บทที่ 196 ถึงก่อนมีสิทธิ์ก่อน

พลิกชะตาหมอยา

หนานกงจี๋มองมายังเฟิ่งชิงหัว เลิกคิ้วขึ้น: “ทำไม? เจ้าคิดจะขัดราชโองการ”

เฟิ่งชิงหัวคุกเข่าข้างเดียวอยู่บนพื้นแล้วเงยศีรษะขึ้นมา: “แน่นอนว่าไม่กล้า เพียงแต่ว่าเรื่องใดๆ ก็ตามถึงก่อนก็ย่อมมีสิทธิ์ก่อนสินะ?”

“หมายความว่าอะไร?”

เฟิ่งชิงหัวยืนขึ้น ปัดดินทรายที่ติดตัวอยู่ครู่หนึ่ง มุมปากยกขึ้นแล้วกล่าวว่า: “ความหมายนี้ก็คือ พวกข้ารับคำสั่งให้มาพาคุณหนูสามเข้าวังก่อน สำหรับในราชโองการฉบับนี้คือความหมายอะไร ข้ายังไม่อยากรู้ชั่วคราว”

ในขณะที่พูดอยู่เฟิ่งชิงหัวมองมายังราชองครักษ์ที่คุกเข่าอยู่ด้านหลังของตน: “ทหาร ไปนำตัวคุณหนูสามกลับมาจากหลังเรือนก่อน กลับวังค่อยว่ากัน หากฝ่าบาทกล่าวโทษลงมา ข้าหนานกงเยว่ลั่วจะรับผิดชอบไว้เองคนเดียว!”

ราชองครักษ์พวกนั้นรีบลุกขึ้นมาฉับๆ ทันที แล้วพุ่งเข้าไปยังนอกจวนเฉิงเซี่ยง คนอื่นๆ คิดไม่ถึงว่ายังคิดตามไม่ได้ แน่นอนว่ายิ่งไม่อาจจะขัดขวางไว้ได้

“หนานกงเยว่ลั่ว! เจ้ากล้าเหรอ! ทั้งๆ ที่เจ้าก็รุ้อยู่ว่าความประสงค์ในราชโองการนี้คือให้เจ้าพาคนถอยออกไป ลู่ซิ่วให้อยู่รักษาอาการป่วยในจวนเฉิงเซี่ยงต่อไป!” ดวงตาทั้งสองข้างของหนานกงจี๋ถรนออกมา จ้องมายังเฟิ่งชิงหัวอย่างไม่วางตา ไม่กล้าเชื่อว่านางจะต่อหน้าทำอย่างลับหลังทำอย่างคาดไม่ถึงได้เช่นนี้

เฟิ่งชิงหัวกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม: “เฉิงเซี่ยงพูดเล่นหรือเปล่า คนที่อยู่ตรงนี้ทุกคนมีหูกันหมด แต่ไม่มีใครได้ยินใต้เท้าเฉิงเซี่ยงอ่านราชโองการเลย เอาราชโองการปลอมมาเผยแพร่ถึงกับโทษตายเลยนะ”

“ขวางพวกขาไว้ รีบขวางพวกเขาไว้ให้ข้าเร็วเข้า!” หนานกงจี๋กล่าวออกมาด้วยอารมณ์โมโหสุดขีด

พวกชาวบ้านที่อยู่รอบๆ แต่ละคนก็ยังคุกเข่าอยู่บนพื้น คราวนี้ก็เลยอดที่จะเงยศีรษะขึ้นไปมองไม่ได้ ประตูทางเข้าใหญ่ของจวนเฉิงเซี่ยง คนที่อยู่สองข้างทางเจ้าถอยข้าผลักกันไปมา เพียงแต่ว่าองครักษ์ลับพวกนี้ยังไงก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของราชองครักษ์ได้เลย ยังไงก็ต้องถูกซัดแน่นอน

บริเวณหลังเรือนจวนเฉิงเซี่ยง ณ ตอนนี้ ท่านน้าสุ่ยได้ยินเสียงเอะอะโวยวายทางประตูใหญ่มาตั้งนานแล้ว ในตอนนี้กำลังพูดเรื่องนี้กับลูกสาวของตนอยู่

“ลูก คนของจวนเฉิงเซี่ยงยังไงก็ไม่ยินยอมที่จะเอาตัวเจ้าส่งมอบให้เข้าวัง หรือว่าพวกเขาวางแผนไว้ว่าจะให้เจ้าตายอยู่ในจวนแบบนี้หัน?” ท่านน้าสุ่ยกล่าวออกมาอย่างหวาดกลัวน้ำตาก็ไหลรินออกมาไม่หยุด

หนานกงลู่ซิ่วได้ยินดังนั้นก็กล่าวออกมาด้วยเสียงเย็นชา: “กินปูนร้อนท้องน่ะสิ กังวลว่าข้าเข้าวังไปแล้วจะถูกท่านพี่รองสืบอะไรออกมาได้ ท่านแม่ นี่เป็นโอกาสดีที่พวกเราจะได้หลุดพ้นจากจวนเฉิงเซี่ยงเสียที”

“แม่รู้ แต่ว่าท่านพ่อของเจ้ากลับมาแล้ว ยังเอาราชโองการของฝ่าบาทกลับมาด้วย พี่รองแม้ว่าจะมีวิธีก็ไม่อาจขัดราชโองการได้หรอกนะ?”

หนานกงลู่ซิ่วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยปากกล่าวออกมาว่า: “ดูท่าแล้วคงทำได้เพียงไปตายเอาดาบหน้า”

หนานกงลู่ซิ่วหยิบกริชเล่มหนึ่งออกมาจากใต้หมอน แล้วออกแรงกรีดไปที่น่องของตนเองอย่างโหดร้าย เลือดก็ซึมออกมาทันที แล้วรีบทำให้เสื้อผ้าวาบหวิวที่อยู่บนตัวนางเปียกชื้นอย่างรวดเร็ว ดูไปแล้วน่าสยดสยอง

ท่านน้าสุ่ยอุดปากของตนไว้แน่น น้ำตาก็ไหลรวยรินอาบหน้าออกมาอย่างควบคุมให้หยุดไม่ได้

หนานกงลู่ซิ่วกล่าวด้วยเสียงเคร่งขรึมออกมาว่า: “ท่านแม่ ท่านวิ่งออกไป แล้วก็บอกว่ารอยมีดนี้ของข้าเป็นพี่ใหญ่ที่เป็นคนแทง บอกว่าข้าใกล้จะตายแล้ว”

ท่านน้าสุ่ยพยักหน้าลง ไม่กล้ามองบาดแผลของนางอีก รีบวิ่งออกไปทางด้านนอกอย่างรวดเร็ว

“มีคนตายแล้ว จะมีคนตายแล้ว ขอร้องพวกท่าน ช่วยลูกสาวของข้าหน่อย ช่วงลูกสาวข้อหน่อยเถอะ ลูกสาวข้าใกล้จะตายแล้ว จะถูกคุณหนูใหญ่ทำลายจนตายแล้ว” ท่านน้าสุ่ยตะโกนไปพลางแล้วก็วิ่งมาทางด้านของประตูใหญ่ไปพลาง พอดีชนเข้ากับองครักษ์ที่บุกเข้ามา

องครักษ์พวกนั้นได้ยินดังนั้นก็รีบบุกเข้าไปในห้อง พอเพิ่งจะเข้าไปก็ได้กลิ่นอะไรบางอย่างที่แปลกประหลาด กลิ่นยาที่รุนแรงผสมกับกลิ่นคาวเลือดเข้าด้วยกัน มันช่างฉุนจมูกอย่างมาก

แล้วก็ค่อยเห็นผู้หญิงที่ผอมจนเหลือแต่หนังติดกระดูกคนหนึ่ง รอบตัวเลอะไปด้วยร่องรอยสีแดงเต็มไปหมด ไม่ต้องให้พูดมาก ม้วนผ้าห่มเข้าหากันแล้วก็แบกขึ้นไปบนบ่า จากนั้นก็พุ่งออกไปอย่างบ้าคลั่ง

เห็นเพียงองครักษ์นายนั้นกระดกปลายเท้าด้วยวิชาตัวเบาแล้วก็ข้ามผ่านกำแพงสูงจากจวนเฉิงเซี่ยงออกมา แล้วมาอยู่ตรงข้างเท้าของเฟิ่งชิงหัว

ไม่รอให้เขาได้พูด เฟิ่งชิงหัวก็ได้กลิ่นคาวเลือดแล้ว จากนั้นกล่าวด้วยเสียงเคร่งขรึมว่า: “เกิดอะไรขึ้น?”

องครักษ์ตอบ: “เจอผู้หญิงคนหนึ่ง บอกว่าเป็นคนที่คุณหนูใหญ่ทำร้าย”

เฟิ่งชิงหัวมองไปบนร่างของหนานกงลู่ซิ่วสังเกตอย่างรวดเร็วหลายจดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็ห้ามเลือดก่อน จากนั้นมองมายังหนานกงจี๋: “ใต้เท้าเฉิงเซี่ยง จะว่าไปพวกเราก็ไม่จำเป็นต้องมาเปลืองคำพูดมากมายอะไรอยู่ตรงนี้แล้วล่ะ คุณหนูสามบัดนี้บาดเจ็บจนถึงเพียงนี้ ได้เพียงพาเข้าวังไปให้หมอหลวงตรวจรักษาแล้วล่ะนะ”

“ที่นี่ห่างไกลจากวังหลวงมากเช่นนี้ ลูกสาวของข้าเกรงว่าจะรอถึงตอนนั้นไม่ได้ ข้าจะให้คนเชิญท่านหมอมาเดี๋ยวนี้แหละ” หนานกงจี๋กล่าวออกมาด้วยเสียงเคร่งขรึม

เฟิ่งชิงหัวกล่าวด้วยรอยยิ้ม: “เชิญท่านหมอ? เมื่อครู่ข้าก็ได้ยินแล้วว่าบาดแผลบนร่างของคุณหนูสาม เกรงว่าคุณหนูใหญ่คงจะหนีความเกี่ยวข้องไปไม่พ้น”

“ไร้สาระสิ้นดี ลูกสาวคนโตของข้าเป็นคนคุณธรรมสูงส่งและบริสุทธิ์ จะไปทำเรื่องแบบนั้นได้อย่างไร!”

“งั้นความหมายของเฉิงเซี่ยงก็คือ ข้าพูดเกินจริงหรือว่าราชองครักษ์ของฝ่าบาทพูดเกินจริงงั้นหรือ?” มุมปากของเฟิ่งชิงหัวยกขึ้นแล้วกล่าวออกมา

ฐานะของราชองครักษ์ไม่เหมือนกับองครักษ์โดยทั่วไป องครักษ์ทั่วไป ส่วนใหญ่เป็นนายทหาร หรือไม่ก็มาจากการรับสมัครจากประชาชนธรรมดา แต่ราชองครักษ์พวกนี้ ไม่ก็เป็นลูกหลานของขุนนางสูงศักดิ์ ไม่ก็เป็นยอดฝีมือที่ฝ่าบาทมีรับสั่งเรียกตัวเข้ามาในตำหนัก ความก้าวหน้าในอนาคตก็ไม่มีขีดจำกัด แน่นอนว่าหนานกงจี๋ไม่คิดจะล่วงเกิน

“เจ้ายุแยงให้มันน้อยๆ หน่อย ความหมายของข้าคือจะต้องเกิดการเข้าใจผิดอะไรขึ้นในระหว่างนี้แน่ๆ เจ้าก็ทิ้งคนเอาไว้พอดี ข้าจะสืบเรื่องนี้อย่างชัดแจ้งด้วยตัวเอง” หนานกงจี๋กล่าว

“สืบให้กระจ่างงั้นเรหอ? คุณหนูสามในตอนนี้หมดสติไปไม่รู้สึกตัว ท่านยังจะให้คนฟื้นขึ้นมาให้ได้งั้นสิ? สำหรับคุณหนูใหญ่เหตุใดจึงทำร้ายคุณหนูสามอย่างหนัก บัดนี้นางก็อยู่ที่นี่แล้ว ท่านก็ลองถามนางดูก็ได้?”

ไม่รอให้หนานกงจี๋ถาม หนานกงเยว่หลีเงยศีรษะขึ้นมาด้วยความโมโห: “ข้าไม่ได้ทำอะไรเลยนะ อย่าคิดจะมาปรักปรำข้า! ข้าไม่ได้มีความแค้นอะไรกับนางเสียหน่อย ทำไมจะต้องทำร้ายนางด้วย?”

“ไม่มีความแค้น? ไม่เห็นด้วยน่ะสิ? เจ้าไม่ใช่ว่าเป็นเพราะคุณหนูสามเกิดมาจากท่านน้าก็เลยดูแคลนนางมาโดยตลอด? หากไม่ใช่นางทำตัวเป็นผู้ตามเจ้ามาโดยตลอด เกรงว่าก็ถูกพวกเจ้าสองแม่ลูกวางแผนสังหารไปนานแล้วกระมัง?” เฟิ่งชิงหัวกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม

เฟิ่งชิงหัวมองไปยังหนานกงจี๋อีก: “ใต้เท้าเฉิงเซี่ยงหรือว่าท่านไม่เคยสงสัยมาก่อนเลย? เหตุใดนางสนมของตนเองนั้นก็ไม่น้อย แต่ว่าหลายปีมานี้ กลับเหลือท่านน้าสุ่ยเพียงลำพังคนเดียว แม้แต่ลูกของนางสนมก็มีเพียงคุณหนูสามเท่านั้น แต่สนมคนอื่นๆ ตายไปบ้างล่ะ บ้าไปบ้างล่ะ?”

“เจ้าหุบปาก” สีหน้าของหนานกงจี๋เริ่มดูแย่ แม้ว่าจะเป็นเช่นนี้ สายตาของเขากลับมองไปยังฮูหยินของตนเองอย่างเย็นชา ฮูหยินก็หดศีรษะลงอย่างเกรงกลัว แม้แต่หัวก็ไม่กล้าจะเงยขึ้นมา

และในขณะเดียวกันนี้เอง ในที่สุดท่านน้าสุ่ยก็วิ่งตามออกมา เห็นราชองครักษ์อุ้มลูกสาวของตนเองไว้อยู่ก็ร้องไห้ยกใหญ่ออกมา: “ลูกสาวของข้า ลูกสาวที่ชีวิตน่าสงสารของข้า ขอร้องพวกท่าน ช่วยนางด้วยเถิด คุณหนูใหญ่คิดจะฆ่าลูกสาวของข้า”

พวกชาวบ้านที่อยู่นอกประตูต่างหูตั้งขึ้นมากันเป็นทิวแถวเลย เมื่อได้ยินความลับของจวนเฉิงเซี่ยง

เมื่อครู่พวกเขาต่างก็พากันรอพระชายาท่านอ๋องเจ็ดเผยความลับให้พวกเขารู้ว่าเหตุใดจวนเฉิงเซี่ยงจึงไม่มีเด็กทารกผู้ชายเลย เหตุใดสนมพวกนั้นตายบ้างเป็นบ้าไปบ้างล่ะ

แม้ว่าจะไม่มีทางรู้ความลับนี้ก็ผิดหวังเล็กน้อย แต่ว่าเป็นถึงคุณหนูใหญ่จวนเฉิงเซี่ยงลอบฆ่าคุณหนูสามได้ เรื่องนี้ก็ช่างทำให้ตื่นตระหนกกันไปเช่นกัน

เฟิ่งชิงหัวกล่าวว่า: “ท่านน้าสุ่ย ท่านอธิบายให้ฟังหน่อยว่าลูกสาวของท่านเป็นเพียงแค่ลูกสนมคนหนึ่งเท่านั้น ทำไมคุณหนูใหญ่จำเป็นจะต้องฆ่านางด้วย?”