ฉันมองไปที่กระถางดอกไม้นั้นด้วยแววตาที่ว่างเปล่า

เรียกคืนความทรงจำสามปีนั้นที่ตนเองได้ใช้ในเฮลเกต

เทเลอร์มองมาที่ฉันด้วยความกังวล กังวลว่าสิ่งไหนกันที่อยู่ในใจฉัน

มีเพียงแค่สิ่งเดียวเท่านั้นที่ฉันสามารถที่จะพูดได้หลังจากได้รับของขวัญเช่นนี้มา

“ขอบคุณนะ”

เทเลอร์ยิ้มออกมาด้วยความรู้สึกโล่งใจ

ตามจริงแล้วกระถางดอกไม้อันนี้มันดูคล้ายกับแผลเป็นจากความทรงจำอันเน่าเหม็นซะมากกว่า

ความทรงจำจากด้านในของเฮลเกตเป็นบางสิ่งเพียงแค่คิดย้อนกลับไปก็เจ็บปวดมากแล้ว

แต่เมื่อเวลาผ่านไปฉันก็เอาชนะมันมาได้และในตอนนี้มันไม่ได้ส่งผลกระทบใดๆกับฉันอีกแล้ว

‘เฮลเกต…’

มีเรื่องมากมายเกิดขึ้นด้านใน

มากมายเลยจริงๆ

การสำรวจครั้งที่ 7 ด้านในเฮลเกต

ต้องบอกเลยว่ามันเป็นการสำรวจที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด ที่จากทั้งหมด 500 คนที่ได้เดินทางเข้าไปด้านในมีถึง 47 คนที่รอดชีวิตมาได้หลังจากผ่านมาสามปี

และฉันก็เป็นหนึ่งใน 47 คนนั้น

หนึ่งเหตุผลที่ฉันสามารถที่จะกลับมาได้โดยที่ยังมีชีวิตอยู่เป็นเพราะว่าฉันนั้นมี ‘สัญชาตญาณ’ ที่ดี

มันอาจจะฟังดูเป็นเรื่องแปลกแต่มันเป็นแบบนั้นจริงๆ

ไม่ว่าจะเป็นตั้งแต่ตอนที่ฉันยังเป็นเด็กฉันเคยได้รับฟังคำพูดจำพวก ‘นายมีสัมผัสที่ไวต่อสิ่งต่างๆแบบแปลกๆนะ’หรือไม่ก็ ‘นายเดามันได้อย่างไร?’

ดังนั้นแล้วด้านในของเฮลเกตสัญชาตญาณของฉันจะสัมผัสถึงสิ่งที่ไม่มีใครสักคนสังเกตเห็นจนกระทั้งมันเกิดขึ้นหรือไม่ก็เมื่อฉันคิดว่าฉันต้องไปที่ไหนสักที่ไม่ว่ามันดูอันตรายเพียงใดเพราะว่าฉันคิดว่ามันจะทำให้ฉันจะมีโอกาสในการรอดที่มากกว่า

มันเป็นในตอนนี้เท่านั้นเองที่ฉันได้รู้ว่ามันเป็นพรสวรรค์สัญชาตญาณ (A) ของฉันเองแต่ในตอนนั้นฉันแค่คิดว่าฉันต้องการไปจากนรกนั้นให้ได้และในท้ายที่สุดฉันก็รอด

“มันทำให้ฉันนึกถึงวันเก่าๆ”

“งั้นแล้วมันไม่สวยหรอ?”

“ฉันจะเอามันไปดูแลที่บ้านนะ”

“เออ จริงหรอ? แล้วจะเกิดอะไรขึ้นหละถ้าแก้วมันแตกและมันกลายเป็นกัมมันตรังสีแทนหละ?”

“…นี่เธอคิดว่าในเฮลเกตมันเป็นสถานที่ที่มีของจำพวกโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์หรือไง?”

ฉันมองดูเข้าไปที่กระถางดอกไม้แบบใกล้ๆ

ดอกไม้จิตวิญญาณสีเงิน

ข้อมูลที่ไม่มีใครได้รู้มาก่อนเลยไม่ว่าจะเป็นทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคตกลับเป็นฉันเองที่รู้มันได้อย่างง่ายดาย

นี้มันเป็นเพียงแค่สกิลแรงค์ F แน่จริงๆงั้นหรือ?

หรือไม่บางทีตัวตนของจิตวิญญาณนั้นคงเป็นเรื่องปกติมากกว่าที่ฉันคิดไว้

ในยุคสมัยใหม่ตัวตนของจิตวิญญาณนั้นเหมือนกับเป็นเรื่องงมงาย

เหมือนกับผีที่ไม่มีใครสักคนรู้แม้กระทั้งว่ามันมีตัวตนอยู่หรือไม่

แต่ถึงอย่างมันฉันกลับรู้ดีเลย

ว่าผีและจิตวิญญาณนั้นมีตัวตนอยู่จริง

ฉันเคยเห็นผีมาแล้วครั้งหนึ่งก่อนหน้านี้และเคยได้ยินเรื่องราวของจิตวิญญาณมากจากเพื่อนร่วมงานที่น่าเชื่อถือเป็นอย่างมาก

กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือใครบางคนเช่นตัวฉันที่ได้ต่อสู้ในสนามรบมานานกว่า 15 ปี เคยเห็นมันเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น

การมีอยู่ของตัวตนเช่นนั้น

……………………………………………………..

<ดอกไม้วิญญาณสีเงิน>

คำบรรยาย : เป็นจิตวิญญาณที่เติบโตจากเมล็ดพันธ์ของผู้คนจำนวนมากที่ได้ตายลงไป ต้องมีสภาวะพิเศษที่ใช้สำหรับเพาะเลี้ยงให้วิญญาณนี้เกิดขึ้นมา

แสงอาทิตย์ : กินพลังงานจากดวงดาวแต่ถึงอย่างไรก็ตามจิตวิญญาณของดอกไม้นี้นั้นแปดเปื้อนไปด้วยกลิ่นอายแห่งความตายแสงอาทิตย์จำนวนมากสามารถที่จะเป็นอันตรายต่อมันได้ ฉะนั้นควรให้แสงอาทิตย์กับมันเพียงแค่ 5 นาทีในแต่ละวันในช่วงบ่ายแก่ๆ

อุณหภูมิ : อุณหภูมิในอุดมคติคือ 20 องศาเซลเซียส

ดิน : ดอกไม้จิตวิญญาณเติบโตในดินแดนของความตายเมื่อดูจากสภาพร่างกายของมันในปัจจุบัน จะต้องใช้ดินบางส่วนจากแฟรี่เอสโซเต็นและบดเมล็ดพืชที่ได้ฟังเสียงขลุยของแฟรี่เอสโซเต็นเป็นเวลา 300 วัน

สารอาหาร : หล่อเลี้ยงด้วยอารมณ์ด้านลบที่เป็นสิ่งตรงข้ามกับอารมณ์ด้านบวก…

การดูแลทางด้านร่างกายและจิตใจ : แฟรี่ มังกร และสายพันธุ์ชั้นสูงอื่นๆสามารถที่จะพูดคุยกับจิตวิญญาณดอกไม้นี้ได้ พูดกับมันบ้างเป็นบางครั้งคราวเพื่อตรวจสอบดูว่าสภาพจิตใจของจิตวิญญาณนี้ปกติดี มันบอบบางเป็นอย่างมากก่อนที่จิตวิญาณนี้จะเกิด…

……………………………………………………..

หลังจากการอ่านหนังสือจากห้องสมุดของแม่มดขาวอย่างระมัดระวัง ฉันก็มองขึ้นไปที่เทเลอร์อย่างรวดเร็ว

มันเป็นสิ่งที่ฉันควรจะได้รับมันงั้นหรอ?

มองไปที่ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มแห่งความภูมิใจของเธอ ฉันรู้สึกแปลกๆจากการที่เธอมองมาที่ฉัน

ด้วยเหตุผลบางอย่างฉันก็เข้าใจมันได้อย่างรวดเร็ว

เพื่อนนะปกติแล้วไม่ให้ของขวัญเช่นนี้กันหรอก

มันชัดเจนเลยว่าเทเลอร์และฉันเป็นหนี้ชีวิตซึ่งกันและกันและฉันก็มั่นใจว่าความสัมพันธ์ของเรานั้นมั่นคงมากกว่าคนอื่นซะอีก

ดังนั้นมันไม่สำคัญของขวัญอะไรจะเป็นสิ่งที่เราให้กับอีกฝ่าย

นี้เป็นรูปแบบของความสัมพันธ์ที่เรามีให้แก่กัน

เป็นความสัมพันธ์ที่พวกเราสามารถทำสิ่งต่างๆให้กับอีกฝ่ายหนึ่งได้

แต่ถึงอย่างไรก็ตามทำไมเธอถึงได้ยืนกรานที่จะเอา ‘วัสดุจากเฮลเกต’ มาจากลอสเดย์กันหละ?

‘ของขวัญ’ ไม่ได้มีความหมายแบบนี้ระหว่างพวกเรา

พวกเราไม่เคยให้ของขวัญที่มีความหมายใดๆเลยกับอีกฝ่าย

มันเป็นประเภทของของขวัญที่คนจะมองมันเพียงแค่ครั้งเดียวและโยนมันทิ้งไป

อย่างไรก็ตามมันดูเหมือนว่าเธอจะต้องวิ่งวุ่นไปทั่วตั้งแต่เมื่อหนึ่งเดือนที่แล้วหรือไม่ก็สองเดือนด้วยเป้าหมายของการรีดไถลอสเดย์ตั้งแต่แรกเลย

บางที ‘วัสดุจากเฮลเกต’ อาจจะไม่ได้เป็นแม้แต่ส่วนหนึ่งในแผนของเธอเลยและมันจะแค่สถานการณ์มันพาไป

ฉันมองไปที่เธออย่างสงสัยและถามขึ้น

“เกิดอะไรขึ้นกับเธอหรือป่าว?”

“…เพื่อน อะไรนะ?”

“บอกฉันได้นะ ถ้ามีอะไรก็ตามที่ฉันสามารถที่จะช่วยเธอได้ฉันจะช่วยให้มากเท่าที่ฉันจะทำได้เลย”

มากเท่าที่ฉันรู้เกี่ยวกับเธอคือเทเลอร์จะทำแบบนี้ในตอนที่เธอรู้สึกไม่มั่งคงในบางสิ่ง

เธอชอบทำตัวเป็นคนเห็นแก่ตัว หัวรุนแรงและไม่สนใจใครก็ตามนอกจากตัวเองแต่ในความเป็นจริงแล้วนั้นเป็นเพียงแค่กลไกการป้องกันตัวเองของเธอโดยการแสดงท่าทางที่ก้าวราวออกมา

แต่ถึงอย่างนั้นเมื่อไหรก็ตามที่เธอเจอเข้ากับปัญหาร้ายแรงที่แก้ไม่ได้เธอจะกลายมาเป็นคนที่เห็นแต่ผู้อื่นเหมือนในตอนนี้

ฉันรู้จักเทเลอร์มานานกว่า 15 ปี

ฉันสามารถบอกได้ว่ามีบางสิ่งเกิดขึ้นกับเธอเพียงแค่เห็นสีหน้าเธอ…

“เกี่ยวอะไรกับนายด้วยหละ?”

“อะไรนะ?”

เทเลอร์ได้มองมาที่ฉันด้วยสายตาที่น่าสงสารอย่างแปลกๆ

“นายแค่ไปตายซะ ผู้หญิงที่เพียรพยายามหาของขวัญมาให้นายและนั้นคือสิ่งที่นายพูดกลับงั้นหรอ? นายล้อเล่นใช่ไหมเนี่ย”

“ไม่นะ ฉันกังวลเรื่องเธอจริงๆ…”

“อยู่ๆก็มากังวลเรื่องของคนอื่นในเมื่อนายไม่เคยทำมันมาก่อนเนี่ยนะ?”

จ้องมองไปที่ใบหน้าที่มีรอยยิ้มของเธอ ความคิดหนึ่งก็ได้เข้ามาในหัวฉัน

“เธอ อย่าบอกฉันนะว่า…”

“เหอะ”

มองไปที่ใบหน้าที่ดูเคร่งเครียดของฉัน เทเลอรืได้หยุดยิ้มและพูดขึ้น

“ในตอนนี้ฉันอยู่ที่นี้แล้ว ฉันไม่สามารถทำแบบนี้ได้เลยหรอ?”

“…”

“ฉันต้องมีเหตุผลด้วยงั้นหรอ?”

นานมากกว่า 10 ปีก่อน

ในตอนที่พวกเราทั้งคู่ได้พยายามที่จะเอาชีวิตรอดอย่างสิ้นหวังบนสนามรบ พวกเราได้ทำสัญญาด้วยกันหนึ่งอย่าง

เพื่อที่จะปลอบโยนซึ่งกันและกัน ฉุดดึงอีกคนขึ้นมา ปกป้องกันเอง และดูแลกันและกัน

แต่จะไม่แชร์ความรู้สึกของพวกเราเอง

มันเป็นช่วงเวลาในตอนที่ฉันได้สูญเสียเพื่อนร่วมงาน คนที่รัก และเพื่อนพ้องไปแบบวันต่อวัน

มันเป็นเรื่องที่ยากพอแล้วที่จะต้องมาดูแลตัวเอง ทำไมถึงต้องทำให้มันยากขึ้นด้วยการมีความรักหละ

ดังนั้นแล้วฉันได้ลากเส้นแบ่งและคงระยะห่างเอาไว้เมื่อมีใครบางคนพยายามที่จะเข้าหาฉัน

มันเป็นก็เป็นเช่นเดียวกันกับคนอื่นๆ

ไม่ใช่เพราะว่าฉันกลัวว่าจะสูญเสียใครบางคนแต่มันเป็นเพราะว่าฉันรู้ว่าคนอื่นอาจจะรู้สึกอย่างไรเมื่อเขาหรือเธอคนนั้นสูญเสียฉันไป

“ถึงเมื่อก่อนมันจะเคยเป็นแบบนั้น แต่ในตอนนี้ฉันได้เปลี่ยนไปแล้วและช่วงเวลาก็ได้เปลี่ยนไปแล้วเช่นกัน”

ในตอนนี้ฉันไม่ต้องมากังวลเกี่ยวกับเรื่องของวันพรุ่งนี้อีกแล้ว

คืนนี้เมื่อฉันเข้านอน ฉันไม่ต้องกังวลว่าคนที่ฉันรักจะจากไปและคนที่ฉันรักก็จะไม่ต้องเศร้าเสียใจเนื่องจากการตายของฉันอีกแล้ว

“…ฮึ นายนี่มันน่ารำคาญจริงเลย สมองนายต้องมีปัญหาแน่ๆ และมันก็ปวดใจเป็นอย่างมากที่ต้องมานั่งอธิบายเรื่องพวกนี้ให้นายฟัง”

“ฉัน…”

ในตอนที่ฉันพยายามที่จะตอบเธอกลับไปเธอยิ้มออกมาและตบไปที่หลังของฉันเบาๆ

“ช่างมันเถอะ ฉันไปแล้วนะ”

เทเลอร์พูดด้วยไปอย่างใจเย็นและเดินจากไปอย่างรวดเร็ว

ฉันยืนมองเธอเดินจากไปอย่างเหม่อลอย

ในตอนนั้นเองที่ความรู้สึกอิ่มเอมเกิดขึ้นในใจฉันและฉันรู้สึกขอบคุณเทเลอร์

ด้วยเหตุผลบางอย่างฉันรู้สึกอบอุ่นแบบแปลกๆ

ฉันไม่รู้ว่าจะบรรยายความรู้สึกนี้ออกมาได้ยังไง

ยังไงก็ตามมันเหมือนกับว่าฉันได้พบกับบางสิ่งที่ฉันทำหายไปเมื่อนานมาแล้ว

มันเป็นความรู้สึกแปลกมาก

แต่มันก็ไม่ใช่ความรู้สึกที่แย่นะ

หลังจากที่มองไปที่กระถางดอกไม้ชั่วครู่หนึ่งฉันวางมันลงอย่างระมัดระวังใกล้กับม้านั่งออกกำลังกายแล้วหันกลับไปมองที่เซเลสเต้ที่กำลังจ้องมาที่ฉันอยู่

“…อะไร?”

“ฉันออกกำลังกายส่วนของฉันเสร็จแล้วค่ะ”

ด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้ง เธอหยิบดาบไม้ของเธอขึ้นมาและชี้มันมาที่ฉัน

“อ้า…ได้ๆ”

ฉันยกดาบของฉันขึ้นอย่างไม่มีทางเลือก

…อ้า ฉันไม่มีแม้แต่ที่เวลาจะได้พักเลย

……………………………………………………..

หลังจากที่กลับมาถึงบ้าน ฉันวางกระถางดอกไม้ที่ได้รับมาลงบนโต๊ะอย่างระมัดระวังและเปิดใช้งานทักษะห้องสมุดของแม่มดขาวอีกครั้ง

‘ดอกไม้จิตวิญญาณสีเงิน…’

เพื่อจะปลูกดอกไม้นี้ที่เติบโตภายในเฮลเกตให้สำเร็จ จำเป็นที่จะต้องมีเงื่อนไขหลายอย่างที่ต้องการ ซึ่งส่วนมากของความต้องการพวกนั้นไม่สามารถหาได้บนโลก

มันเลยเป็นปัญหา

อย่างแรกเลยแม้ว่าฉันจะสามารถไปกลับระหว่างต่างโลกได้แต่มันก็ไม่สามารถที่จะนำสิ่งของจากที่นั้นกลับมาด้วยได้

โชคดีที่คุณลูกค้ามีวิธีแก้ใขให้

<มันมีทางแก้ปัญหานี้อยู่นะคะ>

‘โอ้? มันคืออะไรหรอ?’

<ถ้าคุณได้รับสกิล ‘พื้นที่ย่อย’ คุณสามารถที่จะนำสิ่งของกลับมาจากต่างโลกภายใต้ข้อจำกัดบางอย่างได้ค่ะ>

‘พื้นที่ย่อย…?’

มันเป็นความสามารถที่ฉันไม่เคยเห็นมาก่อนเลยในชีวิตนี้

‘ฉันคิดว่าฉันน่าจะเคยอ่านเจอเกี่ยวกับมันในพวกนิยายที่กำลังนิยมอยู่ตอนนี้นะ…มันเป็นบางสิ่งที่เหมือนกับอุปกรณ์หรือสิ่งของที่ใช้ในการเก็บของในอีกมิติหนึ่งใช่ไหม?’

<ใช่ค่ะ>

แค่เพียงอ่านชื่อมันก็ทำให้ฉันคิดว่ามันน่าจะเป็นความสามารถที่ยากที่จะได้มันมาแน่ๆ

‘ยังไซซะ มันจะโอเคสำหรับฉันในการดูดกลืนสกิลแบบนี้ด้วยหรอ?’

<พื้นที่ย่อยมักถูกใช้โดยจอมเวทย์ระดับสูงและนักวิทยาศาสตร์อยู่แล้วค่ะ>

‘ยอดเยี่ยม’

เยี่ยมสกิลของตัวเอกมันไม่ยึดติดกับหลักของเหตุผลอยู่แล้วตั้งแต่แรก

<ดังนั้น อัตราการพังทลายของโลกไม่ได้รับผลกระทบจากการขนส่งสิ่งของข้ามมิติค่ะ>

<เหมือนกับการเอาอาหารฝีมือเพื่อนบ้านของคุณซอดัมมาที่บ้านของคุณเองมันจะไม่ส่งผลให้เกิดปัญหามากนักค่ะ>

<มันอาจจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในเรื่องวิทยาศาสตร์ของโลกนั้นแต่แต่ในความจริงแล้วมันเป็นเพียงแค่การเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยเท่านั้นตั้งแต่ที่การพัฒนาของวิทยาศาสตร์มันเป็นปรากฎการที่ปกติอยู่แล้ว>

มันรวมกันได้เป็นคำสองคำเรื่องมัน ‘ซับซ้อน’

ถ้าฉันได้รับพื้นที่ย่อยมาฉันสามารถที่จะนำสิ่งของกลับมาจากต่างโลกได้และมันอาจจะเป็นไปได้แม้แต่การนำอาวุธระดับสูงกลับมา

‘นี่เป็นความคิดที่ดีเลย’

มีหลายสิ่งหลายอย่างที่โลกไม่แม้แต่จะสามารถจินตนาการหรือทำมันได้ในทุกวันนี้

พูดแบบตรงไปตรงมาเลยก็คือกล่องอีเทอร์ที่ใช้ในการเก็บของอยู่มันก็ไม่ได้แย่นะแต่มันก็ยังคงเป็นเรื่องจริงที่ว่ามันไม่สามารถทนรับความเสียหายจำนวนมากจากตัวเอกได้และมันยังมีความสัมพันธ์กันในเรื่องของน้ำหนักของสิ่งของที่พกไปต่างโลกได้อีก

อย่างไรก็ตามถ้าฉันสามารถที่จะได้รับอาวุธเช่น ‘ดาบศักดิ์สิทธิ์’ เหมือนกับอันที่ฉันเคยเห็นมาก่อนหน้านี้แล้วหละก็ มันจะต้องกลายมาเป็นเรื่องง่ายในการรับมือกับพวกตัวเอกที่ฉันจะต้องเจอในอนาคต

แต่อย่างไรก็ตามฉันไม่สามารถที่จะทำอะไรมากนักกับดอกไม้นี้ในตอนนี้ได้แต่อย่างน้อยที่สุดฉันสามารถที่จะให้มันอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดีกว่านี้ได้

ถึงแม้ว่าสกิลห้องสมุดของแม่มดขาวจะดูเหมือนกับว่ามันง่ายกว่าเวทมนตร์ที่วิทยาลัยเวทมนตร์วิเวียนด้ามันก็ยังมีความเป็นเอกลักษณ์มากทำให้ยากที่จะเข้าใจ

ฉันตัดสินใจที่จะวาดวงเวทย์บนพื้นและเปลี่ยนแปลงความหนาแน่นของอากาศ,พ่นพลังงานแฟรี่ลงบนดิน,กรองแสงอาทิตย์ และหลังจากความพยายามอีกไม่เล็กน้อย ก็ได้ตัวกรองอารมณ์เช่นกัน

สิ่งพวกนี้ไม่ได้มากไปกว่าเวทมนตร์แรงค์ F ที่เป็นเวทมนตร์ที่พื้นฐานที่สุดเลยแต่ว่ามันพอแล้วที่จะสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีกว่าก่อนหน้านี้ได้

เมื่อฉันหายใจเข้าไปมันเป็นอากาศบริสุทธิ์อย่างแน่นอน

มันสะอาดยิ่งกว่าแม้ว่าจะไปเทียบกับอากาศที่อยู่ในป่าที่ไม่มีอารยธรรมเข้าถึงเลยก็ตาม

ฉันไม่อยากจะเชื่อว่าพืชนี้ที่ถูกพบในเฮลเกตจะจำเป็นที่ต้องใช้อากาศเช่นนี้ในการเติบโต

มันดูย้อนแย้งมากแต่ด้วยอะไรสักอย่างฉันรู้สึกปลอดโปร่งเมื่อฉันมองไปที่ดอกไม้นี่ที่ดูมีชีวิตชีวามากกว่าเมื่อก่อน

‘…’

มันเป็นดอกไม้ที่เทเอลร์ไนน์ได้รับมาหลังจากผ่านปัญหามามากมาย

ดังนั้นฉันจะต้องทำให้มันเติบโตขึ้นอย่างขยันขันแข็ง

ด้วยความคิดนี้ในใจฉัน ฉันแตะไปที่กลีบดอกของมันและในจังหวะที่ฉันสัมผัสกับมันนั้นเอง

ฉันก็ได้ยินเสียงบางอย่าง

[…ฉันหายใจไม่ออก]

“อ-อะไรนะ?”

ฉันกระโดดถอยหลังไปด้วยความประหลาดใจและดึงดาบอีเทอร์ออกมาแล้วเปิดใช้งานมันไปโดยสัญชาตญาณ

เสียงนั้นยังคงพูดต่อไป

[ทำไมคุณถึงได้ประหลาดใจนักหละ?]

“บ้าน่า เดวนี้ดอกไม้มันพูดกันได้แล้วงั้นหรอ?”

[อืมมมม]

มันเป็นเสียงของเด็กน้อย

ฉันไม่รู้ว่ามันเป็นเด็กผู้ชายหรือเด็กผู้หญิงแต่เสียงที่เป็นโทนเดียวกันของมันกลับทำให้ฉันรู้สึกว่ามันลึกลับอย่างไรก็ไม่รู้

วางดาบอีเทอร์ของฉันลง ฉันเข้าหาดอกไม้นี้และมันก็พูดอีกครั้ง

[การตอบสนองของคุณทำให้ฉันตกใจนะ…]

“มันไม่ใช่เรื่องน่าตกใจอย่างนั้นหรือที่จู่ๆดอกไม้ก็พูดขึ้นมานะ?”

[…เหล่าแม่มดนั้นสมควรที่จะได้ยินเสียงของพวกเราอยู่แล้ว]

“แม่มด?”

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้แล้วมันมีส่วนหนึ่งของหนังสือนั้นที่กล่าวถึงว่าสายพันธุ์ชั้นสูงอย่างพวกตัวตนเช่นเอฟล์และมังกรสามารถที่จะพูดคุยกับจิตวิญญาณของดอกไม้นี้ได้

ดังนั้นแม่มดก็นับเป็นสายพันธุ์ชั้นสูงด้วยอย่างนั้นหรอ?

ถึงแม้ว่าฉันจะไม่ใช่แม่มดก็ตามฉันก็มีสกิลของแม่มดดังนั้นฉันเดาว่านี้เป็นเหตุผลที่ทำไมฉันถึงสามารถที่จะติดต่อสื่อสารกับจิตวิญญาณนี้ได้

[…มันรู้สึกโล่งใจจัง]

“อะไรหรอ?”

[ฉันหวาดกลัวมากเลยที่ไม่มีใครสักคนได้ยินเสียงของฉัน…]

ด้วยเหตุผลบางอย่างฉันรู้สึกแปลกนิดหน่อยที่ได้ยินจิตวิญญาณนี้พูดด้วยความสงบ

เพื่อที่จะสนทนากับจิตวิญญาณของดอกไม้นี้ อย่างแรกเลยคือต้องเป็นสายพันธุ์ชั้นสูงแต่มีเพียงแค่มนุษย์เท่านั้นที่อยู่บนโลกใบนี้

และมันไม่มีสิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญาใดๆที่อยู่ในเฮลเกตเลย

จิตวิญญาณนี้เกิดมาจากความตายและเกือบจะต้องกลับไปสู่ความตายเพียงลำพังโดยที่ไม่มีรู้เรื่องนี้เลย

[แต่คุณเป็นแม่มดที่แปลกเล็กน้อยนะ]

“เพราะว่าฉันไม่ใช่แม่มดยังไงหละ”

เมื่อดอกไม้นี้ได้ยินคำตอบของฉัน มันเงียบไปสักพักและหลังจากนั้นชั่วขณะมันก็พูดขึ้น

[ใช่เลย เวทมนตร์ของคุณแย่มากเลยหละ]

“…”

[ทำไมคุณถึงได้ทำเช่นนั้นหละถ้าหากว่าคุณไม่ใช่แม่มด…?]

เมื่อได้ยินคำถามที่ดูซื่อตรงแบบนั้นแล้วฉันสงสัยว่าฉันควรที่จะรู้สึกเจ็บใจดีหรือไม่

[นี่…นี่มันไม่ใช่วิธีที่คุณควรทำมัน]

“หือ?”

วิ้ง..!

ละอองแสงได้ถูกโปร่ยลงมาจากดอกไม้และปกคลุมไปทั่ววงเวทย์ของฉัน

แล้วมานานี้ก็ค่อยๆไหลเวียนไปอย่างช้าๆและเวทมนตร์ที่ฉันพึงจะร่ายไปบนพื้นก็ลอยขึ้นไปในอากาศ

“อ-อะไรนะ?”

มันเป็นการวาดวงเวทย์บนอากาศงั้นหรอ?

ฉันไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อนเลยที่สถาบันวิเวียนด้า

ถ้าจะให้ถูกต้องก็ทั้งจักรวรรดิเวทมนตร์เลยหละ

สิ่งที่จิตวิญญาณนี้พึ่งจะทำลงไปเป็นสิ่งที่น่าเหลือเชื่อ

[ทำไมหละ…คุณประหลาดใจงั้นหรอ?]

“เธอรู้วิธีที่จะทำแบบนี้ได้ยังไง?”

[ฉันไม่ได้ทำมัน]

กลีบของดอกไม้นี้สั่นไหวเล็กน้อยและทำท่าทางชี้มาที่ฉัน

[คุณต่างหากที่ทำ]

ฉันได้รู้ความหมายของมันเลยจนกระทั้งถึงเมื่อกี้นี้

ว่าอะไรคือสิ่งที่มันหมายถึงการที่แม่มดนั้นนับเป็นสิ่งมีชีวิตชั้นสูง

มันยอดเยี่ยมและสวยงายยิ่งกว่าอะไรก็ตามที่ฉันเคยจิตนาการไว้ซะอีก

(ผู้แปล : มันน่าจะหมายถึงการที่ดอกไม้นี้สามารถควบคุมเวทมนตร์ซอดัมอีกทีได้เพราะซอดัมเป็นแม่มดนะครับ)