ตอนที่ 70

Dungeon Defence

1 Chapter คำพูดไร้เสียว

Dungeon Defense: เล่มที่ 3 – บทที่ 5

บทที่ 5 – คำพูดไร้เสียง

พรหมจารีของผมกำลังตกอยู่ในอันตราย

ผมพูดจริงจังจริงๆนะ

นี่ไม่ใช่เรื่องตลก

รู้สึกถึงสายตาของเเม่มดที่กำลังน้ำลายไหลขณะมองมาทางผม

แม้ว่าจะไม่มีอะไรธุระอะไรสำคัญเป็นพิเศษ แต่แม่มดก็เชิญผมไปยังห้องโคมแดงที่พวกเธอสร้างขึ้นเอง พวกเธอเชื้อเชิญผมโดยพูดว่า ‘มาสเตอร์ มีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นเเล้ว มาสเตอร์ มีบางอย่างเกิดขึ้นเเล้ว…’ ผมได้เข้าไปเจอพวกเธอนั้นสูบฝิ่นกันอยู่เเละเหลียวมองมาทางผมด้วยดวงตาที่หยาดเยิ้ม พวกเธอทั้งหมดอยู่ในภาพล่อนจ้อน ทำตัวเหมือนสัตว์ป่า เพราะเเบบนี้เองสินะพวกเเม่มดจึงมีชีวิตต่อไปได้เเม้จะถูกทรมานมามากขนาดไหนก็ตาม การมองเห็นของผมรู้สึกพร่ามัวเพราะการยั่วยวนอันเเสนหยาบคายนี้

“พวกเธอเป็นบ้าไปกันหมดแล้วเรอะ”

“อ่าฮ่า มาสเตอร์พูดว่ากำลังต้องการทำร่วมกับพวกเราทุกคนในคราวเดียวงั้นสิ?”

“ทำไมคำพูดที่ผมพูดพวกเธอทำเหมือนฟังเข้าหูซ้ายเเล้วทะลุรูตูดล่ะ”

“อ่าร่าา? ร่างกายของท่านฝ่าบาทคิดว่าอยากทำที่รูด้านหลังของเราคงจะดีกว่าใช่มั้ยล้าา”

“พวกเราคุยด้วยภาษาเดียวกันจริงๆใช่มั้ยเนี่ยย?”

“แค่ลองหลับตาสักครั้งแล้วก็…..—อูเเว๊กกก”

ผมเขกหัว ฮัมบาบา ด้วยมือ

“ฟังให้ดี เจ้าพวกสาวๆนมน้อยทั้งหลาย ผมจะไม่ถือว่าใครก็ตามที่มีนมเล็กนิดเดียวเป็นคู่นอนที่ทำให้ผมพอใจได้ ถ้าพวกเธอเป็นพวกหน้าอกขาดเเคลน พวกเธอควรเจียมเจี๊ยมตนให้พอประมาณเข้าไว้ แต่ถึงกระนั้น ก็ยังพยายามเพื่อเข้าหาผมมากขึ้น พวกเธอน่ะไม่ได้อยู่ในฐานะที่โลกจะยอมรับได้หรอกนะ จงยอมรับร่างกายของตัวเองได้เเล้ว”

“ฮะฮ่ะฮ่ะฮ่ะ? ค่อนข้างน่าหนักใจสำหรับเราเลยฝ่าบาท ในเมื่อมาสเตอร์สมยอมถูกมิสบาร์บาทอสกลืนกินโดยสดุดี เเต่มาสเตอร์ก็ยังยกความแบนของหน้าอกขึ้นมาเพื่อเป็นข้อโต้แย้งอีกงั้นเหรอ?”

“……”

ไอ้เจ้าผู้หลงทางพวกนี้….พวกเธอจงใจเจาะไปที่ข้อเสียเปรียบคนอื่นแบบมั่วซั้ว

เมื่อใดก็ตามที่แม่มดออกไปข้างนอก พวกเธอจะสวมเสื้อผ้าหนาๆไว้ แม้แต่ในช่วงปลายฤดูหนาวที่มีกลิ่นเน่าเหม็นของน้ำเล็ดลอดออกมาจากทั่วบริเวณรอบๆ และต้นฤดูใบไม้ผลิที่มีกลิ่นเหม็นของน้ำซึมเข้าไปในลำต้นของต้นไม้ พวกแม่มดก็ยังทำทีไม่รู้เรื่องฤดูกาลผัดเปลี่ยน ดูได้จากที่พวกเธอยังคงใส่เสื้อผ้าหนาๆอยู่ ฮัมบาบาบอกผมว่าเนื่องจากร่างกายที่ไร้วิญญาณของพวกเธอต้องกับคำสาป จึงไม่ควรแสดงเนื้อหนังให้ผู้ใดได้เห็น ทุกครั้งที่แม่มดเลื่อนจับหมวกทรงกรวยที่อยู่บนศีรษะลงไป ผมนึกถึงถุงมือสีขาวที่ ลาพิส สวมใส่อยู่เสมอ พื้นฐานของหมวกทรงกรวยของแม่มดและถุงมือของลาพิสเหมือนกัน ดั่งคนพวกเดียวกันกำลังทำสิ่งที่เหมือนกันอยู่

ผมเข้าใจว่าทำไมเเม่มดหลายๆคนถึงหลั่งไหลเข้ามาร่วมทัพกับผม ถึงเเม้ว่าพวกเเม่มดจะไม่ได้ตั้งใจมาที่นี่ตั้งเเต่เเรกก็ตาม เรื่องของเรื่องคือพวกเธอมาที่นี่เป็นที่สุดท้ายเพราะถูกที่อื่นไล่ออกมานั่นเอง แม้ว่าเส้นทางเเห่งชีวิตจะหลีกเลี่ยงเส้นทางของผู้ถูกเนรเทศไม่ได้ เนื่องจากชีวิตของพวกเธอจำเป็นต้องพึ่งพาอาศัยกัน ในที่เเห่งนี้ที่พวกเธอถูกเนรเทศมาเป็นที่สุดท้าย ผมควรกำจัดสถานะทางสังคมของชนชั้นล่างทิ้งไปซะและเปลี่ยนมันให้กลายเป็นว่าทุกคนเป็นสามัญชนที่เท่าเทียมกัน

ภายในคืนเดียว ผมวาดลวดลาย สัญลักษณ์วงกลมสีขาวสามวงบนพื้นหลังสีดำ ขณะแสดงสิ่งนี้แก่แม่มดผมก็พูดขึ้น

“ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป นี่จะเป็นสัญลักษณ์ของจอมมารดันทาเลี่ยน เพราะพวกเธอทั้งหมดเป็นราชองครักษ์ของผมเเล้ว เป็นเรื่องธรรมดาที่พวกเธอเวลาจะไปที่ไหนก็ต้องแบกรับเครื่องหมายของเราไว้บนเสื้อคลุม”

สำหรับแม่มด เสื้อผ้าเปรียบเป็นเรือนจำที่ห่อหุ้มร่างกายของพวกเธอไว้อยู่ตลอดเวลา ในฐานะที่เเม่มดเป็นพวกที่ถูกเนรเทศพวกเธอจึงไม่มีทั้งหมู่บ้านหรือที่อยู่ที่ไหนให้อาศัย สำหรับแม่มดในตอนนี้เเล้วเสื้อผ้าเป็นเหมือนดั่งที่ปลอดภัย ด้วยการสวมสัญลักษณ์ของจอมมารดันทาเลี่ยนบนเสื้อคลุมของพวกเธอ ผมจะได้ปลดปล่อยพวกเธอจากสถานะไร้สังกัดสักที แม่มดเข้าใจความตั้งใจของผม ในตอนแรกเห็นพวกเธอไม่สามารถเอ่ยคำใดออกจากปากได้จนกระทั่งในที่สุดดวงตาของพวกเธอก็เอ่ออล้นเต็มไปด้วยน้ำตา

“มม ม ม ม ม ม ม-มาอาสเตอร์–……”

“หุบปากไปเลย. ถ้าไม่อยากใส่ก็ไม่ต้องเอา”

“ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เราจะเปลื้องผ้าต่อหน้าฝ่าบาทของเราเท่านั้น!”

ขณะที่ร้องไห้ แม่มดก็เกาะผมไว้ เฮ้อ ผมทำได้เพียงถอนหายใจออกมา ถ้าเป็นไปได้ ผมต้องการขอให้พวกเธอไม่ต้องมาถอดเสื้อผ้าต่อหน้าผมด้วย แต่ผมจะไปว่าอะไรได้อีกในสถานการณ์เช่นนี้ ผมตบหลังแม่มดเบาๆ ……ผมต้องอยู่กับคนพวกนี้ ในท้ายที่สุดมันเป็นชะตากรรมของผมที่จะอยู่กับพวกเธอ ชะตากรรมที่ต้องกับคำสาป

“ฟืดดดดดด(เสียงซูดจมูก) เเล้วเมื่อไหร่มาสเตอร์จะถอดชุดชั้นในของเราออกอะ?”

“……”

เลิกสูดกาว เเล้วตื่นจากความฝันได้เเล้ว

เเต่มีสิ่งที่พวกแม่มดไม่มี มีเพียงผู้ติดตามของผมที่ได้รับอนุญาตจากผมให้ติดสัญลักษณ์ลงบนเสื้อคลุมสีดำพาดไหล่คือ ลาพิส และ ฟาร์นาเซ่ เท่านั้น ในขณะที่มีเสื้อคลุมสีดำสวมพาดอยู่บนไหล่ของเรา ตอนที่เดินผ่านค่ายทหารของ กองกำลังพันธมิตรของจอมมาร เมื่อเห็นเราแต่ไกล พวกทหารก็ซูบซิบนินทากัน

— นั่นมันราชาแห่งไพร่……

— พวกโสเภณีและทาสรับใช้ของกษัตริย์……

— ทำไมพวกขี้ข้าถึงไปเกาะติดกับองค์ราชาได้……

……

พวกเราถือว่าเสียงนินทาของทหารเป็นเรื่องเล็กน้อยกว่าเสียงร้องของไก่ตอนเช้า ดั่งที่พวกมันส่งเสียงร้อง ‘เอ๊กอี้เอ๊ก— เอ๊กอี้เอ๊ก— ‘ในขณะที่แม่มดเองก็เดินอยู่รอบๆไหล่ของผม ดูเหมือนไหล่ของผมจะกลายเป็นสนามเด็กเล่นสำหรับพวกเธอไปซะงั้น แม้ในขณะที่เรากำลังเดินอยู่ฟาร์นาเซ่ ที่อ่านหนังสือด้วยมือข้างหนึ่ง เเต่มืออีกข้างก็จับขอบเสื้อผ้าของผมอย่างเเอบๆไปด้วย อา ผมกู่ร้องตะโกนในใจให้เจ้าพวกตัวปัญหาพวกนี้ ได้โปรดออกไปจากตัวผมเสียที ส่วนลาพิสเองก็เเค่เดินตามพวกเราที่เป็นแบบนี้ไปอย่างเงียบๆ

จู่ๆ ก็รู้สึกราวกับว่าผมได้มาที่โลกนี้และสร้างครอบครัวไปเสียเเล้ว

แผ่นดินที่แช่แข็งในฤดูหนาวละลายลงไป

น้ำแข็งถูกละลายเป็นหย่อมๆ แสงแดดเข้าโอบกอดแผ่นดินที่ละลายอย่างลงไปอย่างเเนบเเน่น ราวกับว่ากำลังพยายามรับเเสงส่องอาภาให้มากที่สุด ทุ่งที่ปกคลุมไปด้วยหิมะได้เปิดช่องว่างทีละน้อยทีละน้อย ทำให้เหลือบเห็นพื้นเเผ่นดินผ่านช่องว่าง พื้นหิมะที่เปิดออกแบบตื้นๆ ดูเหมือนเหงือกของปลาสีขาว แผ่นดินกำลังหายใจด้วยเหงือกอย่างหนัก เพื่อน้อมรับแสงแดดสาดส่องลงมามากขึ้น จนในที่สุดทุ่งที่ปกคลุมด้วยหิมะก็ละลายลงไปสู่สายธารเเห่งลำน้ำ แม้ว่าปลาน้ำจืด แมลง และสิ่งมีชีวิตอื่นๆ จะไม่สามารถอาศัยอยู่ที่นั่นได้เพราะจากน้ำในลำธารยังคงเย็นอยู่ แต่เสียงน้ำไหลเชี่ยวก็ร้องเรียกสิ่งมีชีวิตอื่นๆให้เข้ามาอาศัย อยู่มาวันหนึ่ง กวางเรนเดียร์กับเขากวางมาที่ลำธารแล้วเอากีบจุ่มลงไปในน้ำ หลังจากที่มันเริ่มสังเกตเห็นผม กวางเรนเดียร์ก็รีบกระโดดออกจากลำธารและวิ่งหนีไป ฤดูใบไม้ผลิได้เริ่มต้นขึ้นเเล้ว เริ่มขึ้นในจุดที่กวางเรนเดียร์อันธารหายไปจากเเม่น้ำ

ในขณะที่ทนต่อฤดูหนาว กองกำลังพันธมิตรจอมมารก็ได้เพิ่มจำนวนขึ้น

ข่าวลือที่ว่าเราได้เผา ภูเขาเเบล็ค และนำพาศีรษะของ มาร์เกรฟ โรเซ็นเบิร์กกลับมาได้ ทั่วทั้งทวีปปีศาจ ผู้คนจากเผ่าอสูรต่างพูดคุยกันยกใหญ๋ ว่าบางทีนะ ครั้งนี้เเหละ เราทำได้เเน่…. คราวนี้ ณ ดินแดนเเห่งฤดูหนาวที่สิ้นสุดไป เราสามารถขับไล่มนุษย์ออกไปได้และได้เเผ่นดินของเรากลับคืนมา…… ปีศาจหยิบหอกของตัวเอง ทหารรับจ้างเข้ามารวมตัวกัน มีการจัดตั้งทหารอาสาสมัครของเหล่าจอมมารหลายๆตนซึ่งครั้งหนึ่งเคยกังขาเกี่ยวกับการทำสงคราม บัดนี้พวกนั้นได้ยกก้นหนักๆของเขาเพื่อเข้าร่วมสงครามเเล้ว ในช่วงฤดูใบไม้ผลิที่สิ่งมีชีวิตเริ่มมีชีวา เหล่าปิศาจต่างตระเตรียมทำสงครามเพื่อคร่าชีวิตของศัตรู ในฤดูใบไม้ผลิปีนี้ดูท่าจะเป็นฤดูที่โหดร้ายเสียเเล้ว

ตลอดฤดูหนาว พวกมนุษย์เคลื่อนไหวกันอย่างยุ่งวุ่นวาย เมื่อแน่ใจว่าสงครามที่คิดว่าจะจบลงในระยะสั้นจะพัฒนากลายเป็นสงครามยืดเยื้อ ทุกอาณาจักรที่ปกครองโดยมนุษย์เริ่มวางร่างคำสั่งต่างๆ เเม้เเต่เด็กๆ ที่กำลังเตรียมตัวสำหรับการไถพรวนครั้งแรกของปี ในหมู่บ้านเกษตรกรรมของพวกเขา ก็ต้องเข้าร่วมสนามรบ ในบางครั้ง เมื่อใดก็ตามที่ข่าวลือเกี่ยวกับกองทัพมนุษย์มาถึงเรา ส่วนใหญ่จะเป็นข่าวเกี่ยวกับจอมมารที่อาศัยอยู่ใกล้กับอาณาเขตของเเดนมนุษย์ซึ่งประสบกับโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่

— โครเซลล์อันดับ 49 สูญเสียปราสาทจอมมารและกำลังหาที่ลี้ภัยในนิฟล์เฮม……

— ยังมีข่าวอีกว่าอันดับ 70 จอมมาร เซียร์ เสียชีวิตในสนามรบ

– พวกเเม่ง ไอ้พวกมนุษย์เลวทราม

เสียงของคำพูดเต็มไปด้วยความโกรธกริ้ว ในขณะที่กองกำลังพันธมิตรจอมมารพหายายามจะหายใจเเต่พันธมิตรมนุษย์กำลังก้าวหน้าลมหายใจนั้นอยู่ กองกำลังพันธมิตรมนุษย์กำลังส่งเสียงสื่อสารมาผ่านทูต

กษัตริย์ที่เป็นมนุษย์องค์หนึ่งได้ส่งสารซึ่งอ้างว่าเพราะจากปีศาจเป็นฝ่ายเเรกที่ข้ามภูเขาเเบล็คเข้ารุกรานเผ่าพันธุ์มนุษย์ของอีกฝ่ายหนึ่งก่อน จึงถือเป็นการเริ่มต้นของความร้าวรานในครั้งนี้

เเต่เพราะจากคนที่มาปล้นและทำลายปราสาทจอมมารดันทาเลี่ยน ก่อนคือ มาร์เกรฟ เเห่ง โรเซ็นเบิร์ก และเนื่องจาก โรเซ็นเบิร์ก เขาเป็นมนุษย์ มนุษย์คือคนที่บุกรุกเข้ามาก่อน เราไม่ใช่ผู้รุกรานเเรกเริ่ม เราเป็นเเค่เหยื่อ นั่นเป็นสารที่จอมมารส่งตอบกลับไป

อย่างแรกเลย ปีศาจของฝั่งนั้นต่างหากที่แพร่โรคภัยสีดำไปทั่วโลก และโรเซนเบิร์กได้ปล้นปราสาทนั้นด้วยความตั้งใจเพียงจะรักษาคนของเขาให้หายจากโรคนั้น ถ้าเราจะแยกแยะลำดับของภาระที่ต้องเเบกรับเเล้ว เจ้าเป็นปีศาจนั่นก็ต้องสมควรตายไปไม่ใช่หรือ? ราชามนุษย์ส่งสารที่รุนแรงกว่ากลับมา

สำหรับพวกเจ้าที่ไม่มีหลักฐานว่าเราได้แพร่ระบาดจริงหรือไม่ แต่ถึงกระนั้นพวกเจ้าก็ยังยืนกรานว่าเป็นการกระทำของปีศาจอย่างเเรงกล้า ข้าเข้าใจดีเเล้วว่าพวกมนุษย์มันก็เเค่มีหัวโง่ๆประดับไว้บนบ่าเเค่นั้นเอง นั่นคือคำตอบที่บาร์บาทอสเขียนไว้ อย่างไรก็ตาม จอมมารตนอื่นๆ ยืนกรานขัดขวางไม่ให้เธอส่งข้อความนั้นไป และตีความคำพูดของเธอในรูปแบบการเขียนที่อ่อนโยนกว่าแทน

เมื่อพวกมนุษย์เริ่มเล่นโวหารว่าใครทำผิดก่อน การโต้เถียงที่ไม่สามารถตรวจสอบได้จำนวนนับไม่ถ้วนก็เริ่มหลั่งไหลออกมาอย่างไม่สิ้นสุด จดหมายไม่ได้มีหลักฐานที่แท้จริงบ่งชัด แต่ให้การสนับสนุนผ่านสำนวนการเล่นคำ ตลอดทั้งฤดูหนาว แม้ว่ากองกำลังพันธมิตรจอมมารและพันธมิตรมนุษย์จะทะเลาะกันว่าใครเป็นผู้ริเริ่มสงคราม เเต่ว่าความจริงเเล้ว ทุกๆฝ่ายต่างก็ตระหนักดีถึงความจริงที่ว่า ณ จุดนี้ใครเป็นคนเปิดก่อนมันไม่สำคัญเลย แม้ว่าทุกฝ่ายจะรับรู้สิ่งนี้ดีแล้ว แต่ก็ไม่มีใครออกอาการแสดงสัญญาณของการรับรู้นี้เสียที ตามคำบอกเล่าของทูต มนุษย์อ้างว่าตนนั้นกลายเป็นเหยื่อ และปีศาจเองก็อ้างว่าเป็นเหยื่อเช่นกัน มันทำให้จักรวาลเต็มไปด้วยผู้บาดเจ็บเท่านั้น ดังนั้น ทุกคนคงเข้าใจว่าในโลกที่สวรรค์และโลกที่กลายเป็นเหยื่อ โลกนั้นไม่สามารถเป็นโลกที่เป็นของคนที่ถูกอธรรมได้อย่างแท้จริง มันเป็นความจริงเเน่นอนด้วยตัวมันเอง ถ้าใครจะออกไปพูดความจริงที่ประจักษ์ชัดอยู่เเล้ว หลังจากนั้น ผู้คนก็จะสัมผัส คลำหา ถึงความชัดเจนนั้นมากขึ้น เต็มไปด้วยสัมผัสจากหนังมือที่ตายเเล้วจนในที่สุดจึงปรากฏชัดในตัวมันเอง ความจริงกลายเป็นความจริงที่หยาบกร้านปกคลุมไปด้วยดิน ดังนั้นพวกชนชั้นปกครองจึงไม่พูดถึงข้อเท็จจริงนี้ออกมากัน เพราะคนที่พูดก่อนจะเป็นผู้แพ้เป็นฝ่ายแรก

และกระนั้นเองก็ไม่มีใครอยากเป็นฝ่ายที่พ่ายเเพ้

ไม่มีใครทั้งนั้น.

ผมจ้างทหารรับจ้างเพิ่มและจำนวนกองทัพของผมตอนนี้ก็มีเพิ่มเป็น 7,000 นาย

“ผมได้ยินข่าวถึงสงครามครั้งใหญ่กำลังจะเกิดขึ้นในเร็ว ๆ นี้ และมันกำลังจะทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ……”

“ข่าวลือนั้นถูกต้องเเล้ว พวกเจ้าจะตามข้าไปเเนวหน้าด้วยหรือไม่ล่ะ?”

“ถ้าอย่างนั้น พวกเราที่เป็นชนชั้นที่ต่ำต้อยไปเป็นแนวหน้า เกียรติของท่านจะไม่ถูกทำให้มัวหมองหรอกเหรอครับ……?”

“นี่ไม่ใช่สงครามที่ตามหลังชนวนเหตุใหญ่ แต่เป็นการต่อสู้ที่เราโจมตีในขณะที่ศัตรูตอนนี้ตกอยู่ในความอ่อนเเอ

สงครามมันคงไม่มีอะไรเลวร้ายไปมากกว่านี้เเล้วหล่ะ“

“เเต่การเอาชนะมนุษย์จะไม่เป็นชนวนสาเหตุอีกขั้นงั้นหรือครับ”

“แม้ว่านั่นจะเป็นชนวนเหตุใหญ่อีกขั้น แต่นั่นก็ไม่ได้มีเจ้าเป็นเหตุชนวนหรอก? แม้ว่าเราจะกำจัดอาณาจักรมนุษย์และสถาปนาสหัสวรรษขึ้นมา สถานที่เเห่งนั้นก็ไม่ได้เป็นอาณาจักรของเจ้าได้หรอก”

“วาจาสิทธ์ของท่านช่างเหลือคณา เเต่ท่านผู้ทรงเกียรติ ท่านได้คิดดีเเล้วหรือครับ”

“ข้าจะจ่ายเงินทุกๆ 10 วันให้ภายในกองทัพของข้า ทหารราบจะได้รับ 1 เหรียญทอง และทหารม้าจะได้รับ 3 เหรียญทอง ส่วนเรื่องอาหาร ข้าจะหักออกไปจากเงินเดือนครึ่งหนึ่งเพื่อนำไปแก้ปัญหาเรื่องอาหาร หรือไม่อยากโดนหักเงินออกพวกทหารสามารถไปซื้อจากพ่อค้าเร่ที่ตามหลังหน่วยของเราก็ได้ เพราะเราไม่ได้จัดหาอาวุธแยกให้ต่างหาก จัดการบริหารเสบียงกันเอาเอง จงเข้าใจเสียด้วย อย่าวิตกกังวลกับชนวนเหตุใหญ่ไป

และพิจารณาเฉพาะผลกำไรที่เจ้าจะได้รับเท่านั้นพอ ข้าจะเป็นผู้รับผิดชอบในอุดมการณ์อันยิ่งใหญ่นี้เอง”

นายทหารพยักหน้า พวกเขามีดวงตาที่แสดงให้เห็นว่าพวกเขาเข้าใจคำพูดของผม

“โปรดบอกพวกเราผู้ต่ำต้อยถึงกฎเกณฑ์ทางทหารที่เราต้องปฏิบัติตามด้วยครับ”

“งั้นจงอย่าเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติหรือสถานที่เกิดมาเเค่ปฏิบัติตามตนเคารพตามยศเท่านั้นพอ”

พวกนายทหารยืนขึ้นและก้มศีรษะลงกับพื้น

“พวกเราน้อมรับคำสั่ง ท่านผู้ทรงเกียรติ”

ในช่วงปลายฤดูหนาว ฟาร์นาเซ่ ได้ฝึกทหารเกณฑ์ใหม่อีกครั้ง เนื่องจากมีทหารจำนวนมากที่ภักดีต่อ ฟาร์นาเซ่ อยู่แล้ว การฝึกทหารเกณฑ์ใหม่จึงไม่ใช่เรื่องยากเหมือนเมื่อก่อน เเต่ก็ยังทหารที่ทำร้ายโบยทุบตีโสเภณีจนตาย 2 นาย ทหารที่ข่มขู่พ่อค้าอีก 1 นาย และทหารที่ติดดอกเบี้ยอีก 4 นาย ทหารเหล่านี้ถูกจับได้และถูกบังคับให้ถอดเสื้อผ้าออกมา ฟาร์นาเซ่ จัดการดึงอวัยวะภายในพวกมันออกมาและนำไปต้มเป็นซุปเลือด ฟาร์นาเซ่ พูดขึ้นหลังจากได้ชิมลำไส้เเละคายมันออกมาเเล้ว

“แม้แต่ภายในของคนโง่พวกนี้เเม่งก็เน่าเสีย เป็นรสชาติของเนื้อบูดเน่า แท้จริงแล้วคนอย่างพวกเเม่งไม่ควรมาเสียเวลายุ่งเกี่ยวด้วยเลย ตัดหัวพวกมันและเอาไปให้อาหารพวกสุนัขล่าเนื้อซะ”

แม้ว่าเหมันต์จะผ่านพ้นไปและวสันตฤดูใกล้เข้ามาเเทนที่ เเต่สำหรับพวกทหารแล้ว ฟาร์นาเซ่ จะยังคงตราตรึงอยู่ในหัวพวกทหารดุจดั่งฤดูหนาวเสมอ เมื่อใดก็ตามที่พวกเขาเห็นใบหน้าของเเม่ทัพ ไหล่ของพวกเขาก็สั่นสะท้าน แม้ว่าพื้นดินที่กลายเป็นน้ำแข็งตลอดฤดูหนาวจะละลายไปหมดแล้ว แต่ระเบียบวินัยในกองทัพยังคงเย็นยะเยือกราวกับใบมีด

ทหารไม่ได้เร่าร้อนกับแสงแดดในฤดูใบไม้ผลิ แต่กลับต้องได้รับการฝึกฝนอย่างจริงจังเเทน ขณะตะโกน ทหารก็ขยับตำแหน่งหอก หยาดเหงื่อของทหารตกลงสู่พื้นซึ่งหิมะละลายไปสิ้น

เมื่อถึงเดือนที่สี่ กองกำลังพันธมิตรจอมมารเคลื่อนตัวลงไปทางใต้ พันธมิตรมนุษย์เคลื่อนทัพไปทางเหนือ ราวกับว่าได้เตรียมการไว้ล่วงหน้าเเล้ว กองทัพทั้งสองได้ตั้งค่ายที่ปลายอีกด้านของที่ราบที่ตั้งอยู่ ณ ศูนย์กลางระหว่างดินแดนมนุษย์และปีศาจ

……………………………………………………………………………………………………

โลลิ โลลิเต็มไปหมดเลย ไอ้ดันโลลิเอี้ยน บอกมาเอ็งเป็นหมีใช่ไหม

วสันตฤดู=ฤดูใบไม้ผลิ

เหมันต์=ฤดูหนาว

วาจาสิทธ์=สิ่งที่พูดเป็นจริง

เจี๋ยมเจี่ยม=เรียบร้อย

ผมไม่เเน่ใจว่าตัวเองใช้คำยากเกินไปไหมเเต่ศัพท์ที่ผมใช้บางทีมันไม่ค่อยเห็นในชีวิตประจำวันเท่าไหร่เลยคิดว่าขยายความไว้บางทีน่าจะดีกว่า ผมน่าจะติดใช้คำยากๆมาจาก ENG นี่เเหละ ไม่ก็บางทีอารมณ์มันดิ่งไปตอนที่อ่านเลยใช้ศัพท์ไวพจน์เเค่นั้น

ตัวอย่าง 1 จาก เล่ม 3 chapter 2 Part 8

แสงจันทราส่องกระจ่างเเผ่ซ่านไปทั่วทุ่งหิมะ ท้องฟ้ายามค่ำคืนจนถึงทุ่งหิมะได้โอบกอดอาภาของดวงจันทร์ไว้และส่องสว่างภูเขาที่อยู่ห่างไกลราวกับอยู่ในช่วงสนธยาไปจนถึงสุดหล้าของปลายภูธร

แสงจันทราส่องลำเเสงลงไปทั่วหิมะ ท้องฟ้ายามค่ำคืนจนถึงทุ่งหิมะได้โอบกอดเเสงของดวงจันทร์ไว้ และส่องสว่างภูเขาที่อยู่ห่างไกลราวกับอยู่ในช่วงยามเย็น เเผ่ออกไปไกลจนถึงสุดขอบของเเนวเทือกเขา

ตัวอย่าง 2 จาก เล่ม 3 chapter 3 Part 10

“จะรีบไปไหนล่ะ มาร์เกรฟ! ท้องฟ้ายามค่ำคืนมันไม่วิจิตรการเหมันย์ไม่โสภา พอหรอกหรือ? เจ้าจะไม่รีรอให้โลหิตของทหารพ่นสาดชโลมไปทั่วทุกสิ่งเเต่งเเต้มทุกอย่างจนงดงามเหมือนกันหรอกหรือ? หากเจ้ารีบร้อนตายไป อาจจะพลาดทิวทัศน์เเสนสวยที่ข้าบอกไปเลยนา ไม่ต้องรีบร้อนไปเสียหรอก!”

จะรีบไปไหนล่ะ มาร์เกรฟ! ท้องฟ้ายามค่ำคืนที่มีหิมะมันไม่งดงาม พอหรอกหรือ? เจ้าจะไม่รีรอให้เลือดของทหารเจิ่งนองไปทั่วทุกที่เเปดเปื้อนจนสวยงามเหมือนกันหรอกหรือ? หากเจ้ารีบร้อนตายไป อาจจะพลาดทิวทัศน์เเสนสวยที่ข้าบอกไปเลยนา ไม่ต้องรีบร้อนไปเสียหรอก!”