ตอนที่ 279 ข้าทั้งคิดง่ายและไม่รอบคอบ
แล้วฉินหลิวซีก็ได้ส่งผู้ใหญ้บ้านหวังไปในคืนนั้น ตระกูลหวังได้นำศพไปฝังในวันรุ่งขึ้น โลงศพถูกยกขึ้นอย่างมั่นคง ไม่มีผีเสื้อกลางคืนบินออกมาอีก ธุระของนางก็จบลงเพียงเท่านี้
หลังจากได้รับค่าตอบแทนจากหวังต้าหย่ง นางโยนมันให้เฉินผีอย่างไม่ได้ใส่ใจ กำชับสองสามประโยค จากนั้นก็นั่งเกวียนวัวของคนในหมู่บ้านหวังกลับเมือง
ระหว่างทางนางดูซึมๆ เล็กน้อย เมื่อเข้ามาในเมืองและร่ำลาคนในหมู่บ้านหวังแล้ว เฉินผีก็อดถามนางไม่ได้ดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ
“คุณหนู ท่านอารมณ์ไม่ดีมาตลอดทาง มีอะไรหรือ กำลังคิดถึงเรื่องของตระกูลหวังอยู่หรือขอรับ”
ฉินหลิวซียืนมือไขว้หลัง กล่าวว่า “ข้าจะไปคิดถึงตระกูลหวังทำไม ข้ากำลังคิดถึงตัวเอง ชีวิตของข้ากับมุมมองของข้าดูตื้นเขินไปหน่อยหรือไม่”
เฉินผีมองนางด้วยความประหลาดใจ “หมายความว่าอย่างไรหรือขอรับ”
“ข้าเห็นว่าหวังต้าหย่งมาจากครอบครัวชาวนา แต่เขาก็เป็นคนกตัญญูและจิตใจดี ดังนั้นจึงขอเงินตอบแทนมาเพียงสิบตำลึง ครอบครัวชาวนาทั่วไปไม่ได้ร่ำรวยและมีอำนาจเหมือนตระกูลขุนนาง เงินสิบตำลึงนี้บางทีอาจเป็นผลผลิตทั้งปีของพวกเขาด้วยซ้ำ” ฉินหลิวซีหยุดฝีเท้า มองดูเมฆขาวบนท้องฟ้าก่อนจะถอนหายใจ “ข้าไม่รอบคอบเกินไปแล้ว!”
เฉินผีระเบิดหัวเราะออกมา เอ่ย “ตระกูลหวังพอมีผลผลิตอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้ร่ำรวยอะไรมากมาย ให้มาสิบตำลึงถือว่ากำลังดี อีกอย่าง ท่านก็ไม่ได้ทำเพื่อเงินสิบตำลึงนี้เท่านั้นไม่ใช่หรือขอรับ”
“เหลวไหล! หากไม่ใช่เพราะเงินแล้วข้าจะมาถึงที่นี่ทำไม มีเวลานอนอยู่บ้านไม่ดีกว่าหรือ!” ฉินหลิวซีแก้ตัว ถอนหายใจอีกครั้ง “เป็นข้าที่ไม่รอบคอบ ประเมินชาวนาต่ำไป เจ้าดูคนลวงโลกเมื่อวานนี้สิ เขากล้าเอ่ยปากเรียกเงินหนึ่งร้อยตำลึง เขามีความสามารถมากกว่าข้าหรือ”
“ท่านก็บอกแล้วว่าเขาเป็นเพียงแค่คนลวงโลกไม่ใช่หรือ” เฉินผีกล่าวว่า “ท่านเลิกคิดเรื่องนี้เถิด ตระกูลนี้มีเงินน้อย ค่อยกลับไปหาเงินกับตระกูลขุนนางร่ำรวยก็ได้แล้วขอรับ”
“เจ้าพูดถูก”
ผู้มีอำนาจ ‘เราเป็นกลุ่มที่รวมตัวผู้ที่ถูกเอาเปรียบ’
เฉินผีเอ่ยเสริมว่า “แต่จะว่าไปแล้วหลังจากเกิดเรื่องวุ่นวายเช่นนี้ เกรงว่าตระกูลหวังจะไม่อาจเงยหน้าขึ้นได้อีกนะขอรับ”
“ในหมู่บ้านมีรอยรั่วอยู่ทุกหนแห่ง ปิดอย่างไรก็ปิดไม่อยู่ จริงๆ แล้วข่าวลือไม่ได้มีอะไรเลย ขอเพียงแค่พวกเขาสามารถยืนหยัดเพื่อตัวเองได้ ตราบใดที่พวกเขาลุกขึ้นมาได้ในภายหน้า ข่าวลือเหล่านี้ก็จะถูกฝังกลบไปเอง” ฉินหลิวซีเอ่ยอีกว่า “อีกอย่าง เพียงแค่มีข่าวลือใหม่ขึ้นมา บทสนทนานี้ก็จะจางหายไปเอง”
“ยังคงเป็นท่านที่มองเห็นได้ชัดเจนแล้ว”
“หมู่บ้านหวังมีฮวงจุ้ยที่ดี จะกำเนิดวีรบุรุษอย่างแน่นอน” ฉินหลิวซียิ้มเล็กน้อย
เมื่อเฉินผีเห็นว่าคำพูดนางมีความหมายบางอย่างแฝงอยู่ รู้ว่านางต้องมองเห็นอะไรเป็นแน่ ดังนั้นจึงไม่เอ่ยอะไรอีก
ฉินหลิวซีมาที่ร้านโลงศพที่ตรอกโซ่วสี่อีกครั้ง สำรวจมองอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงเอ่ย “เฉินผี เจ้าว่าเราจะทำอย่างไรกับร้านนี้ดี นายหญิงของเจ้าให้เงินลงทุนเล็กน้อยมาจำนวนหนึ่ง คิดอยากจะทำอะไรสักอย่างเป็นเงินเก็บส่วนตัวเล็กๆ น้อยๆ ของบ้านใหญ่ ตอนนี้ดูเหมือนว่าส่วนกลางกำลังจะเปิดร้านผลไม้แช่อิ่ม ร้านส่วนตัวของพวกเราก็ต้องจัดการให้ดี มิเช่นนั้นร้านว่างหนึ่งวันก็ขาดทุนไปหนึ่งวัน”
“คุณหนู ท่านทำเช่นนี้ไม่ใช่เป็นการทำให้ข้าลำบากหรือ หัวของข้าจะดีกว่าของท่านได้อย่างไร ท่านถามข้าไปก็ไม่ได้อะไรหรอกขอรับ” เฉินผีเอ่ย
ฉินหลิวซีเอ่ยอย่างท้อแท้ “สองหัวก็ดีกว่าหัวเดียวไม่ใช่หรือ เจ้าก็รู้ว่าข้าเป็นคนขี้เกียจ หากจะให้ข้าทำกิจการจริงๆ ไม่สู้เอามีดมาแทงข้าดีกว่า”
“ในความคิดของข้า หากจะทำท่านต้องทำสิ่งที่ท่านถนัด อย่างเช่นการปรุงยา…”
“ไม่ได้หรอก ทันทีที่สัมผัสวัตถุดิบยา เกรงว่าจิ้งจอกเจ้าเล่ห์แซ่เฟิงนั่นจะต้องวิ่งกลับจากภูเขาเทียนมาอาละวาดใส่ข้า ในใต้หล้านี้มีแค่ตำหนักอายุวัฒนะเพียงหนึ่งเดียวก็พอแล้ว” ฉินหลิวซีรีบส่ายหน้าทันที
ในใจเฉินผีคิดว่านางกำลังหลบเลี่ยงเพราะขี้เกียจ แต่ก็ไม่กล้าเอ่ยอะไร เพียงแต่กล่าวว่า “เช่นนั้นก็ทำได้เพียงงานเดิมแล้ว ไล่วิญญาณชั่วร้าย จับผี ขายเครื่องราง และรับคนไข้ขอรับ”
“เช่นนั้นจะไม่เป็นการแย่งลูกค้าอารามเต๋าหรือ ตาเฒ่าจะเอาแส้หางม้ามาไล่ตีข้านะสิ”
เฉินผีเอ่ยตอบ “คงไม่นับว่าแย่งหรอกขอรับ การเปิดร้านเล็กๆ ยังสามารถดึงดูดผู้ศรัทธาให้อารามเต๋าได้ อย่างเช่นพิธีบวงสรวงท่านก็ไม่ทำไม่ใช่หรือ เช่นนั้นก็แนะนำให้นักพรตอารามเต๋าได้ อีกอย่างท่านก็เป็นคนพิถีพิถัน หากจะรับลูกค้าก็ต้องมีค่าตอบแทน อย่างเช่นตอนนี้ ท่านให้เงินค่าน้ำมันตะเกียงแก่อารามเต๋าหนึ่งถึงสองส่วน ก็จะเป็นการลบข้อพิพาทได้แล้ว เช่นนั้นก็ไม่ถือว่าเป็นการแย่ง ได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่ายขอรับ!”
“ตรรกะฟังดูถูกต้อง แต่พอข้าคิดอย่างละเอียดแล้ว มันก็เป็นปกติของข้าไม่ใช่หรือ หากข้าเปิดร้านแล้วมีลูกค้ามากมาย เจ้านายเจ้าจะไม่ยุ่งมากกว่านี้หรือ” ฉินหลิวซียิ่งคิดก็ยิ่งรู้ว่าต้องเป็นเช่นนี้แน่นอน เอ่ยต่อว่า “สุดท้ายก็จะกลายเป็นกิจการของข้า หากข้าละทิ้งไปไม่ทำแล้ว คนทั้งบ้านใหญ่ใครจะมารับกิจการเช่นนี้ต่อได้”
“คุณหนู ข้าไม่เข้าใจ ท่านบอกแค่ว่านายหญิงให้เงินท่านมาเพียงเล็กน้อยไม่ใช่หรือ เช่นนั้นก็เริ่มจากใหญ่ไม่ได้ ต้องเริ่มทำจากสิ่งเล็กๆ เมื่อร้านของท่านก่อตั้งแล้วหาเงินได้มากขึ้น เมื่อนำไปฝากไว้ที่ร้านรับฝากเงินก็จะได้กำไร หากไม่นำไปฝากก็นำไปซื้อร้าน ถึงไม่ได้ทำกิจการแต่ร้านค้าเหล่านั้นก็สามารถปล่อยเช่าได้ หนึ่งปีก็ได้กำไรกลับมาล้วนๆ เก็บทีละนิดทีละหน่อย ใช้เงินทำเงิน ก็นับว่าเป็นทรัพย์สินของครอบครัวที่หามาได้อย่างแท้จริงแล้ว”
ฉินหลิวซีเหลือบมองเขา
“มีอะไรหรือขอรับ” เฉินผีลูบใบหน้าของตัวเอง
ฉินหลิวซีจิ้มไปที่แก้มเขา “แล้วบอกข้าว่าเจ้าไม่เข้าใจ ข้าว่าเจ้าเข้าใจจะตายไป สิ่งที่พูดมาเป็นเรื่องเป็นราวมราล้วนสมเหตุสมผลทั้งนั้น”
เฉินผีหัวเราะ “ข้าก็แค่พูดไปมั่วๆ เท่านั้น”
“ปีนี้เจ้าอายุเท่าไหร่แล้ว”
“ท่านลืมไปแล้วหรือ ต้นปีหน้าก็สิบสองขอรับ”
ฉินหลิวซีปรบมือ “ดีเลย เช่นนั้นข้าจะฝากร้านนี้ให้เจ้าเป็นคนจัดการ ทำตามที่เจ้าพูด เจ้ามาเป็นเถ้าแก่ดูแลร้านจับผี ไล่วิญญาณชั่วร้าย วาดยันต์ รับคนไข้ ร้านนี้ชื่ออะไรดีนะ…อืม ให้ชื่อว่าเฟยฉางเต๋า!”
เฉินผีตกใจตั้งแต่คำพูดของนางที่บอกว่าจะมอบให้เขาดูแล จากนั้นก็แทบจะสำลักน้ำลายเมื่อได้ยินชื่อร้านที่นางตั้ง
เฟยฉางเต๋า!
ท่านตั้งชื่อง่ายเกินไปหรือไม่
“คุณหนู ไม่ต้องพูดถึงว่าอายุอย่างข้าเช่นนี้จะเป็นเถ้าแก่ร้านได้ หากข้าเป็นเถ้าแก่ แล้วต่อไปใครจะคอยปรนนิบัติข้างกายท่าน ดังนั้นต้องหาเถ้าแก่ที่เหมาะสม! แล้วก็ยังมีชื่อร้านอีก เฟยฉางเต๋า ท่านไม่มีชื่อที่จริงจังกว่านี้แล้วหรือ ตั้งชื่อที่ดูขลังหรือเกี่ยวกับเทพเซียนให้ดูลึกลับกว่านี้หน่อยไม่ได้หรือ”
“เฟยฉางเต๋าก็ดีมากแล้ว ได้เห็นความยิ่งใหญ่ในความธรรมดา เฟยก็คือไม่ธรรมดา ฉางก็คือยาวนานไม่เปลี่ยนแปลง ส่วนเต๋าก็เป็นวิถีของนักพรตเสวียนเหมิน ดีจะตายไป” ฉินหลิวซีรู้สึกว่าไม่ได้มีปัญหาอะไร โบกมือพลางเอ่ย “เอาเช่นนี้แหละดีแล้ว ต่อไปข้าจะมอบเงินให้เจ้าไปจัดการซื้อของในสิ่งที่จำเป็นต้องซื้อ จริงสิ ยังต้องอัญเชิญเจ้าลัทธิเต๋ามาบูชา หากเรือนเล็กด้านหลังปัดกวาดทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว ห้องหนึ่งเอาไว้ทำห้องบูชา ข้าจะเป็นคนจัดเอง อีกห้องหนึ่งไว้เป็นห้องรักษา…”
นางไล่รายละเอียดสองสามรายการ เฉินผีจำจนเริ่มรู้สึกมึนงง เขาไม่ควรพูดมากเกินไป เขาเพียงแค่อยากไปสนุกกับคุณหนู ไม่ใช่สิ ไปช่วยใต้หล้าด้วยกันต่างหาก
เฉินผีอยากจะคัดค้าน แต่จู่ๆ ฉินหลิวซีก็หยุดชะงัก เอ่ย “พวกเราลืมอะไรบางอย่างไปหรือเปล่า”
เฉินผี “?”
“วันนี้จะมาทำอะไรนะ”
เฉินผีเงียบไปครู่หนึ่งแล้วจึงเอ่ย “นัดไว้ว่าจะพาคุณชายน้อยทั้งสองท่านไปรายงานตัวที่สำนักศึกษาขอรับ!”
แย่แล้ว ไม่เพียงแต่ใช้เส้นสาย ซ้ำยังไม่ตรงเวลาอีก อย่าได้ทำให้เจ้าสำนักศึกษาถังอารมณ์เสียจะดีกว่า
“ไป ไป ไป รีบกลับเรือน! ” ฉินหลิวซีรีบลากเฉินผีวิ่งกลับบ้าน