บทที่ 151 ขอบเขตสูงสุดของโลกมนุษย์!

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 151 ขอบเขตสูงสุดของโลกมนุษย์!

การมาของถูหลิงเอ๋อร์ไม่ได้ทำให้หานเจวี๋ยสนใจมากมายนัก เขาฝึกบำเพ็ญต่อไป ช่วงชิงเวลาในการบรรลุระดับมหายานขั้นเก้าโดยเร็ววัน!

เวลาผันผ่าน

เมฆลมใต้หล้าผันเปลี่ยน แต่สำหรับผู้เพียรบำเพ็ญเพียรแล้วนั้น เวลาเสมือนหยุดนิ่ง

สิงหงเสวียน ฉางเยวี่ยเอ๋อร์และเซียนซีเสวียนกลับมาแล้ว เพียงแต่ได้ยินว่าหานเจวี๋ยกำลังปิดด่านฝึกฝน พวกนางล้วนไม่ได้ไปรบกวน

เวลาเจ็ดปีผ่านไปอย่างรวดเร็ว

ในที่สุดหานเจวี๋ยก็บรรลุระดับมหายานขั้นเก้า!

ขอบเขตสูงสุดของโลกมนุษย์!

หลังจากที่บรรลุแล้ว พลังวิญญาณภายในร่างของหานเจวี๋ยก็พุ่งทะยาน!

เขาไม่ได้หยุดนิ่ง หากแต่ฝึกบำเพ็ญต่อไป เพิ่มระดับพลังวิญญาณไปถึงสภาวะที่ไม่อาจเพิ่มทวีได้อีก

สามปีต่อมา

หานเจวี๋ยให้อู้เต้าเจี้ยนนำทางถูหลิงเอ๋อร์ขึ้นมาบนเขา ให้นางไปฝึกบำเพ็ญที่ใต้ต้นฝูซังก่อน ส่วนเรื่องกราบไหว้อาจารย์วันหลังค่อยว่ากันอีกที

หลังจากถูหลิงเอ๋อร์เข้าสู่เขาเพียรบำเพ็ญเซียน พบว่าพลังวิญญาณด้านในเข้มข้นเสียยิ่งกว่าที่นางสัมผัสได้ตอนอยู่ที่เชิงเขา

“หรือว่าเขาลูกนี้มีเขตอาคมที่แข็งแกร่งและไร้ลักษณ์อยู่”

ถูหลิงเอ๋อร์ลอบตกใจกับตัวเอง ยิ่งสงสัยใคร่รู้ในตัวหานเจวี๋ยมากยิ่งขึ้น

เมื่อมาถึงใต้ต้นฝูซัง หยางเทียนตง สวินฉางอัน มู่หรงฉี่ สุนัขสวรรค์ฮุ่นตุ้น ไก่คุกรัตติกาล อีกาทองตัวน้อยสองตัวและราชามังกรสามหัวต่างพากันมองมาทางนาง

สายตาของถูหลิงเอ๋อร์ตกลงบนต้นฝูซังนั้น

“นี่คือ…”

ถูหลิงเอ๋อร์พลันมึนงงไปหมด เมื่อมองเห็นต้นฝูซังแล้ว นางก็เหม่อลอยอย่างไม่มีสาเหตุ

อู้เต้าเจี้ยนเอ่ยปากกล่าวว่า “เจ้าฝึกบำเพ็ญที่นี่ก่อนเถิด ปกติแล้วห้ามส่งเสียงดังเอะอะ”

ถูหลิงเอ๋อร์ได้สติกลับมา ก่อนรีบร้อนพยักหน้าลง

คนอื่นๆ ก็ไม่ได้พูดคุยสนทนากับนาง ตั้งหน้าตั้งตาฝึกฝนต่อไป

ถึงแม้ในใจของถูหลิงเอ๋อร์จะมีความสงสัยมากมาย แต่ก็ยังข่มกลั้นไว้ในใจ เริ่มนั่งสมาธิฝึกฝนอย่างเอาจริงเอาจัง

ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด นางมักรู้สึกว่าคนเหล่านี้ล้วนไม่ธรรมดา

ทำให้นางนึกถึงบุตรแห่งสวรรค์เหล่านั้นในจวนเซียนสวรรค์ขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้

ครึ่งปีต่อมา

ในที่สุดหานเจวี๋ยก็ยกระดับตบะจนถึงระดับมหายานขั้นเก้าอย่างสมบูรณ์!

[ตบะของท่านได้บรรลุถึงขอบเขตสูงสุดของโลกมนุษย์แล้ว ท่านมีตัวเลือกดังต่อไปนี้]

[หนึ่ง ขึ้นสวรรค์ในทันที กลายเป็นมนุษย์เซียน จะได้สืบทอดพลังวิเศษหนึ่งครั้ง สมบัติวิญญาณหนึ่งชิ้น]

[สอง ยังไม่ขึ้นสวรรค์ชั่วคราว รั้งอยู่ในโลกมนุษย์ต่อไป จะได้รับยอดสมบัติหนึ่งชิ้น]

หานเจวี๋ยไม่ลังเลเลยสักนิด เลือกตัวเลือกที่สองในทันที

[ท่านเลือกยังไม่ขึ้นสวรรค์ชั่วขณะ ได้รับยอดสมบัติหนึ่งชิ้น]

[ยินดีด้วย ท่านได้รับยอดสมบัติไท่อี่–อาภรณ์ดวงชะตาจักรพรรดิสูงศักดิ์]

[อาภรณ์ดวงชะตาจักรพรรดิสูงศักดิ์: ยอดสมบัติป้องกันไท่อี่ ยอดสมบัติที่กลั่นหลอมขึ้นจากโชคชะตาจักรพรรดิ พลังป้องกันแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก หลังจากสวมใส่แล้วจะได้รับอานุภาพจักรพรรดิ]

ยอดสมบัติป้องกันไท่อี่!

ป้องกัน!

หานเจวี๋ยปีติยินดี นี่ก็เยี่ยมไปเลยไม่ใช่หรือ!

ระบบรู้ใจข้ายิ่งนัก!

หานเจวี๋ยหยิบอาภรณ์ดวงชะตาจักรพรรดิสูงศักดิ์ออกมา นี่คือชุดคลุมสีทองปักลวดลายมังกรตัวหนึ่ง ดูองอาจมีอำนาจ ประกายแสงสีทองสว่างระยิบระยับภายในถ้ำเทวา อู้เต้าเจี้ยนเบิกตามอง สีหน้ายฉายแววประหลาดใจ

นี่ก็ช่างเว่อร์วังเกินไปแล้วกระมัง!

หานเจวี๋ยขมวดคิ้ว

ทว่าพอหวนคิดอีกครั้ง วันๆ เขาเอาแต่หมกตัวอยู่ภายในถ้ำเทวา ก็ไม่กลัวความฟุ้งเฟ้อเว่อร์วังอะไร

เขารีบเริ่มทำให้อาภรณ์ดวงชะตาจักรพรรดิสูงศักดิ์ยอมรับเจ้าของในทันที

สองวันต่อมา ยอดสมบัติไท่อี่ชิ้นนี้ถึงจะยอมรับเขาเป็นเจ้าของ สมกับเป็นยอดสมบัติจริงๆ!

หานเจวี๋ยสวมอาภรณ์ดวงชะตาจักรพรรดิสูงศักดิ์ ความรู้สึกปลอดภัยพลุ่งพล่าน

เดิมทีเขาอยากนำอาภรณ์ดวงชะตาจักรพรรดิสูงศักดิ์รวมเข้ากับชุดอาภรณ์เทพทมิฬจักจั่นทอง แต่หลังจากสวมใส่แล้วอึดอัดเป็นที่สุด เขาจึงทำได้เพียงถอดอาภรณ์เทพทมิฬจักจั่นทองออก

“นายท่าน อาภรณ์ชิ้นนี้มอบให้ข้าได้หรือไม่” อู้เต้าเจี้ยนชี้ไปที่อาภรณ์เทพทมิฬจักจั่นทองที่อยู่บนโต๊ะพลางเอ่ยถาม ดวงตาลุกวาวอย่างยิ่ง

หานเจวี๋ยกล่าวว่า “เจ้าก็ไม่ได้ออกไปไหน ไม่จำเป็นต้องสวมอาภรณ์สมบัติวิญญาณ”

“แต่นายท่านเองก็ไม่ได้ออกไปไหน”

“หากข้าตายไป เจ้าเองก็รอดยาก ดังนั้นข้าสามารถสวมได้”

อู้เต้าเจี้ยนเบ้ปาก น้อยใจอยู่บ้าง

เดิมทีหานเจวี๋ยคิดอยากมอบอาภรณ์เทพทมิฬจักจั่นทองให้กับสิงหงเสวียน แต่เมื่อหวนคิดอีกครั้ง อาภรณ์เทพทมิฬจักจั่นทองก็เว่อร์วังไม่ต่างกัน หากสิงหงเสวียนสวมใส่ออกไปหาประสบการณ์ อาจจะยิ่งดึงดูดปัญหาที่ใหญ่โตกว่าเดิมมาให้ก็เป็นได้

“ช่างเถิด ให้เจ้าแล้วกัน หลังจากสวมแล้วเจ้าก็ออกไปเถอะ ข้าจะทะลวงขั้น เกรงว่าจะสั่นสะเทือนเจ้าจนตาย” หานเจวี๋ยโบกมือกล่าว

อู้เต้าเจี้ยนดีใจเกินคาด รีบร้อนคำนับหานเจวี๋ย จากนั้นจึงสวมใส่อาภรณ์เทพทมิฬจักจั่นทอง

หานเจวี๋ยจนคำพูด

‘แม่หนูนี่ถึงกับถอดเสื้อหน้าต่อหน้าต่อตาเขา…

ถึงแม้เขาจะเคยเห็นมาก่อน แต่นี่ก็ช่างไม่ระวังตัวเกินไปแล้วกระมัง!’

หานเจวี๋ยขมวดคิ้วแล้วกล่าวว่า “ต่อไปเจ้าจะถอดเสื้อผ้าต่อหน้าผู้อื่นไม่ได้เด็ดขาด”

อู้เต้าเจี้ยนมองสำรวจอาภรณ์เทพทมิฬจักจั่นทองบนกายตนเองด้วยความปลาบปลื้ม กล่าวตอบว่า “ชายหญิงแตกต่าง ข้าย่อมเข้าใจดี ข้าจะเปลี่ยนอาภรณ์ต่อหน้านายท่านเท่านั้น”

กล่าวจบ นางก็จากไปด้วยความรวดเร็ว รีบไปอวดพวกหยางเทียนตง สวินฉางอันและคนอื่นๆ

หานเจวี๋ยส่ายหน้าหลุดยิ้มออกมา จากนั้นก็รวบรวมสติสมาธิ เตรียมตัวบรรลุขั้น

เขายกมือดูดศิลาแคล้วสวรรค์ตรงมุมกำแพงเข้ามาไว้กลางฝ่ามือ

เขาวางศิลาแคล้วสวรรค์ไว้ที่ข้างขา กล่าวพึมพำว่า “ขึ้นอยู่ที่เจ้าแล้ว!”

หากหานเจวี๋ยสามารถก้าวข้ามตบะบนโลกมนุษย์ และสามารถอยู่ที่โลกมนุษย์ได้ เช่นนั้นก็สมบูรณ์แบบแล้ว!

หานเจวี๋ยเริ่มฝึกฝนวิชาวัฏจักรหกวิถี นำตำรับฝึกฝนบนโลกมนุษย์ผสานเข้าด้วยกัน ก็สามารถหยั่งถึงเคล็ดพลังภายในของการฝึกฝนในขอบเขตสูงขึ้นได้

ใต้ต้นฝูซัง

ทันทีที่อู้เต้าเจี้ยนออกมา บรรยากาศใต้ต้นไม้ก็กลับกลายเป็นคึกคัก

ฟางเหลียงที่นั่งขัดสมาธิฝึกฝนลืมตาขึ้นเหลือบมองไปทางถูหลิงเอ๋อร์ เอ่ยถามว่า “หลังจากนี้ท่านยังจะกลับไปที่จวนเซียนสวรรค์หรือไม่”

ถูหลิงเอ๋อร์ไม่แม้แต่จะลืมตาขึ้น กล่าวตอบว่า “กลับไปเพื่ออะไร ที่นี่ก็ดีอยู่แล้ว ตัดขาดทางโลก สามารถสงบจิตสงบใจฝึกฝน ข้าก็ไม่อยากกลับไปทนทุกข์อีก”

ฟางเหลียงจนคำพูด ‘จวนเซียนสวรรค์ชุบเลี้ยงคนเนรคุณหรือนี่’

เขายังพอทำเนา อย่างไรเสียตัวเขาเองเดิมทีก็ไม่ใช่ศิษย์ของจวนเซียนสวรรค์ และเคยปฏิบัติภารกิจให้จวนเซียนสวรรค์มาก่อน

แต่ถูหลิงเอ๋อร์เป็นถึงบุตรแห่งสวรรค์ที่จวนเซียนสวรรค์ให้ความสำคัญชุบเลี้ยงมา ตั้งแต่เล็กจนโต เพียงต้องฝึกฝนไม่ต้องออกไปข้างนอก หรืออาจกล่าวได้ว่า นางยังไม่เคยสร้างคุณูปการใดให้กับจวนเซียนสวรรค์เลย

“วันหน้าเมื่อตบะของท่านเพิ่มพูน คงไม่เนรคุณอาจารย์ปู่ของข้าต่อหรอกกระมัง” ฟางเหลียงเอ่ยถามเป็นเชิงกล่าวเตือน

คนอื่นๆ ต่างก็พากันมองไปทางถูหลิงเอ๋อร์เป็นสายตาเดียว

ในที่สุดถูหลิงเอ๋อร์ก็ลืมตาขึ้นมา กล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “อะไรที่เรียกว่าเนรคุณ แม้ข้าจะออกจากจวนเซียนสวรรค์ แต่ข้าก็ไม่ได้ตั้งตนเป็นศัตรูกับจวนเซียนสวรรค์ นับว่าเนรคุณได้อย่างไรกัน อีกอย่างที่นี่ไม่ใช่เขาเพียรบำเพ็ญเซียนหรอกหรือ ตั้งใจเพียรบำเพ็ญ ไม่ใช่ว่าเป็นการปลอบประโลมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดต่อท่านอาจารย์ผู้อาวุโสแล้วหรือ”

ยามนี้ ต่อให้ผู้อาวุโสของจวนเซียนสวรรค์มุ่งหน้ามาบีบบังคับให้นางกลับไปด้วยตนเอง นางก็ไม่กลับไปแน่

พลังวิญญาณใต้ต้นฝูซังเข้มข้นเกินไปจริงๆ!

ถูหลิงเอ๋อร์ทำใจจากไปไม่ได้แล้ว

โครม!

ฟากฟ้าแว่วเสียงคำรามดังลอยเข้ามา กลุ่มคนทั้งหลายหันหน้าไปมอง เมฆครึ้มหอบม้วนลอยมา ไม่มีไอปีศาจ และไม่มีไอมาร ราวกับว่าฝนฟ้าคะนองกำลังตั้งเค้ามาเยือน

ถูหลิงเอ๋อร์มุ่นหัวคิ้ว กล่าวพึมพำว่า “ในที่สุดเจ้าหมอนั่นก็ทำสำเร็จ”

ฟางเหลียงเอ่ยถามอย่างใคร่รู้ว่า “ใครทำสำเร็จ”

“จี้เซียนเสิน บุตรแห่งสวรรค์อันดับหนึ่งของจวนเซียนสวรรค์ คนผู้นี้เจ้าไม่เคยพบมาก่อน แต่พรสวรรค์ของเขาเป็นที่หนึ่งแห่งยุคอย่างแน่นอน”

ในดวงตาของถูหลิงเอ๋อร์ฉายแววสลับซับซ้อนขึ้นมา

การเป็นคนรุ่นเดียวกันกับจี้เซียนเสิน คือความระทมทุกข์ของเหล่าบุตรแห่งสวรรค์เช่นพวกนาง

เมื่อฟางเหลียงได้ยิน ในดวงตาก็ฉายเจตจำนงต่อสู้ออกมา

เขาเองก็เคยได้ยินชื่อของจี้เซียนเสินมาก่อน ต้องมีสักวันหนึ่ง เขาจะพิสูจน์ให้คนทั่วทั้งใต้หล้าได้รู้ว่าผู้ใดกันแน่ที่เป็นบุตรแห่งสวรรค์อันดับหนึ่งแห่งยุค!

เขาจะกู้ศักดิ์ศรีให้แก่อาจารย์ปู่!

มู่หรงฉี่ สวินฉางอันและคนอื่นๆ เองก็เคยได้ยินเรื่องของจี้เซียนเสินมาก่อน เมื่อได้ยินบทสนทนาของพวกฟางเหลียงแล้วจึงอดไม่ได้ที่จะสงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับจี้เซียนเสินมากขึ้นไปอีก

“ไม่ต้องกังวลใจเกี่ยวกับจวนเซียนสวรรค์หรอก เคราะห์ของจวนเซียนสวรรค์นี้จะต้องคลี่คลายได้อย่างแน่นอน” ถูหลิงเอ๋อร์หลับตาลงกล่าวกลั้วหัวเราะ

ฟางเหลียงเอ่ยถามอย่างแปลกใจว่า “แค่เพียงเพราะจี้เซียนเสินหรือ เขาคนเดียวก็สามารถคลี่คลายเคราะห์ของจวนเซียนสวรรค์ได้?”

“อืม โลกมนุษย์นี้เกรงว่าไม่มีใครเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้”

“เขาก็ไม่มีทางเป็นคู่ต่อสู้ของอาจารย์ปู่ข้า!”

“อาจารย์ปู่ของเจ้าไม่ใช่เทพเซียนพสุธาหรอกหรือ ย่อมไม่ถือเป็นคนธรรมดาอยู่แล้ว”

………………………………………………………………