บทที่ 171 การปรากฏตัวของเขา

หวางเฟยเสด็จ ท่านอ๋องหลีกไป

บทที่ 171 การปรากฏตัวของเขา

“ทางฝั่งซ้ายของเรือเกิดการก่อตัวของเมฆดำ ดูท่าแล้วคงเพิ่งก่อตัวได้ไม่นาน แต่การก่อตัวของมันกลับเกิดรวดเร็วยิ่งนัก พวกเราจึงมีเพียงทางเลือกนี้เท่านั้น”

พอเป็นเช่นนี้ หลังจากเจ้าของเรือมองมายังนางอย่างจดจ่อ ที่ไม่ให้เขาหันเรือกลับเข้าไป ก็รีบมองไปยังแผนที่

“หากหยุดเรือเล่า?” เจ้าของเรือกล่าวถาม

“การหยุดเรือถือเป็นวิธีการที่โง่เขลาที่สุดในเวลานี้ ตอนนี้ไม่ว่าจะด้านหน้าด้านหลังหรือด้านไหนก็มีเมฆดำที่มาพร้อมกับฟ้าผ่ากำลังแผ่กระจายเคลื่อนมาทางนี้ ถือเป็นการโจมตีทั้งสี่ด้าน พอถึงเวลาหากพูดว่าเรือใหญ่แตกนั้นยังนับว่าเป็นเรื่องเล็ก อย่างน้อยก็คงจะกลายเป็นผุยผง ตอนนี้มีเพียงรีบเร่งเรือออกไปทางฝั่งขวาที่เพิ่งเกิดการก่อตัวของกลุ่มเมฆดำเท่านั้น ถึงจะมีโอกาสรอด และสามารถเคลื่อนเรือออกไปทางระหว่างกลางเมฆดำฝั่งท้ายเรือและฝั่งซ้ายเท่านั้น”

สายตาของเจ้าของเรือประกายออกมา แล้วจึงรีบสั่งให้กะลาสีเรือเคลื่อนเรือไปทางซ้าย หลังจากที่อธิบายรายละเอียดเสร็จ ก็หันหลังกลับมาถาม

“คิดไม่ถึงว่าคุณชายจะเป็นผู้มีความรู้ความสามารถถึงเพียงนี้ เพียงแต่ข้ามีบางอย่างที่ไม่เข้าใจ ว่าเหตุใดถึงต้องเคลื่อนเรือไปทางซ้ายของท้ายเรือ มิใช่การเคลื่อนเรือไปทางซ้ายของหัวเรือโดยตรง? เพียงแค่ผ่านจากตรงนี้ไปได้ ไม่แน่ทางข้างหน้าอาจไม่มีอุปสรรคขวางกั้น เหตุใดท่านถึงได้เลือกที่จะถอยหลังกลับเล่า?”

“คนขับเรือ ท่านโง่หรือเปล่า ท่านดูสีท้องฟ้าสิ เมฆหนาแน่นเยี่ยงนี้ ทั้งมืดราวกับหมึกดำจะหล่นลงมาอยู่แล้ว อีกทั้งในตอนนี้ก็เพิ่งออกมาจากชายฝั่งได้ไม่นานนักก็เจอกับเหตุการณ์เช่นนี้แล้ว ทางข้างหน้าก็คงไม่ได้ดีอันใดหรอก หากสามารถถอยกลับไปได้อย่างปลอดภัย ก็ทำได้เพียงเฝ้ารอให้เมฆหนาหายไปเท่านั้น หลังจากที่เมฆเปิดท้องฟ้าเปิดถึงจะสามารถออกเดินทางได้อีกครั้ง”

โง่?

คน คนขับเรือ?

ถูกเรียกว่ากัปตันเรือมานานหลายปี จู่ๆก็ถูกเรียกว่าคนขับเรือ……..

ถึงแม้จะรู้ว่ามิใช่เวลามาสนใจเรื่องเช่นนี้ แต่ว่า……..เห้อ ช่างมันเถิด

“สิ่งที่คุณชายพูดนั้นถูกต้องที่สุด!”

เดิมทีเขานั้นคิดจะจอเรือเพื่อดูสถานการณ์เสียก่อน แล้วค่อยเคลื่อนเรือตรงไปทางฝั่งซ้าย ในตอนนี้ดูเหมือนว่าเขาจะคิดไม่ตกเสียแล้ว

“นั่นแน่นอนอยู่แล้ว”

“……”

คนที่อยู่ข้างๆก็ถึงกับตะลึงงัน สถานการณ์เช่นนี้ พวกเขายังมีใจมาพูดตลกกันอีก

ช่างใจใหญ่เสียจริงๆ!

เมื่อยิ่งเข้าใกล้ชายฝั่งคลื่นก็ยิ่งรุนแรงยิ่งขึ้น จนทำให้เรือใหญ่เกือบโค่นลง

จนเป็นเหตุให้เหล่าผู้โดยสารรวมทั้งลูกเรือต่างพากันกลัว ตกใจร้องออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า ยิ่งไม่ต้องกล่าวเหล่าคนที่นั่งอยู่ภายฝนเรือคนอื่นๆ แม้แต่หลานเยาเยาเองก็ถึงกับกำหมัดที่ชุมไปด้วยเหงื่อ

ทันใดนั้น !

“ครื้นๆ……”

“เปรี้ยง……”

เสียงสายฟ้าฝาดลงมายังดาบฟ้าเรือลำใหญ่ราวกับดาบที่สว่างไสว ตามด้วยควันดำไหม้ที่แผ่กระจายฟุ้งขึ้นมา หลานเยาเยาหรี่ตาหนักอย่างช่วยไม่ได้

ยังไม่ทันได้เข้าใกล้ฝั่งก็ถูกฟ้าผ่าเสียแล้ว ดูท่าจะเป็นการอดจากความตาอย่างฉิวเฉียดจริงๆ

“ เจ้าของเรือ ยังจะให้ขับต่อไปหรือไม่”

ลูกเรือหางเสือแม้จะแล่นอยู่ในทะเลมาหลายปี แต่ก็ไม่เคยได้เจอกับสถานการณ์เช่นนี้ ตอนนี้แม้แต่พูดจาเสียงก็สั่นไปหมด พร้อมกับมือที่สั่นอยู่ตลอดเวลา

“ขับต่อไป!”

เจ้าของเรือไม่ได้พูดสิ่งใดมากก็สั่งออกมาโดยตรงลูกเรือคนนั้นจึงทำได้เพียงขับเรือต่อไปอย่างฝืนใจ

ถึงแม้ว่าเมฆดำจากทั้งด้านหลังและด้านซ้ายจะค่อยๆรวมตัวกันมากยิ่งขึ้น สายฟ้าในเมฆดำก็ยิ่งก่อตัวหนาแน่นขึ้นเช่นกัน แต่ก็ยังถือเป็นสัญญาณที่ดีเพราะหลังจากที่โดนฟ้าผ่าครั้งเมื่อสักครู่ เรือใหญ่ที่กำลังจะเคลื่อนออกจากกลุ่มเมฆดำแล้ว แต่ยังไม่โดนฟ้าผ่าเป็นรอบที่สอง

แต่ทันใดนั้น !

เสียงของใครบางคนตะโกนดังขึ้นมา “ข้างหน้ามีบางอย่างกำลังเคลื่อนที่มาทางนี้แล้ว”

ผู้โดยสารที่นั่งอยู่ด้านในต่างพากันจ้องมองไปข้างหน้าอย่างตื่นตระหนก แล้วก็ได้เห็นสัตว์ร้ายตัวใหญ่กำลังเคลื่อนตัวเข้ามาท่ามกลางกลุ่มหมอกหนาที่อยู่ด้านหน้า

นั่นมันอะไรกัน?

ดูแล้วใหญ่กว่าเรือใหญ่ของพวกเขาเสียอีก แถมความเร็วที่เร็วมากด้วย

“……เจ้าของเรือ เรือผี………นี่คือเรือผี…..”

ลูกเรือที่กำลังบังคับพังงาเรือก็ถึงกับตกใจจนหน้าซีด แขนขาสั่นไปหมด ดวงตาเบิกกว้างยิ่งกว่ากระดิ่งทองแดง พร้อมกับสติที่หายไปเป็นที่เรียบร้อย

“เหลวไหล!”

เจ้าของเรือจึงผลักกะลาสีเรือที่ไม่สามารถบังคับเรือต่อไปได้ออกไป แล้วคุมเรือด้วยมือของตัวเองแทน

“ชีวิตนี้ของข้าแล่นเรืออยู่กลางทะเลมาหลายสิบปีแล้ว ไม่เคยเชื่อเรื่องตำนานภูตผีปีศาจเช่นนี้ ข้าไม่มีทางเชื่อหรอกว่าวันนี้จะได้เจอผีจริงๆ”

แม้จะพูดเช่นนั้น แต่เจ้าของเรือผู้นี้ก็ไม่ได้คิดที่จะขับเรือไปชนกับสัตว์ร้ายนั่นโดยตรงอย่างโง่เขลา แต่เขานั้นคิดที่จะขับผ่านด้านข้างของสัตว์ร้ายไปแทน

เพราะความตื่นตกใจของกะลาสีเรือเมื่อสักครู่นี้ก่อนที่เจ้าของเรือจะเข้ามาบังคับเรือเองนั้น พวกเขาก็ได้ออกนอกเส้นทางเดิมที่จะเดินเรือเสียแล้ว

“ครืน……คลืน……คลืน……”

เสียงฟ้าร้องและฟ้าผ่าดังขึ้น ฟาดลงมากลางเรืออย่างหยุดหย่อน

“เปรี้ยง……”

สายฟ้าอันน่าสะพรึงฟาดลงมายังหัวเรือ จนทำให้ไม้ตรงหัวเรือถูกผ่าจนเป็นรูใหญ่

ผู้คนที่อยู่ในห้องขับถูกเสียงฟ้าผ่าทำให้หูเกือบหนวก แล้วก็มีหนึ่งในลูกเรือถูกฟ้าผ่าเข้าอย่างจัง จนทั้งตัวนั้นไหม้เกรียมจนเป็นสีดำ

“เสี่ยวไห่!”

เจ้าของเรือตะโกนเรียกชื่อลูกเรือคนนั้นออกมาอย่างดัง แต่กลับไม่ได้ยินเสียงตอบกลับใดๆ ในใจของเขานั้นเกิดความกังวลอย่างมากแต่ก็ไม่อาจคิดฟุ้งซ่านได้

หลานเยาเยาส่ายหน้าพึมพำ ก่อนที่จะสะบัดตัวเองแล้วเดิมไปยังคนที่ถูกฟ้าผ่า จากนั้นก็จับชีพจรเขาอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดด้วยเสียงเบาๆ

“ตายแล้ว!”

เจ้าของเรือนิ่งเงียบไปชั่วขณะ

ในตอนนั้นเอง ทางด้านนอกห้องขับ ก็มีคนเดินคลานเข้ามาด้านใน

“เจ้าของเรือแย่แล้ว เสากระโดงเรือถูกฟ้าผ่าจนหักลงมา และใบเรือที่ถูกไหม้แล้ว”

ขณะนี้ จิตใจของทุกคนก็ต่างจมดิ่งยิ่งขึ้น……

เสากระโดงเรือหก ใบเรือถูกเผาไหม้ เรือใหญ่ถูกผ่าเป็นรู แต่สายฟ้าในกลุ่มเมฆดำขยายตัวมากขึ้นเรื่อยๆ เกรงว่าเรือลำใหญ่ของพวกเขาในตอนนี้จะไปสามารถแล่นออกไปได้……

อย่างไรก็ตาม!

ไม่มีสิ่งที่แย่ที่สุด มีเพียงสิ่งที่แย่กว่าก็เท่านั้น

เรือใหญ่ชนเข้ากับสัตว์ร้ายทุ่งมาจากฝั่งตรงข้ามเข้าอย่างจัง ทันทีที่ชนกันทุกคนถึงเพิ่งได้เห็นว่าเรือลำนั้นใหญ่กว่าเรือของพวกเขาถึงสองเท่า

ถึงแม้จะเป็นเพียงการชนกัน แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้เรือลำใหญ่หลงทางเข้าไปภายใต้เมฆดำ

การปะทะกันอย่างกะทันหันทำให้ทุกคนในเรือชนเข้ากับผนังเรือ

แม้แต่หลานเยาเยาที่ได้มีการเตรียมใจมานานแล้ว แต่ทันทีที่โดนชนจริงๆ นางก็รู้สึกได้ถึงอวัยวะทั้งห้าภายในเกิดการเคลื่อนที่

“แค่กๆๆ……”

แต่ว่า!

นี่ยังไม่ใช่สิ่งที่เลวร้ายที่สุด ในตอนที่หลานเยาเยาเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นใบเรือสำหรับควบคุมทิศทางบนเสากระโดงเรือได้ล่วงลงมาเสียแล้ว พร้อมทั้งเสากระโดงเรือทั้งที่ใช้เร่งความเร็วก็หักลงมาเสาหนึ่ง และเจ้าของเรือที่ตอนนี้ได้ล้มลงไปกองกับพื้นโดยไม่มีการขยับเขยื้อนใดๆ ต่อมาไม่นานก็มีกลิ่นคาวเลือดฟุ้งออกมา ไม่รู้ว่าเขาตายแล้วหรือเพียงแค่กำลังเมาหัว

หลานเยาเยารีบปีนลุกขึ้นมา ตั้งใจจะไปบังคับเรือ แต่แล้วก็มีแสงสีขาวสว่างวาบเข้ามา แล้วเสียงฟ้าร้องก็ดังขึ้นอย่างหนักจนทำให้แสบหูอยู่เหนือหัว

ในขณะที่นางกำลังคิดว่าตัวเองต้องถูกฟ้าผ่าเป็นแน่นั้น จู่ๆเอวของนางก็ถูกรัดแน่น ร่างของนางถูกพาออกมาไกลจากตรงนั้น แล้วที่ที่นางเพิ่งยืนอยู่เมื่อสักครู่ ตอนนี้ได้กลายเป็นหลุมดำขนาดใหญ่

สำหรับการรอดชีวิตแบบนี้ นางเองก็หมดหนทางที่จะกล่าวอธิบายสิ่งที่อยู่ในใจของนางตอนนี้ได้

ในขณะที่นางจ้องมองไปยังผู้ที่มาช่วยชีวิตตัวเองเอาไว้ หัวใจก็สั่นไหว……

ใบหน้าอันหล่อเหลาราวกับเทพบุตรในตำนาน เพียงแต่ตอนนี้กำลังแสดงใบหน้าที่เย็นชา ถึงแม้ว่าผมจะยุ่งเหยิงเล็กน้อย ทั้งยังหอบอยู่ แต่แววตากลับจ้องนางอย่างไม่ละ

แต่นางกลับพุ่งเข้าไปในอ้อมแขนของเขาอย่างไม่รู้ตัว……

“เย่แจ๋หยิ่ง……”

เย่แจ๋หยิ่งใช้มือค่อยๆลูบหลังของนาง พลางหันไปมองดูเสากระโดงเรือ ก็เห็นองครักษ์สองนายที่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างดีกำลังเหาะนำใบเรือที่ตกลงมาขึ้นไปบนเสา แล้วเขาก็เหาะพาหลานเยาเยากลับเข้าไปยังหน้าพังงาเรืออีกครั้ง

“ท่านขับเรือได้งั้นหรือ?”

หลานเยาเยาถึงกับตกใจ

“เจ้าคิดว่าข้าต่อสู้กับศัตรูเพียงแค่บนพื้นดินงั้นรึ?”