ตอนที่ 63: ซัดหมัดมาเลย

สำหรับร้อยเอกทั้งสอง คนแรกชื่อหยานเหว่ย ส่วนอีกคนชื่ออู๋ห่าว

ทั้งสองต่างก็เป็นแนวหน้าของกองทัพ พวกเขาถือเป็นส่วนหนึ่งของเกียรติยศและชื่อเสียงในด้านการฝึกซ้อมทางการทหารมาแต่ช้านาน ด้วยความความรุ่งโรจน์ที่มีอยู่จนถึงทุกวันนี้ มันจึงเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เลยว่าทำไมทั้งสองถึงเผยท่าทีสุดหยิ่งผยองเช่นนั้นออกมา นอกจากนี้ พวกเขายังค่อนข้างอ่อนไหวต่อทัศนคติของหวังหยิงอีกด้วย เธอไม่เคยพูดถึงบุคคลนอกค่ายทหารเยอะขนาดนี้มาก่อน แต่ตอนนี้เธอกลับกำลังยกย่องคนนอกและพยายามเชิญชวนเสี่ยวเฉิงให้เขามาเป็นส่วนหนึ่งของที่นี่ ถึงกระนั้น มันไม่น่าอับอายไปหน่อยหรือสำหรับเกียรติยศแห่งกองทัพภาคที่แปด?

ขนาดเสี่ยวเฉิงเองยังสัมผัสได้เลยว่าทั้งสองไม่ต้อนรับตน…

ท้ายที่สุดแล้ว เสี่ยวเฉิงก็มาที่นี่เพื่อยืมอุปกรณ์จากพวกเขาเพื่อประเมินขีดจำกัดและความสามารถของตัวเอง เพราะเหตุนั้น แม้ว่าทั้งสองจะคิดอย่างไรกับตน เสี่ยวเฉิงก็รู้สึกอะไรมากไม่ได้

ไม่นานนัก เสี่ยวเฉิงก็พลันหันไปกล่าวคำพูดกับหวังหยิง “ถ้าไม่สะดวก ผมไปซ้อมที่อื่นก็ได้นะ อันที่จริง เหตุผลที่ผมต้องประเมินขีดจำกัดของตัวเองก็เพราะต้องไปสู้กับใครคนหนึ่งน่ะ ตอนนี้เหลือเวลาอีกแค่สองวันแล้วด้วย แถมยังเป็นการสู้แบบเอาชีวิตเข้าแลกอีก เพราะแบบนั้นแหละ ผมเลยต้องหาสถานที่อุ่นเครื่องแล้วก็ประเมินขีดจำกัดตัวเองจนถึงวินาทีสุดท้าย”

ทันทีที่ได้ยินว่าเสี่ยวเฉิงกำลังจะจากไป หวังหยิงก็พลันรู้สึกเสียใจไม่น้อย ในตอนนี้ ดูเหมือนว่าเธอจะไม่พอใจกับทัศนคติที่หยานเหว่ยและอู๋ห่าวมีต่อเสี่ยวเฉิงเป็นอย่างมาก ที่นี่ไม่ใช่บ้านของพวกเขาด้วยซ้ำ แล้วทำไมเธอถึงจะพาคนนอกเข้ามาไม่ได้ล่ะ?

“แล้วนายต้องไปสู้กับใครกันล่ะ?” หวังหยิงถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น

“คุณเคยได้ยินเรื่องของผู้นำแก๊งเต่าดำไหมล่ะ?” เสี่ยวเฉิงพลันกล่าวคำถาม

“แก๊งเต่าดำ? อย่าบอกนะว่านาย…” หวังหยิงพลันเบิกตากว้างขึ้นมาในทันใด “ฉันได้ยินมาว่าหัวหน้าของแก๊งเต่าดำออกมาจากการจำศีลแล้วตอนนี้… แถมเขายังประกาศท้าประลองแลกชีวิตกับใครสักคนด้วย ใครคนนั้นคือนายงั้นเหรอ?!”

เสี่ยวเฉิงพลันพยักหน้า “การประลองจะเริ่มในอีกสองวัน ผู้บังคับบังชาของผมให้หยุดงานเพื่อมาเตรียมตัวนี่แหละ อีกอย่าง คุณเองก็น่าจะรู้ว่าสถานที่ปกติไม่ได้มีอุปกรณ์ที่เหมาะสำหรับการฝึกฝนทางทหารอย่างพวกเราอยู่แล้ว เพราะแบบนั้นแหละ ผมก็เลยอยากยืมอุปกรณ์ฝึกซ้อมยังไงล่ะ… ยังไงเรื่องนั้นก็ต้องขอโทษด้วย”

“ไม่เป็นไรหรอกน่า” หวังหยิงไม่ได้ถือสาอะไรพร้อมส่ายหัว

“ผู้นำของแก๊งเต่าดำเป็นคนที่ท้านายประลองงั้นรึ?” อู๋ห่าวและหยานเหว่ยพร้อมรู้สึกสนใจขึ้นมาในทันใด ทั้งสองพลันเดินตรงมาและมองไปยังเสี่ยวเฉิงพร้อมหัวเราะ “นายไม่อยากมีชีวิตอยู่บนโลกนี้แล้วหรือยังไงกัน?”

อู๋ห่าวพยักหน้าพร้อมกล่าวคำพูด “ชายคนนั้นเป็นถึงผู้ที่ก่อกำเนิดแก๊งเต่าดำเชียวนะ มันไม่ใช่เรื่องที่คนธรรมดาจะเข้าไปยุ่งได้หรอก ถึงเขาจะแยกตัวออกมานานกว่าสิบปีแล้วก็เถอะ แต่ทั้งอำนาจและอิทธิผลของชายคนนั้นก็ยังอยู่ที่นี่ไม่หายไปไหน อันที่จริง ถ้าประมาทตัวเองมากไป นายอาจจะตายได้เลยนะ รู้ตัวใช่ไหม?”

หวังหยิงพลันตะโกนใส่ร้อยเอกทั้งสอง “ประเด็นตอนนี้คือเราต้องช่วยเขานะ! อีกอย่าง สิ่งที่เขาทำไปทั้งหมดก็เพื่อยุบแก๊งเต่าดำให้สิ้นซากไปเสีย ในเมื่อเรื่องมันมาถึงจุดนี้แล้ว ขอหน่อยเถอะ หยุดเลือกปฏิบัติกับทหารเขตอื่นได้แล้ว!”

“ช่วยหมอนี่เนี่ยนะ? มันง่ายขนาดนั้นเลยหรือยังไงกัน? ให้เขามาสู้กับพวกเราแทนก็ได้มั้ง พูดตามตรงเลยนะ ถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้เก่งที่สุด แต่ในบรรดาทหารทั้งหมดของกองทัพ เราสองคนเองก็สามารถติดห้าสิบอันดับแรกของนักสู้ฝีมือดีได้อย่างง่ายดายเลยล่ะ” อู๋ห่าวกล่าว

หยานเหว่ยพยักหน้า “ใช่ มาดวลกับพวกเราดีกว่ามั้ง คิดว่างั้นไหมล่ะ? อย่าบอกนะว่าไม่ไหว…”

หวังหยิงพลันกล่าวคำพูดกับเสี่ยวเฉิง “ร้อยเอกสองคนนี้เก่งมากเลยนะเรื่องการต่อสู้ระยะประชิด ถ้านายสู้กับพวกเขา นายอาจจะเรียนรู้อะไรมากกว่าเดิมก็ได้”

เสี่ยวเฉิงพลันกล่าวคำพูดอย่างตรงไปตรงมา “ผมไม่ได้อยากเรียนรู้อะไรสักหน่อย ก็แค่อยากได้มืออาชีพที่สามารถช่วยบีบเค้นศักยภาพของผมออกมา… ผมจะได้รู้ว่าตอนนี้ขีดจำกัดของตัวเองอยู่จุดไหนแล้ว”

ทว่า นั่นไม่ใช่สิ่งที่หยานเหว่ยและอู๋ห่าวต้องการได้ยินเลยแม้แต่น้อย

ผู้ชายคนนี้คิดว่าเราไม่ใช่มืออาชีพพอที่จะสามารถบีบเค้นศักยภาพของเขาออกมาได้งั้นรึ?

รอก่อนเถอะนะ แล้วก็ไม่ต้องพูดถึงเรื่องบีบเค้นศักยภาพเลยด้วย เพราะพวกเรานี่แหละจะซัดหน้านายให้แหกไปเลย

“ดูจะคุยโม้ใหญ่เลยนะ” หยานเหว่ยพลันกอดอกและกล่าวคำพูด “อันที่จริง นายไม่มีคุณสมบัติมากพอจะมาดวลกับพวกเราสองคนหรอกมั้ง ถ้าไม่ใช่เพราะหวิงหยิงยืนอยู่ตรงนี้ พวกเรากระทืบนายจมดินไปนานแล้ว!”