเสียทุกสรรพสิ่ง”

ไป๋ชิวหรานเผยอริมฝีปากเตรียมจะกล่าวบางอย่าง ฉับพลันกลับมีเสียงคำรามลั่นอันน่าสะพรึงกลัวดังขึ้นจากวิหารใต้ดิน ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามของปลายสะพาน

เสียงคำรามนั้นทรงพลังดุจเสียงฟ้าร้อง ราวมีมังกรยักษ์หลายตัวกำลังระเบิดเสียงคำรามโดยพร้อมเพรียงกัน สิ้นเสียงนั้น วิหารใต้ดินที่อยู่ฝั่งตรงข้ามก็เริ่มสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง แม้แต่เกาะทั้งเกาะก็พลอยสั่นสะเทือนไปด้วย