อย่างไรเสีย พลังฝีมือของเฉียนหยุนผู้นี้ก็ได้มาโดยการใช้พลังโอสถรีดเค้นออก ไม่อาจเทียบกับผู้ฝึกตนที่ฝึกฝีมือด้วยตนเอง เมื่อพื้นฐานไม่มั่นคง ย่อมไม่อาจเทียบเปรียบกับอันติงหลันผู้เปี่ยมพรสวรรค์ได้

เฉียนหยุนขณะกำลังตระเตรียมล่าถอยไปอย่างหัวหกก้นขวิด ทางด้านหลัง สุนัขภักดีตัวหนึ่งของมันออกหน้ามาชี้นิ้วใส่อันติงหลัน “เจ้าเป็นตัวอะไร กล้าเสียมารยาทกับศิษย์พี่เฉียนของพวกเรา”

“โฮ่ เสี่ยวหยุน ช่วงนี้ก้าวหน้าขึ้นไม่น้อยเลยนี่” อันติงหลันถลึงตา คล้ายตระเตรียมถกแขนเสื้อสั่งสอนเฉียนหยุนสักรอบ

เฉียนหยุนแตกตื่นจนรีบล่าถอยไปหลายก้าว ยังได้ยินเจ้าสุนัขรับใช้นั่นเอ่ยต่อ “เด็กหญิงบัดซบ แค่พิสุทธิ์ไพศาลก็นึกว่าตัวเองใหญ่คับฟ้า? พวกเราแค่ขยับนิดขยับหน่อย เจ้าก็ตายแล้ว!”

เมื่อได้ยินคำนี้ เฉียนหยุนแทบหลั่งน้ำตา แค่อันติงหลันลำพังมันไม่ต้องกลัวปานนี้ แต่พี่ชายของนางคือศิษย์พี่ใหญ่แห่งหุบเขาเพลิงราชัน พลังฝีมือไม่ด้อยไปกว่าพี่ชายของตนเอง แถมยังเป็นพวกไม่ฟังเหตุผลเหมือนกันอีกด้วย

ขณะกำลังคิดด่าทอคนของตน ท่ามกลางฝูงชนพลันปรากฏเงาทวนเสีอกแทงออกมา เขี่ยเจ้าคนปากมากนั่นกระเด็นกระดอนออกไปทันที คนกลิ้งหลุนๆ หน้าถลอมจมูกเยิน เลือดกำเดาทะลักหลั่งออกอาบสองแก้ม

“นางไม่อาจทำตัวใหญ่คับฟ้า แล้วข้าที่เป็นพี่ชายเล่า?” อันหยางจอมยุทธ์ทวนทองคือกลั่นดวงธาตุอีกคนในเมืองซวนอู่ตอนนี้ ผู้มากบารมีและสะดุดตาที่สุดในที่นี้

“ท่านพี่ทำได้ดี!” อันติงหลันมีแต่จะกลัวไร้เรื่องวุ่นวาย กระโดดโลดเต้น “เจ้าหมอนี่ก็เสนอหน้าเมื่อกี้ ตีมันเลย!”

เฉียนหยุนยิ่งหน้าซีดขาว ไม่กล้าเอ่ยวาจาโต้ตอบ หากอีกฝ่ายคิดจัดการมันจริงๆ เกรงว่าคงไม่อาจหาความยุติธรรมอันใดได้

มันโบกมือคราหนึ่ง ศิษย์ทั้งหลายรีบเก็บกวาดเจ้าคนปากมากเมื่อครู่ แหวกฝูงชนออกไปอย่างรวดเร็ว

“ไป พวกเราหาที่นั่งกัน จะเริ่มประชุมแล้ว” ฉินจิ่วเกอสองตาจ้องเขม็งเพียงเบื้องหน้า บอกต่อซ่งเล่อและลั่วเฉิน

“นี่ ผู้แซ่ฉิน หมายความว่าไง” อันติงหลันแยกเขี้ยวกางเล็บเข้ามาใส่ ตนเองเพิ่งช่วยมันขับไล่ภยันตราย แม้แต่คำขอบคุณสักคำยังไม่มี

อันหยางส่ายหน้าอย่างจนปัญญา เก็บทวนลงไป ก่อนเดินเข้าสมทบกับคนทั้งสามท่ามกลางสายตาตื่นตะลึงของฝูงชน น้องเขยของมันผู้นี้นับว่าแตกต่างจากคนทั่วไปโดยแท้ มิน่าเล่าสามารถสะกดอุปนิสัยของน้องสาวมันไว้ได้

อาวุโสมู่หยวนไม่สนใจเรื่องไร้สาระ ทั้งไม่ช่วยเหลือเฉียนหยุนและไม่ช่วยเหลือฉินจิ่วเกอ คนกลางอย่างมันเป็นตัวรับอารมณ์ที่อันตรายที่สุด ยังคงอย่าได้ยุ่งเกี่ยวถามไถ่อันใดทั้งสองฝั่งดีกว่า

คนยืนลูบเครา เฉียนหยุนมีสิทธิ์เป็นคลื่นลูกหลัง อันหยางเองก็เป็นกลั่นดวงธาตุขั้นสาม ยิ่งหากมันเข้าร่วมงานชุมนุมมหายุทธ์ พลังฝีมือแท้จริงคงยิ่งเพิ่มพูน อนาคตจะขึ้นถึงกลั่นดวงธาตุขั้นสูงสุดมิใช่เป็นไปไม่ได้

ฉินจิ่วเกอพาสองสหายหาที่นั่งลง อันติงหลันเองก็กระโดดกระเด้งติดตามไป มวยผมหางม้าสะบัดแกว่งไกวอยู่ด้านหลัง “ผู้แซ่ฉิน เจ้าหมายความว่ายังไง ประเดี๋ยวท่านย่าคนนี้จะจัดการเจ้า”

ฉินจิ่วเกอดวงตาจ้องเขม็งไปเบื้องหน้าอย่างเดียว ขนาดลูกนัยน์ตายังไม่ขยับไหวแม้แต่น้อย “ไอ้หยา เดี๋ยวจะเริ่มประชุมแล้ว ข้าละตื่นเต้นจริงๆ”

ซ่งเล่อไม่เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างติงหลันและฉินจิ่วเกอ แต่นางมารใหญ่แห่งหุบเขาเพลิงราชัน มันนับว่ารู้จักเป็นอย่างดี ดังนั้นไม่อาจพูดมากได้

ลั่วเฉินเอนพิงพนักเก้าอี้ แสงดออกชัดเจนว่าไม่สนใจเรื่องเหล่านี้

ท่าทางเอาเรื่องของอันติงหลันไม่อาจได้รับคำตอบ ดังนั้นใช้สายตาคลอหยาดน้ำ จ้องมองด้วยตากะปริบกะปรอย “ฉินจิ่วเกอ เจ้าหูหนวกไปแล้วหรือ?”

กล่าวจบ มันติงหลันเบิกตากว้าง สองมือดึงแกละที่รวบเส้นผมดำขลับทั้งสองข้าง จ้องมองเข้าไปในรูหูฉินจิ่วเกอ

ฉินจิ่วเกอเม้มปาก ทะลึ่งลุกขึ้นกะทันหัน “ไอ้หยา ติงหลัน ทำไมเจ้ามาอยู่ที่นี่ได้ เมื่อครู่เจ้าอยู่ตรงไหนกัน ข้าก็มองหาแทบแย่”

ซ่งเล่อเบือนหน้าหนี กลัวว่าคนอื่นๆ จะรู้ว่ามันรู้จักกับคนแบบนี้ น่าขายหน้านัก ลั่วเฉินเองก็เบือนหนีไปอีกทาง บังสัญลักษณ์ที่ปักอักษรพรรคหลิงเซียวสามคำไว้ เกรงว่าคนอื่นจะสังเกตเห็น

อันติงหลันมองดูตนเอง หรือว่าเมื่อกี้นางล่องหนงั้นหรือ?

“ก็อยู่ตรงนี้มาตั้งนานแล้ว เจ้ามองไม่เห็นรึไง?” อันติงหลันกลับคืนสู่สภาพดุร้าย กรีดกรายกรงเล็บออก

ฉินจิ่วเกอเองก็พลันกลับสู่สภาพนัยน์ตาไม้ สองตาแข็งทื่อจ้องไปเบื้องหน้า ทำท่าเป็นมองไม่เห็นอีกครั้ง

อันติงหลันต้องโบกไม้โบกมืออย่างหมดความอดทน “พอเถอะ ไม่เหนื่อยบ้างรึไง ปลอมจริงๆ”

ฉินจิ่วเกอกล่าวเป็นจริงเป็นจัง “เมื่อครู่ข้ามองไม่เห็นแม่นางจริงๆ เห็นแต่นางพยัคฆ์ดุร้ายกวาดสายตามองไปทั่วทิศ แต่ตอนนี้ ที่แท้กลับเป็นนางเซียนงดงามสง่าเฉิดฉาย น่ารักน่าถนอมยิ่ง”

อันติงหลันรู้สึกไร้รสชาติ “พอแล้ว เอาเถอะ ต่อไปข้าจะเปลี่ยนวิธีพูดจากับเจ้า”

ฉินจิ่วเกอยกเก้าอี้มาตั้งข้างกาย ตบลงบนเก้าอี้ “งั้นก็มานั่งเงียบๆ ตรงนี้ อย่าก่อเรื่องวุ่นวาย ฟังอาวุโสมู่หยวนกล่าววาจา”

“อืม”

ขณะที่พวกมันสนทนา ผู้ฝึกยุทธ์เมืองซวนอู่ทั้งหลายก็เริ่มรวมตัวกัน อาวุโสมู่หยวนขึ้นสู่เวที รูปร่างเตี้ยเล็กของมันตั้งตรงแหน่ว “ทุกท่าน คลื่นสัตว์อสูรคืบใกล้ เพื่อความสงบสันติของเมืองซวนอู่ จึงต้องเรียกประชุมขึ้นมาในวันนี้”

ทางด้านล่าง คนจากสมาคมนักปรุงยาคือสี่ดวงธาตุ นั่งอยู่หน้าสุด จากนั้น เป็นนักจัดวางค่ายกลสามดวงธาตุ นอกนั้น ยังมีอันหยางที่ใช้ฝีเท้าสบายอุราเดินวนสำรวจโดยรอบ

“เมื่อคืนนี้ ภายในเมืองกลับมีผู้ฝึกวิชาปีศาจกลั่นดวงธาตุลอบเข้ามา ถูกข้าลงมือสังหารทิ้ง ทว่าจากหลักฐานพิสูจน์ชัดว่าพวกมันได้แทรกซึมเข้ามาในเมือง คลื่นสัตว์อสูรครานี้ก็เป็นพรรคโลหิตนภาที่บงการ มิอาจไม่ป้องกัน ดังนั้นเรียกระดมพลเพื่อระดมพลังสมอง ใช้วิธีการอันปลอดภัยที่สุด ปกป้องเมืองซวนอู่เอาไว้”

อาวุโสมู่หยวนบ่งบอกข้อเสนอของตน จากนั้นส่งไม้ต่อให้อาวุโสนักปรุงยามู่เหล่า

อีกฝั่งผงกศีรษะ บารมีสี่ดวงธาตุแผ่ครอบคลุมลงทั่วทั้งสถานที่ ยืนขึ้นอย่างสง่าผ่าเผย “ความหมายของข้า คือต้องยันไว้ให้ได้สามถึงห้าวัน เมื่อคลื่นสัตว์อสูรของที่อื่นถูกกวาดล้าง ย่อมต้องรีบมาช่วยเหลือพวกเรา”

มองภาพรวม จากนั้นแยกส่วนย่อย หลังคลื่นสัตว์อสูรปะทุ สี่พรรคใหญ่ย่อมต้องกวาดล้างขุมกำลังที่เป็นภัยคุกคามภาคพื้นทวีปส่วนนี้ จากนั้นก่อตั้งกองกำลัง สะสางสัตว์อสูรที่ระเบิดทำลายเผ่ามนุษย์

ความหมายของมู่เหล่าชัดเจนยิ่ง ขอเพียงสามารถยันคลื่นสัตว์อสูร ที่เหลือก็ไม่เป็นไรแล้ว

นักจัดวางค่ายกลกลับมีความเห็นต่าง มันเสนอให้ออกนอกเมือง ค้นหาสถานที่คลื่นสัตว์อสูรพำนักทำการจู่โจม เนื่องเพราะเมืองซวนอู่เป็นเมืองเล็ก ผนึกป้องกันภายในเมืองไม่อาจต้านทานการโจมตีได้

แทนที่จะรอคอยความช่วยเหลือเฉยๆ สู้ออกไปชิงลงมือก่อน ตีสลายคลื่นสัตว์อสูร

นี่ถือเป็นตัวเลือกสองทางของเมือง หนึ่งคืนกบดาน อีกหนึ่งคือออกตี อาวุโสมู่หยวนไม่เลือก มันคิดว่าไม่ว่าตัวเลือกไหนล้วนแล้วแต่ใช้ได้ พวกน้อยย่อมแพ้พวกมาก มันเองก็ไม่คิดออกหน้าเลือกข้างใด

ฉินจิ่วเกอใคร่ครวญอย่างหนักหน่วง หัวแม่มือคลึงบริเวณปลายคาง ปลายนิ้วขูกขีดพนักพิงเก้าอี้ไม้ เสียงแกร่กกร่ากเป็นทำนองอันคุ้นเคย

ซ่งเล่อเห็นท่าทางเช่นนี้ของฉินจิ่วเกอก็ทราบว่าอีกฝ่ายมีคำพูดคิดกล่าว มันเองมักคุ้นกับคนผู้นี้มาระยะหนึ่ง แม้จะเป็นพวกหน้าเงินเห็นแก่ได้ แต่เมื่อเอาจริงขึ้นมา บรรยากาศแห่งการบงการเหล่าพรสวรรค์นั้นก็จะปรากฏออกมา

ลั่วเฉินนิ่งเงียบ มองดูฉินจิ่วเกอ รอให้ศิษย์พี่เอ่ยวาจา

อันติงหลันไม่ชมชอบนิ่งเงียบ เมื่อบรรยากาศการประชุมเคร่งเครียดลง ก็ยกนิ้วเรียวราวหยกสลัก บิดเนื้อด้านหลังเอวของฉินจิ่วเกอเต็มรัก

ฉินจิ่วเกอได้รับความเจ็บปวด ผิวเนื้อโดนบิดจนเป็นเลขแปด ต้องร่ำร้องลั่นทะลึ่งลุกยืนขึ้นทันควัน สายตาจ้องมองอันติงหลัน อีกฝ่ายยามนี้เปลี่ยนท่าทีกลับสู่กุลสตรีเรียบร้อย คล้ายกับว่าไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น

“เด็กน้อย มีความคิดอ่านใด?” พิสุทธิ์ไพศาลขั้นกลาง ในที่ประชุมมีเกลื่อนกล่น มู่เหล่าไม่ใส่ใจ

เหมียนเหล่าหัวเราะไม่กล่าวกระไร อาวุโสมู่หยวนออกเสียงถามไถ่ “ที่แท้คุณชายฉินมีข้อเสนอแนะ ว่ามาเถอะ ถือเป็นการเปิดเวที”

อันหยางเห็นฉินจิ่วเกอยืนขึ้น สายตาหมิ่นหยามต้องเลือนหายไปหลายส่วน รอคอยให้อีกฝ่ายสำแดงวาทะ มู่เหล่าเองก็เก็บท่าทีจองหองลงไป เห็นว่าทั้งมู่หยวนและอันหยางมีท่าทีผิดแผก ดูท่าอีกฝ่ายคงมีความเป็นมาไม่น้อย

“เอาเถอะ ผู้น้อยมีความเห็นใดคิดกล่าว หากพูดผิดไป ขอเหล่าอาวุโสอย่าได้ถือสา” ความอยู่รอดของเมืองนี้เองก็เกี่ยวพันกับความสงบสุขของพรรคหลิงเซียว ฉินจิ่วเกอเองมิอาจไม่ยุ่งเกี่ยว

อันติงหลันลอบยกนิ้วหัวแม่มือทำท่ารอคอยทั้งนับถือ เอ่ยว่า “สู้ๆ”

ฉินจิ่วเกอรับคำอืม พริบตา ท่วงท่าเกียจคร้านไม่นำพาเมื่อครู่กเลือนหาย กลายเป็นผู้ทรงภูมิทรงคุณวุฒิ พบเห็นผ่านโลกมานับไม่ถ้วน “พรรคโลหิตนภาครั้งนี้ มิใช่ต้องการเพียงสูบผลาญพลังงานของพวกเราเผ่ามนุษย์ พวกมันยังคิดฉวยโอกาสความไม่สงบภายในเผ่า ยึดครองดินแดนของพวกเรา”

“ผู้ฝึกวิชาปีศาจที่โรงเตี๊ยมโลกมนุษย์เมื่อคืน ก็คือตัวอย่างที่ดีที่สุด พวกมันไม่เพียงชักนำสัตว์อสูรมาล้างบางเมืองมนุษย์ ที่่ยิ่งกว่านั้นคือหยิบยืมพลังของคลื่นสัตว์อสูร เปิดประตูเมืองที่ปิดตายของเผ่ามนุษย์ คิดขึ้นเป็นใหญ่”

เมื่อยกอ้างเหตุการณ์โรงเตี๊ยมโลกมนุษย์ ผู้คนไม่น้อยในที่นั้นต่างเห็นด้วย ผู้ฝึกวิชาปีศาจบ้าคลั่งไร้ขอบเขต เถ้าแก่โรงเตี๊ยมโลกมนุษย์ จนถึงบัดนี้ยังคงอยู่ระหว่างดูอาการโดยนักปรุงยา ทว่าแผลใจยังไม่อาจบรรเทา

“ดังนั้นผู้เยาว์เห็นว่า คลื่นสัตว์อสูรครั้งนี้ ย่อมต่างไปจากปกติธรรมดา ภายนอกเมืองซวนอู่ยิ่งเป็นเขตแดนรกร้างสุดขอบ ขุมกำลังอ่อนด้อย นอกจากป่าปีศาจสวรรค์ ยังมีแดนรกร้างอุดมสัตว์อสูร หากทั้งหมดนี้ถูกพวกมันควบคุมบงการได้ การล่มสลายของเมืองซวนอู่ก็มิใช่ไม่อาจเป็นไปได้”

ฉินจิ่วเกอเคยประมือกับพรรคโลหิตนภามาหลายรอบ รับรู้อุปนิสัยลักษณะของพวกมันอย่างลึกซึ้ง ความรู้ที่มันมีต่อพรรคโลหิตนภายังมากกว่าอาวุโสมู่หยวนและกลั่นดวงธาตุเหล่านั้น ครั้งนี้มุ่งเป้าโจมตีมายังเผ่ามนุษย์ ย่อมต้องเป็นนางปีศาจชุดแดงนั่นคิดออกมาแน่

ครั้งนี้ต้องระมัดระวังอย่างยิ่งยวด พรรคโลหิตนภาเตรียมการพรักพร้อม ยังไงย่อมต้องลงมือก่อนเพื่อยึดครองส่วนใต้สุดที่กำลังป้องกันอ่อนด้อยที่สุดให้ได้ ด้วยขุมกำลังของเมืองซวนอู่ที่ขาดความรอบด้าน ฉินจิ่วเกอคาดว่าไม่น่ายันไว้ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการชิงลงมือ

“เช่นนั้น ความหมายของเจ้าคือ?” อาวุโสมู่หยวนสามารถมองข้ามฉินจิ่วเกอ แต่ไม่อาจมองข้ามค่ายพรรคสำนักอาจารย์เบื้องหลังมัน

ในฐานะศิษย์พี่ใหญ่ ไม่ว่าจากมุมไหน วาจาของฉินจิ่วเกอก็คือตัวแทนของพรรค อาวุโสมู่หยวนมิอาจไม่ไว้หน้า ต้องอดทนถามไถ่

ฉินจิ่วเกอสองมือไพล่หลัง ก้าวเท้าเดินออกไปท่ามกลางฝูงชน เผชิญหน้ากับแรงกดดันของคลื่นทะเลมนุษย์ดำทะมึนสี่ทิศแปดทาง “ความหมายของข้าคือ เลิกล้มการป้องกันเมืองซวนอู่ หลบหนีไปยังตัวเมืองที่ใหญ่กว่า หรือไม่ก็รวมตัวกับกองกำลังป้องกันเมืองโดยรอบทั้งหลาย ก่อตั้งเป็นกลุ่มก้อนใหญ่ ร่วมกันต่อสู้”

นัยน์ตาอันติงหลันกลิ้งกลอก ท่าทางเคร่งขรึมของฉินจิ่วเกอยามนี้ช่างสง่างามเหลือหลาย หล่อลากสะท้านสะเทือนจริงๆ บุคลิกของมันยามนี้กลับไม่น่าชิงชังรังเกียจเท่าใดแล้ว กระทั่งยังเปี่ยมมนต์เสน่ห์น่าหลงใหลอีกด้วย

“ไร้สาระ จากที่เจ้าว่า ก็คือให้พวกเราชิงสละละทิ้งเมืองซวนอู่ รวมทั้งเนื้อที่โดยรอบหลายหมื่นลี้ ไปซุกหัวยังสถานที่อื่นงั้นรึ?” มู่เหล่าออกเสียงท้วง เด็กน้อยไม่รู้ความจริงๆ

ฉินจิ่วเกอยักไหล่ผายมือ “อาวุโสหากคิดเช่นนั้น ก็ไม่เป็นไร พรรคโลหิตนภาเมื่อสามารถพลิกทลายทำลายล้างเมือง ย่อมสามารถวางแผนร้ายทำลายได้เช่นกัน จากความเห้นต่ำต้อยของข้า เมืองซวนอู่ไม่อาจรักษา ไม่ต่างจากเอาหยกมาเผารวมกับหิน”

“ผายลม สถานที่นี้ใช่ที่ให้เจ้ากล่าววาจาหรือ?” มู่เหล่าระเบิดโทสะ ยังไม่ทันเปิดหน้าท้าตี กลับมีคนเสนอให้หลบหนี ช่างน่าขายหน้าบรรพบุรุษจริงๆ