ตอนที่ 140 ควบคุมชีวิตและความตาย

ความจริงแล้วในตอนที่มู่อี้ตัดสินใจจะใช้ประโยชน์จากฉงเจียอี่เขาก็มีวิธีการในใจอยู่แล้ว ถ้าหากว่าเขาต้องการให้ชายชราผู้นี้เชื่อฟัง เขาก็ต้องควบคุมชีวิตและความตายของอีกฝ่ายเอาไว้

และวิธีการที่ว่านี้มู่อี้ก็เข้าใจเป็นอย่างดี

เมื่อคิดเช่นนี้มู่อี้ก็อดที่จะรู้สึกขอบคุณฉือกุยขึ้นมาไม่ได้ ฉือกุยถือเป็นศัตรูคนแรกในชีวิตของเขาและยังสร้างประโยชน์ให้กับชีวิตของเขามากด้วยเช่นกัน

เมื่อได้เผชิญหน้ากับฉือกุย มู่อี้ได้เห็นวิญญาณเป็นครั้งแรกและเขายังเข้าใจอย่างชัดเจนว่าภูตผีวิญญาณนั้นคืออะไร

และการต่อสู้ที่เกิดขึ้นในตอนนั้นมู่อี้ก็ได้รับธงราชันย์แห่งวิญญาณมาด้วยเช่นกัน แม้ว่าธงราชันย์แห่งวิญญาณจะแทบไม่มีประโยชน์สําหรับเขาแล้วในตอนนี้ แต่ในช่วงแรกมันก็ช่วยมู่อี้เอาไว้ได้มาก

แน่นอนว่าสิ่งที่สําคัญที่สุดที่ชักนําให้เขาได้มาพบกับฉือกุยนั่นก็คือเนี่ยนหนิวเอ้อร์ แม้ว่าหลังจากจบการต่อสู้แล้วฉือกุยจะยังคงชักนําปัญหามากมายมาให้มู่อี้แต่ถ้าหากพูดตามตรงประสบการณ์ต่างๆที่มู่อี้ได้รับมานั้นก็ถือว่ามีประโยชน์มาก

มู่อื้อยากจะควบคุมชีวิตและความตายของฉงเจียอีตามหลักการควบคุมวิญญาณ

แม้ว่ามันจะมีชื่อว่าการควบคุมวิญญาณ แต่ความจริงแล้วมันสามารถใช้ประโยชน์ได้ทั้งมนุษย์และภูตผี

มู่อี้ตัดสินใจที่จะใช้วิธีการที่รุนแรงที่สุดในการควบคุมชีวิตและความตายของฉงเจียอี่ เขาสามารถเปลี่ยนวิญญาณให้กลายเป็นวิญญาณรับใช้ของตนเองได้อย่างสมบูรณ์ ชีวิตและความตายของมนุษย์ก็ไม่ใช่เรื่องยาก แม้ว่าฉงเจียอี่จะตายไปแล้วแต่ดวงวิญญาณของเขาก็ยังคงต้องเป็นทาสของมู่อี้และไม่มีวันได้อิสระไปตลอดชีวิต

และวิธีการเดียวที่จะหลบหนีได้ก็คือการยอมให้ดวงวิญญาณของตนเองต้องสูญสลาย

ดังนั้นฟูอี้ถึงไม่กังวลเลยว่าฉงเจียอี่จะทําอะไรต่อไปและเขาก็ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะกล้าหักหลังตนเองแน่นอน

ในตอนนี้ฉงเจียอี่ยังไม่อาจคาดเดาได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับตนเองต่อไป ถ้าหากเขารู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นสีหน้าของเขาคงไม่แสดงท่าที่ที่ดูมีความสุขแบบนี้ออกมา

“เช่นนั้นถึงเวลาที่เจ้าต้องเลือกแล้ว” มู่อี้ไม่ปล่อยให้ฉงเจียอี่ได้มีความสุขนานนักและพูดออกไปทันที

” ท่านนักพรตเต๋า เลือกอะไรหรือขอรับ?” ฉงเจียอี่จ้องมองมาที่มู่อี้ด้วยสีหน้าที่ดูประหลาดใจ ก่อนหน้านี้พวกเขาเพิ่งจะตกลงกันได้ไม่ใช่หรือ?

“ยอมรับข้อเสนอของข้าและยอมให้ข้าควบคุมร่างกายของเจ้า หรือไม่ข้าก็ไปหาคนอื่นส่วนเจ้าก็ตายไปซะ” มู่อี้พูดออกมาเบาๆแต่น้ำเสียงของเขานั้นเป็นเหมือนกับสายฟ้าที่ผ่าลงมากลางใจของฉงเจียอี่

“ควบคุมร่างกาย?” สีหน้าของฉงเจียอี่ซีดขาวขึ้นมาทันที สําหรับคนที่เคยผ่านประสบการณ์ชีวิตมามากมายแบบเขาแล้วคําๆนี้ทําให้เขารู้สึกหวาดกลัวอย่างยิ่ง เขาคิดว่ามู่อี้จะยังอายุน้อยและไร้เดียงสาจนเขาสามารถหลอกใช้ได้ แต่ดูเหมือนว่าคนที่ไร้เดียงสาในเรื่องนี้จะเป็นเขาเอง

เมื่อลู่อี้กล้าปล่อยเขาให้เป็นอิสระ อีกฝ่ายจะไม่มีวิธีการป้องกันใดๆเลยหรือ? เขาคิดว่าหลังจากที่มู่อี้ปล่อยเขาไป เขาจะเปลี่ยนแปลงใบหน้าของตนเองและหายไปจากโลกใบนี้ทันที อย่างน้อยมู่อี้ก็ไม่อาจตามหาเขาเจอได้แน่นอน

ส่วนการจับตามองชวี่หยางคิดว่าเรื่องนี้มันง่ายนักหรือไง? ด้วยความฉลาดและเจ้าเล่ห์ของชวี่หยาง การที่เขาทําอะไรผิดปกติไปเขาคงต้องกลายเป็นผีดิบตัวหนึ่งในชวี่ยี่จวงอย่างแน่นอน

แต่เขาจะมีทางเลือกอีกมั้นหรือ?

ฉงเจียอี่ถามตัวเองในใจ แต่คําตอบนั้นก็ชัดเจนอยู่แล้ว เขาไม่มีทางเลือกอื่นเลยในตอนนี้

หลังจากที่คิดได้เช่นนี้สีหน้าของเขาก็ดูโศกเศร้าขึ้นมาทันที “ข้าน้อยขอถามได้หรือไม่ ท่านต้องการควบคุมร่างกายของข้าแบบไหนกัน?”

หลังจากถูกควบคุมร่างกายแล้วเขาอาจจะกลายเป็นเหมือนกับเป่ยหมิง นั่นคือเรื่องที่เขาไม่ต้องการเลย

“วางใจเถอะ ตราบใดที่เจ้าไม่หักหลังข้า เจ้าก็จะไม่มีวันถูกข้าควบคุมร่างกาย เพียงแต่ว่าเจ้าต้องเชื่อฟังคําสั่งของข้าอย่างเคร่งครัดและเจ้าจะไม่มีวันปฏิเสธคําสั่งของข้าได้ ส่วนประโยชน์ที่เจ้าจะได้รับนั้นก็ย่อมมีด้วยเช่นกัน เจ้าไม่อยากจะยกระดับเข้าสู่ความยากขั้นที่ 2 หรือไง?” มู่อี้ถามพร้อมกับจ้องมองมาที่ฉงเจียอี่

“ระดับความยากขั้นที่ 2 ของการฝึกฝนจิตใจ?” หลังจากได้ยินคําพูดของมู่อี้ ดวงตาของฉงเจียอี่ก็เบิกกว้างขึ้นมาทันที แม้ว่าเขาจะพอมีชื่อเสียงอยู่บ้างเพราะด้วยการใช้แมลงและการที่เขาทํางานให้กับชวี่ยี่จวงแต่ระดับพลังของเขานั้นก็อยู่ในขั้นที่ 1 เท่านั้นและด้วยอายุของเขา เขาคิดเอาไว้แล้วว่าชีวิตนี้คงไม่มีโอกาสก้าวเข้าสู่ระดับความยากขั้นที่ 2 อย่างแน่นอน

แต่ในตอนนี้มู่อี้บอกกับเขาว่ายังมีโอกาสที่จะได้ก้าวเข้าสู่ระดับความยากขั้นที่ 2 ในชีวิตนี้ ซึ่งนั่นเป็นเหมือนเสียงสวรรค์สําหรับเขา ถ้าหากก้าวเข้าสู่ระดับความยากขั้นที่ 2 ได้สําเร็จเขาก็จะ ได้ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตที่เขาต้องการ

“ใช่ ระดับความยากขั้นที่ 2 ของการฝึกฝนจิตใจ” มู่อี้พยักหน้า

“ข้ายอมทําตามที่นายท่านสั่งทุกอย่าง” สีหน้าของฉงเจียอีไม่มีความลังเลอีกต่อไปและรีบทําความเคารพม่อีทันที “เจียอีขอแสดงความเคารพต่อนายท่าน”

เมื่อได้เห็นท่าทีของฉงเจียอี่ มู่อี้ก็รู้สึกเข้าใจขึ้นมามากยิ่งขึ้นดูเหมือนว่า ความปรารถนาของผู้บ่มเพาะทุกๆคนในการก้าวเข้าสู่ระดับความยากขั้นที่ 2 นั้นคือสิ่งที่ไม่อาจดูถูกได้เลย

แม้ว่ามู่อี้จะสามารถก้าวเข้าสู่ระดับความยากขั้นที่ 2 ได้สําเร็จแต่ก็ไม่อาจพูดได้ว่ามันเป็นไปอย่างราบรื่นและไม่มีอุปสรรคใดๆและไม่ได้หมายความว่าผู้บ่มเพาะคนอื่นๆจะใช้วิธีการเดียวกันกับเขาได้ในโลกอันกว้างใหญ่ใบนี้คนส่วนใหญ่ต่างก็ติดอยู่ในระดับความยากขั้นที่ 1 เท่านั้น รวมถึงฉงเจียอี่ที่อยู่ตรงหน้าเขาด้วยเช่นกัน

ถ้าหากไม่ใช่เพราะว่าเขาหมดหวังในการก้าวเข้าสู่ระดับความยากขั้นที่ 2 เขาก็คงไม่หันไปศึกษาในด้านการเลี้ยงแมลงแทน แม้ว่าจะถูกตราหน้าว่าเป็นการโจมตีที่ชั่วร้ายและไร้ซึ่งเกียรติยศแต่เขาก็รู้ดีว่าการก้าวเข้าสู่ระดับความยากขั้นที่ 2 คือสิ่งที่เขาไม่อาจทําได้ในชีวิตนี้

แม้ว่าเขาจะยังไม่รู้ว่าที่มู่อี้พูดมานั้นคือเรื่องจริงหรือเรื่องโกหก แต่อย่างน้อยมันก็ทําให้จิตใจของเขารู้สึกมีความหวังขึ้นมาและสัญชาตญาณของเขาก็รู้สึกได้ว่าสิ่งที่มู่อี้พูดมานั้นคือความจริง

ถ้าหากพูดถึงเรื่องนี้แล้วเขายังรู้สึกอิจฉามู่อี้ที่สามารถก้าวเข้าสู่ระดับความยากขั้นที่ 2 ได้ตั้งแต่อายุยังน้อยอีกด้วย แต่เขาก็รู้ดีว่าการได้ก้าวเข้าสู่ระดับความยากขั้นที่ 2 ในตอนที่ยังอายุน้อยเหมือนกับมู่อี้นั้นต้องมีปัจจัยต่างๆมากมายทั้งพรสวรรค์ ความเหมาะสม การฝึกฝน และแม้แต่โชคชะตา

ตอนนี้มู่อี้ไม่ได้ให้คําสัญญาหรือแม้แต่พูดถึงความเป็นไปได้แต่เพียงเท่านี้ก็มากพอสําหรับเขาแล้ว

ยิ่งไปกว่านั้นเขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นมาตั้งแต่แรกและทําได้เพียงยอมให้มู่อี้ควบคุมร่างกายเท่านั้นถ้าหากว่าเขาอยากจะมีชีวิตรอดต่อไปได้ เมื่อชีวิตและความตายของเขาถูกควบคุมเอาไว้เขาก็ทําได้เพียงต้องยอมจํานนต่อลู่อี้เท่านั้น และพยายามทําให้มู่อี้รู้สึกดีกับเขามากที่สุด

นั่นคือสิ่งที่ฉงเจียอี่คิดเอาไว้

“ดีมาก เมื่อเจ้ายอมทําตามที่ข้าต้องการ ข้าก็จะไม่มีทางทําให้เจ้าผิดหวังแน่นอน” มู่อี้ กล่าวชื่นชมอีกฝ่าย จากนั้นตามวิธีการควบคุมวิญญาณที่เขาได้ศึกษามานั้น เขาต้องใช้แก่นแท้แห่งชีวิต โลหิตของตนเอง และพลังแห่งจิตใจเข้าไปควบคุมวิญญาณของฉงเจียอี่

เมื่อวิธีการนี้เสร็จสิ้นมู่อี้ก็รู้สึกได้ทันที ตราบใดที่เขาต้องการดวงวิญญาณของฉงเจียอี่ก็สามารถสูญสลายไปได้ทันที ฉงเจียอีก็รู้สึกได้ด้วยเช่นกันดังนั้นท่าทีของชายชราจึงดูสุภาพมากยิ่งขึ้น

ในตอนที่ท่านลุงไฉกลับเข้ามาในห้องอีกครั้งเขาก็ได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ ฉงเจียอี่ยืนอยู่ด้านหลังของมู่อี้ด้วยความเคารพราวกับพ่อบ้านที่แก่ชราคนหนึ่ง มือทั้งสองข้างของเขาแนบชิดกับลําตัว ศีรษะก้มลง และจิตใจทั้งหมดของเขาก็จดจ่ออยู่ที่มู่อี้เท่านั้น สีหน้าของเขาไม่มีความลังเลหรือต่อต้านใดๆมีเพียงความเต็มใจเท่านั้น

เมื่อเห็นเช่นนี้ท่านลุงไฉก็รู้สึกหวาดกลัวต่อมู่อี้ยิ่งขึ้นไปอีก

” ของสิ่งนี้ท่านลุงไฉรู้หรือไม่ว่ามันคืออะไร?” เมื่อเห็นว่าท่านลุงไฉเดินเข้ามา มู่อี้ก็ถามออกไปตรงๆทันที

“ข้าก็ย่อมพอรู้มาบ้าง” ท่านลุงไฉจ้องมองไปยังกุญแจสามเหลี่ยมที่ตั้งอยู่บนโต๊ะพร้อมกับพยักหน้าและเหลือบมองไปที่ฉงเจียอี่ในเวลาเดียวกัน

“เป้าหมายของศัตรูในครั้งนี้ก็คือกุญแจดอกนี้ ข้าไม่รู้ว่าท่านลุงไฉคิดจะทําอะไรกับมัน?” มู่อี้ถามออกไปตามตรง

” ของสิ่งนี้คือสิ่งที่ท่านนักพรตเต๋าสมควรรับมันไป มันจะเกี่ยวข้องอะไรกับข้าอีก?” ท่านลุงไฉส่ายศีรษะพร้อมกับจ้องมองมาที่มู่อี้ทันที เห็นได้ชัดว่าเขาไม่มีความคิดที่จะเก็บกุญแจดอกนี้เอาไว้กับตนเองแม้ว่ามันจะเป็นสินค้าของผู้ว่าจ้างก็ตาม

“เอ่อ เช่นนั้นแล้วภารกิจของท่านลุงไฉจะไม่มีปัญหาหรือขอรับ ถ้าหากไม่มีกุญแจดอกนี้ไปส่งให้ผู้รับสินค้า?” มู่อื้ถามออกไปด้วยความสงสัย

“สํานักคุ้มกันโม่หยวนของพวกเราต้องบาดเจ็บล้มตายเป็นจํานวนมากในครั้งนี้ สิ่งที่สําคัญยิ่งกว่านั้นก็คือผู้ว่าจ้างของเราสมรู้ร่วมคิดกับศัตรูและต้องการปล้นชิงสินค้าที่พวกเราคุ้มกันออกไป โชคดีที่สํานักคุ้มกันโม่หยวนของพวกเราได้ต่อสู้อย่างหนักและรักษาสินค้าส่วนใหญ่เอาไว้ได้ แต่ก็มีบางอย่างที่ถูกปล้นชิงไปด้วยเช่นกัน แม้ว่ามันจะทําให้ท่านต้องผิดหวังแต่สํานักคุ้มกันโม่หยวนของเราก็ทําเต็มที่แล้ว” ท่านลุงไฉกล่าวออกมาด้วยสีหน้าที่จริงจัง

น้ำเสียงและท่าทีของเขายังทําให้ฉงเจียอี่ที่อยู่ด้านหลังของมู่อี้ต้องเบิกตากว้างขึ้นราวกับว่าชายที่อยู่ตรงหน้าของเขานั้นเปลี่ยนไปเป็นคนละคน

ท่านลุงไฉไม่รู้ว่าของสิ่งนี้ล้ำค่ามากเพียงใด? แน่นอนว่าไม่ใช่แบบนั้น แต่เป็นเพราะว่าเขาเข้าใจเรื่องทุกอย่างได้ชัดเจนจึงพูดออกมาแบบนี้ แม้ว่าในตอนนี้เขาจะอยู่ห่างจากเมืองลั่วหยางอีกไม่ไกลแล้ว แต่ก็ไม่อาจยืนยันได้ว่าจะไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นอีก

และในความคิดของเขาถ้าหากไม่มีมู่อี้ ด้วยพลังของสํานักคุ้มกันโม่หยวนเพียงอย่างเดียวคงไม่อาจปกป้องของสิ่งนี้เอาไว้ได้แน่นอน แทนที่จะเอาชีวิตของผู้คุ้มกันทุกๆคนมาเสี่ยงกับของสิ่งนี้ เขายินดีที่จะมอบมันให้กับคนอื่นไปจะดีกว่า

ส่วนคําตอบที่จะมีให้ผู้รับสินค้านั้นเขาก็เตรียมพร้อมไว้อยู่แล้ว เพราะเขาย่อมไม่รู้ว่าสินค้าที่คุ้มกันมานั้นมีอะไรบ้างและการเดินทางครั้งนี้ผู้ว่าจ้างก็ได้มีการหักหลังสมรู้ร่วมคิดกับศัตรู ความสูญเสียของสํานักคุ้มกันโม่หยวนของเขานั้นทุกๆคนก็รับรู้ได้อย่างชัดเจน ด้วยสถานการณ์ที่เกิดขึ้นนี้เขามั่นใจว่าผู้รับสินค้าจะไม่มีการตําหนิใดๆและจะไม่มีผลต่อชื่อเสียงของสํานักคุ้มกันโม่หยวนด้วยเช่นกัน

แน่นอนว่าท่านลุงไฉนั้นต้องมีหลักฐานทุกอย่างหรือไม่เขาก็บอกไปว่าตนเองไม่รู้ว่ากุญแจดอกนี้มันล้ำค่ามากเพียงใด เพราะในสายตาของคนธรรมดาของสิ่งนี้ก็ไม่ได้แตกต่างอะไรไปจากวัตถุโบราณที่ไร้ค่าเท่านั้นและเผลอๆมันอาจจะมีคําสาปติดมาอีกด้วย

หลังจากได้ฟังคําพูดของท่านลุงไฉ มู่อี้ก็พยักหน้าขึ้นมาทันที ก่อนหน้านี้เขาคิดเอาไว้อยู่แล้วว่าจะช่วยอีกฝ่ายหาวิธีแก้ตัวอย่างไร แต่คําพูดของท่านลุงไฉก็ช่วยแก้ปัญหาให้เขาไปได้มาก

“เช่นนั้นเงินพวกนี้ท่านลุงไฉโปรดรับเอาไว้เถอะ มันคงพอช่วยเหลือสํานักคุ้มกันโม่หยวนเรื่องความสูญเสียได้บ้าง” มู่อี้พูดขึ้นมาต่อ

แต่เขาก็ไม่คิดว่าท่านลุงไฉจะส่ายศีรษะอย่างหนักแน่น “เมื่อพวกเราทําหน้าที่เป็นผู้คุ้มกันแล้วก็ย่อมต้องมีกฎเกณฑ์ที่ต้องรักษาเอาไว้ด้วยเช่นกัน ในเมื่อพวกเราล้มเหลวในการคุ้มกันท่านนักพรตเต๋าไปยังเมืองลั่วหยาง เมื่อภารกิจล้มเหลวค่าตอบแทนที่ท่านนักพรตเต๋ามอบให้มาพวกเราก็ย่อมต้องส่งคืนไป ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ท่านนักพรตเต๋าช่วยชีวิตข้าและผู้คุ้มกันคนอื่นๆเอาไว้เลย ข้ารู้สึกขอบคุณท่านนักพรตเต๋าเป็นอย่างยิ่ง และข้าจะกล้ารับเงินของท่านนักพรตเต๋าได้อย่างไรกัน? ”

ท่าทีของท่านลุงไฉนั้นแสดงออกมาอย่างชัดเจน ไม่ว่ามู่อี้จะพูดอย่างไรเขาก็ไม่มีทางรับเงินกลับมาแน่นอน เมื่อเห็นเช่นนี้แล้วมู่อี้ก็ไม่ได้โน้มน้าวอีกฝ่ายให้รับเงินกลับไป เพราะท้ายที่สุดมันก็เป็นเรื่องที่ดีสําหรับตัวเขาด้วยเช่นกัน

แม้ว่ามู่อี้จะไม่ได้สนใจเรื่องเงินทองมากนัก แต่บางครั้งมันก็จําเป็นอย่างยิ่ง

ขบวนรถม้าเริ่มออกเดินทางอีกครั้งหนึ่งแต่ผู้คุ้มกันจํานวนมากก็มีสีหน้าที่ดูผิดหวัง เพราะในตอนนี้มี 1 คนที่หายไป ไม่สิ ต้องบอกว่า 2 คน นั่นก็คือมู่อี้และต้าหนิวที่ไม่ได้เดินทางไปต่อพร้อมกับพวกเขา

“นายหญิงน้อยขอรับ เหตุใดท่านถึงไม่ไปบอกลาท่านนักพรตเต๋าด้วยตนเอง?” ที่ด้านหน้าสุดของขบวนรถม้านั้นท่านลุงไฉกําลังขี่ม้าและจ้องมองมาที่โม่หรูเยียนที่อยู่ข้างๆเขา ในตอนนี้สีหน้าของโม่หรูเยียนดูเย็นชาและปราศจากอารมณ์ใดๆ เพียงแต่เมื่อท่านลุงไฉถามออกมาเช่นนี้ดวงตาของนางก็เป็นประกายขึ้นมาเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าสภาพจิตใจที่แท้จริงของนางนั้นไม่ได้เย็นชาเหมือนสีหน้าที่นางแสดงออกมา

“พวกเราต่างก็เกี่ยวข้องกันก็เพราะธุรกิจเท่านั้นเหตุใดจึงต้องทําเรื่องที่น่ารําคาญเช่นนั้นด้วย? ช้าหรือเร็วไม่ว่ายังไงก็ต้องแยกจากกันอยู่แล้ว แม่น้ำใหญ่แตกแขนงออกเป็นสายน้ำเล็กๆ มากมายไม่มีใครรู้ว่าสักวันหนึ่งมันจะได้มาบรรจบกันหรือไม่” โม่หรูเยียนกล่าวออกมาอย่างเฉยเมย

ท่านลุงไฉยิ้มขึ้นมาเล็กน้อยหลังจากได้ฟังคําพูดของโม่หรูเยียน “ไม่จําเป็นหรอก สายน้ำเล็กๆ อย่างพวกเราอาจจะถือว่าโลกใบนี้นั้นกว้างใหญ่อย่างยิ่ง แต่ถ้าหากเป็นสายน้ำใหญ่อย่างท่านนักพรตเต๋ามู่โลกของเขาอาจจะแคบลงไปอีก ใครจะไปรู้บางที่สายน้ำของท่านและเขาอาจจะกลับมาบรรจบกันอีกครั้งหนึ่ง”

“จริงหรือ?” โม่หรูเยียนถามขึ้นมาเบาๆ แต่ในครั้งนี้ไม่มีใครตอบอะไรกลับมา

โม่หรูเยียนหยุดม้าของนางอย่างกะทันหันและจากนั้นก็เหม่อมองออกไปในระยะไกลๆ