หยู่เหวินเห้าตะแคงข้าง หันหลังให้นาง ซ่อนความโกรธไว้พลางพูดเสียงเรียบๆ ว่า “สามคนห้าคนได้กระมัง”
หยวนชิงหลิงตกใจจนผงะ เดิมทีก็คิดว่าซักหนึ่งหรือสองคนก็นับว่ามากแล้ว คิดไม่ถึงว่าจะมีถึงห้าคน
ในฐานะคนยุคปัจจุบัน เอาจริงๆ นางก็ไม่สามารถเข้าใจเหตุผลได้หรอกว่า ทำไมผู้ชายถึงต้องมีเมียทาส ทั้งไม่เข้าใจเหตุผลที่ว่าต้องการมีลูกหลาน มีทายาทมากมายไว้สืบสกุลให้วุ่นวายแบบนั้นด้วย
นางก็ตะแคงข้างหันหลังให้เขาเช่นกัน รู้สึกโกรธกรุ่นในใจ โกรธแทนบรรดาหญิงสาวเหล่านั้น
ยกตัวอย่างเช่นลู่หยา ผู้หญิงทุกคนแท้ที่จริงแล้วล้วนไม่มีใครอยากเป็นเมียทาส ใครจะไปอยากเป็นเครื่องมือผลิตลูกให้ผู้ชายกันล่ะ แต่เป็นเพราะอำนาจบารมีที่ไม่เท่าเทียม พวกนางจึงต้องยอมแพ้ ด้วยเพราะสถานะทางสังคมของพวกนางต่ำต้อยเหลือเกิน
บรรดาหญิงสาวที่ยากจนเหล่านั้น จึงต้องยอมให้คนใจคอโหดร้ายอย่างหยู่เหวินเห้า ทำลายพรหมจรรย์ได้ง่ายๆ เช่นนั้นน่ะหรือ
แต่ถ้าตอนนี้จะส่งพวกนางออกจากจวนไป ในสังคมที่ยึดถือระบบศักดินาพรรค์นี้ พวกนางจะยังหาผู้ชายจากครอบครัวดีๆ ที่ไหน มาแต่งงานได้อยู่อีกหรือ
หยวนชิงหลิงโกรธมาก ทางหยู่เหวินเห้าก็โกรธมากเช่นกัน
คำถามนั้นของนาง มันหมายความว่าอย่างไรไม่ทราบ นางเห็นเขาเป็นคนอย่างไรกันหรือ ยังมีหน้ามาถามเรื่องเมียทาสอีก เขาไม่มีแม้แต่พระชายารองด้วยซ้ำ จะมีก็แต่นางที่เป็นชายาเอกนี่ล่ะ อีกทั้งยังรังเกียจ ไม่อยากไปแตะต้องสัมผัสให้เปลืองเนื้อเปลืองตัวอีกด้วย
ทั้งสองต่างก็โกรธจนเดือดปุดๆ สุดท้ายเลยไม่มีใครหลับได้ลงสักคน
ฝืนหลับตา พลางก่นด่าสาปแช่งในใจไปได้สักพัก ฟ้าก็เริ่มสว่างแล้ว
หยู่เหวินเห้าลุกขึ้นก่อน ออกไปมอบหมายงานกับทังหยาง โดยบอกให้เขากลับไปที่ศาลาว่าการก่อน แจ้งว่าวันนี้เขาจะยังไม่กลับไปจนกว่าถึงช่วงบ่าย
หยวนชิงหลิงก็ลุกขึ้นมาแล้วเช่นกัน นางไม่รอให้ลู่หยาเข้ามาช่วยเปลี่ยนเสื้อผ้า แต่ตรงไปหยิบเสื้อผ้าเข้าไปเปลี่ยนเองอย่างรวดเร็ว
แม่นมฉีหยิบเสื้อผ้าของหยู่เหวินเห้าออกมา ถอดออกทีละชิ้นๆ แล้วก็ช่วยสวม ช่วยรัดทีละชิ้นๆ เช่นกัน หยวนชิงหลิงนั่งมองดูอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง อดพูดไม่ได้ว่า “มือเจ้าก็ไม่ได้พิการสักหน่อย ทำไมถึงใส่เสื้อผ้าเองไม่ได้ล่ะ”
หากในยามปกติ นางจะไม่พูดอะไรแบบนี้ออกมาแน่ เพราะรู้ว่าบรรดาผู้รากมากดี เจ้าขุนมูลนายเหล่านี้เป็นพวกเจ้ายศเจ้าอย่าง ถึงขั้นที่ว่ากินข้าวที ยังแทบต้องมีคนป้อน
แต่เพราะเมื่อคืน นางทนเก็บกลั้นไฟโทสะไว้จนเต็มท้อง หากไม่ระบายมันออกมาบ้าง นางคงไม่มีความสุขเป็นแน่
หยู่เหวินเห้าไม่ได้พูดอะไร แต่แม่นมฉีถึงกับตกใจจนผงะ “พระชายา นี่คือสิ่งที่ข้าน้อยสมควรทำนะเพคะ”
“เรียกให้เมียทาสของเขามาทำสิ” หยวนชิงหลิงโพล่งออกมา พูดจบกลับรู้สึกเสียใจในภายหลังซะแล้ว หญิงสาวเหล่านั้นไม่ได้มีความผิดอะไรแท้ๆ เมื่อคืนนี้นางยังรู้สึกสงสารบรรดาหญิงสาวเหล่านั้นอยู่เลย พอมาวันนี้ กลับพูดจาหยาบคายไม่ให้เกียรติพวกนาง
แม่นมฉีหัวเราะ “ดูที่พระชายาพูดเข้าสิ ท่านอ๋องมีเมียทาสที่ไหนกันล่ะเพคะ”
ลู่หยาเข้ามาหวีผมให้หยวนชิงหลิง พูดขึ้นมาเบาๆ ว่า “เมื่อคืนนี้ข้าน้อยไปถามแม่นมมาแล้ว และแม่นมบอกว่าท่านอ๋องไม่มีเมียทาสเพคะ”
หยู่เหวินเห้าถามอย่างเย็นชาว่า “ทำไมเจ้าถึงต้องสนใจนัก ว่าข้าจะมีเมียทาสหรือไม่”
หยวนชิงหลิงถึงกับเถียงไม่ออกเลยทีเดียว
แต่หัวใจที่หนักอึ้งคล้ายถูกก้อนหินหนักๆ ทับไว้วันหนึ่งเต็มๆ นั้น พลันรู้สึกผ่อนคลายสบายใจขึ้นมาทันที
นางตระหนักได้ว่า เวลานี้นางรู้สึกใส่ใจหยู่เหวินเห้าขึ้นมาแล้ว
“ก็แค่อยากรู้เฉยๆ” หยวนชิงหลิงพูดนิ่งๆ
“อยากรู้เฉยๆ หรือ” หยู่เหวินเห้าที่แต่งตัวเรียบร้อยหมดจดแล้วเดินเข้ามาใกล้ ในกระจกทองแดงสะท้อนเงาของเขาแจ่มชัด รอยเล็บซ้ายสามรอย ขวาสามรอยที่ปรากฏนั้นดูน่าขันอย่างยิ่ง เรียกได้ว่าสูญเสียความงามสง่าไปหลายส่วนเลยทีเดียว
หยู่เหวินเห้าก็เห็นแล้วเช่นกัน พูดอย่างโกรธเคืองว่า “แล้วเจ้าจะทำอย่างไรกับใบหน้าของข้าล่ะ”
“เจ้าก็บอกไปว่าโดนแมวข่วนสิ” หยวนชิงหลิงตอบกลับด้วยอาการร้อนตัว
“แล้วข้ายังจะมีหน้าไปพบเจอผู้คนได้อยู่อีกหรือไม่”
หยวนชิงหลิงรีบลุกขึ้นยืน กดให้เขานั่งลง “ไม่เป็นไรนะ เดี๋ยวข้าช่วยทาแป้งให้เจ้าเอง ทาแป้งปิดๆ สักหน่อยก็ได้แล้ว”
“ข้าไม่ทาแป้ง” เขายิ่งโกรธขึ้นกว่าเดิมแล้ว นี่มันเป็นเรื่องของหน้าตาต่างหาก ผู้หญิงใจร้ายคนนี้มีอะไรที่ไม่ลงรอยกับใบหน้านี้ของเขานักนะ!
“เป็นข้าที่ผิดเอง ข้าไม่ควรดื่มเหล้า ไม่ควรเมาแล้วบ้าอาละวาด จะไม่มีครั้งต่อไปแล้วเพคะ ขอท่านอ๋องโปรดทนน้อยเนื้อต่ำใจไปเช่นนี้สักสองวันก็แล้วกัน แผลนี้ไม่ได้ลึกมาก พรุ่งนี้ก็คงแทบจะไม่เห็นรอยเท่าไรแล้ว แป้งนี้ของข้ามันดีมากเลยนะ ทาแล้วผิวจะดูเนียนเป็นธรรมชาติ ทาแล้วใครก็มองไม่เห็นรอยแผลเลย ท่านดูข้าสิ…” นางพูดไปพลาง ก็ยกมือขึ้นมาลูบๆ เกลี่ยๆ บนใบหน้าตัวเองไปด้วย “มองไม่เห็นเลยใช่ไหมเพคะ ว่าข้าทาแป้งรองพื้นอยู่”
ใบหน้าของนางทั้งขาวละเอียดผุดผาด เต็มไปด้วยความยืดหยุ่นเต่งตึง ทั้งยังชุ่มชื้นเนียนใสดูน่าสัมผัสอย่างยิ่ง
เจ้าความรู้สึกเนียนนุ่มน่าสัมผัสนั่น ช่างกระตุ้นให้เกิดความรู้สึกอยากหยิกอีกสักที แค่ขอหยิกอีกสักทีหนึ่ง
หากต้องเลือกระหว่างต้องทาแป้งรองพื้น กับต้องยอมหน้าลายเป็นแมวออกไปข้างนอก หยู่เหวินเห้าขอเลือกข้อแรกดีกว่า แต่ทว่า เขาคิดผิดซะแล้วที่เชื่อหยวนชิงหลิง
แต่ทว่า เขาเชื่อคำโกหกของหยวนชิงหลิง
แป้งของนางไม่ได้ดีอย่างที่คุยสักนิด หลังทาลงไป แป้งกลับติดอยู่บนหน้าเขาเป็นปื้นๆ ดูเหมือนคนที่ป่วยเป็นโรคเรื้อนไม่มีผิด
สุดท้าย ก็ต้องให้หมอหลวงปรุงยาน้ำรักษารอยแผลมาทาให้ รอยเล็บข่วนสีแดงๆ จึงจางหายไป แต่ใบหน้ากลับเปลี่ยนเป็นสีเหลืองอ๋อย คล้ายคนป่วยหนักใกล้ตายไปแทน
แต่เป็นเช่นนี้ ก็นับได้ว่าเป็นบทสรุปที่ดีที่สุดในเวลานี้แล้ว
หลังจากกินมื้อเช้าแบบง่ายๆ ไป ก็ขึ้นรถออกเดินทาง ใช้เวลาไปประมาณชั่วสองก้านธูปก็มาถึงจวนอ๋องหวย รถม้าจำเป็นต้องถูกจอดไว้ในตรอกที่ไกลจากจวนไปพอสมควร เพราะที่หน้าประตูหลัก ล้วนอัดแน่นไปด้วยขบวนรถม้าที่มาจอดอยู่ก่อนหน้าแล้ว
มีรถม้าจากในวังอยู่หลายคัน เป็นของหลู่เฟยที่เดินทางมาถึงตั้งแต่เมื่อคืนแล้วนั่นเอง
เจ้าหญิงใหญ่หยู่เหวินจิ้งได้มาพักที่นี่หลายวันแล้ว ทั้งยังมีหยู่เหวินหลิง ผู้ที่เคยทักทายหยวนชิงหลิงเมื่อครั้งก่อนหน้านี้ด้วยอีกคน
บรรดาอ๋องชินต่างก็พากันผลัดเวรมานอนค้างที่นี่ด้วยเช่นกัน ด้วยกลัวว่าพอตกดึกหากอ๋องหวยเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นมา จะได้มีคนอยู่ข้างๆ ในหมู่พวกเขา คู่สามีภรรยาอ๋องจี้ต่างเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงแข็งขันอย่างที่สุด คล้ายว่า ก่อนหน้าที่หลู่เฟยจะมาถึง สองคนสามีภรรยาต่างก็ช่วยเป็นธุระดูแลเรื่องราวต่างๆ ให้เป็นอย่างดี
แม่นมที่ดูแลในกิจภายในต่างก็พากันมาปฏิบัติหน้าที่ในจวนอย่างเคร่งครัด เป็นเพราะเมื่อวานนี้มีพระราชโองการลงมา รอให้พระชายามาถึงเมื่อไร ให้ส่งหมอหลวงทั้งหมดออกจากจวนไปทันที
วันนี้หลู่เฟยสั่งให้หมอหลวงออกใบสั่งยาทิ้งไว้สักหลายๆ วันก่อน จึงค่อยอนุญาตให้หมอหลวงจากไปได้
วันนี้เป็นครั้งแรกของหยวนชิงหลิง ที่เข้ามาถึงจวนอ๋องหวย ตอนที่ไปห้องอักษรนางเองก็รู้สึกกังวลมากเช่นกัน
ฮ่องเต้หมิงหยวน รับสั่งให้กู้ซือพาคนมาคุ้มครองพระชายาฉู่ เพื่อให้แน่ใจว่าหยวนชิงหลิงจะปลอดภัยในการเดินทางไปมาระหว่างจวนอ๋องทั้งสองแห่ง
กู้ซือย่อมรู้เป็นธรรมดาว่านี่เป็นเรื่องที่สำคัญมาก จึงสั่งให้องครักษ์ที่เป็นยอดฝีมือสองคน ติดตามออกมาจากวังพร้อมกันด้วย
ตอนที่หยวนชิงหลิงมาถึงยังจวนอ๋องหวย กู้ซือก็พาคนมาถึงพอดี เมื่ออธิบายพระประสงค์ของฝ่าบาทแล้ว พวกเขาก็เข้าจวนไปพร้อมกัน
โรคที่อ๋องหวยเป็นคือโรคติดต่อ โดยทั่วไปแล้วเรือนที่เขาอาศัยอยู่จะไม่ได้รับอนุญาตให้คนธรรมดาเข้าไปได้อย่างพร่ำเพรื่อ คนที่มาเยี่ยมจะทำได้เพียงยืนนิ่งๆ อยู่กับที่ครู่หนึ่ง เอามือปิดปากและจมูก ตอนออกไปค่อยล้างมือและเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ทันที
ส่วนคนที่รับใช้อยู่ภายในเรือน จะเป็นคนรับใช้ที่ใกล้ชิดแต่เดิมของอ๋องหวยเท่านั้น
แต่ในช่วงสองวันที่ผ่านมา พระชายาจี้ก็เข้าไปช่วยดูแลด้วย เรื่องราวน้อยใหญ่ในจวนอ๋องหวย ล้วนมีนางเป็นคนจัดการให้ด้วยตัวเอง จึงส่งผลต่อชื่อเสียงอันดีงามในเรื่องสะใภ้ใหญ่ผู้มีคุณธรรมของนาง กระทั่งฮ่องเต้ก็ยังทรงชื่นชมนางในเรื่องนี้ด้วย
หยวนชิงหลิงมารักษาอาการป่วยในวันนี้ เป็นเรื่องที่มีการแจ้งเป็นพระราชโองการลงมา ดังนั้นที่ประตูหลัก จึงมีบรรดาราชนิกุลมายืนรออยู่เป็นจำนวนมาก
อ๋องจี้สามีภรรยา ยืนขนาบซ้ายขวาอยู่ข้างกายหลู่เฟย พระชายาจี้แต่งกายด้วยชุดเสื้อผ้าที่ดูเรียบง่าย ผมของนางม้วนเป็นทรงอย่างเรียบร้อย ปักปิ่นตึงแน่น ใบหน้ายามที่มองหยวนชิงหลิงประดับไปด้วยรอยยิ้ม “พอได้ยินว่าเจ้ามา พี่สะใภ้ก็สบายใจขึ้นมากจริงๆ”
หยวนชิงหลิงมีความรู้เรื่องการแพทย์เล็กๆ น้อยๆ แต่บังเอิญรักษาพระอาการไท่ซ่างหวงจนหายประชวรได้เพราะความโชคดี อย่างน้อยนี่ก็คือสิ่งที่คนนอกคิด แต่เพราะคำพูดของพระชายาจี้ที่บอกเป็นนัยว่า ทักษะทางการแพทย์ของนางยอดเยี่ยมเพียงใด และนางยังคล้ายมีท่าทีมั่นใจมากด้วยว่า หยวนชิงหลิงจะสามารถรักษาอาการป่วยของอ๋องหวยให้หายได้
การพูดจาชื่นชมยกย่องนางเสียสูงส่งต่อหน้าผู้คนมากมายเช่นนี้ ช่างเป็นแผนการที่แยบคายยิ่งนัก
หยวนชิงหลิงเองก็ไม่ได้ถ่อมตัวสักนิด เดินขึ้นไปคารวะหลู่เฟยพร้อมหยู่เหวินเห้าทันที
หลู่เฟยไม่ได้มองนาง มองเพียงหยู่เหวินเห้าพลางพูดว่า “ข้าเชื่อเจ้าว่าเจ้าสามารถจับตาดูชายาของตัวเองไม่ให้นางมาทำเรื่องวุ่นวายได้ ข้าไม่รู้ว่าเหตุใดฝ่าบาทจึงทรงมีรับสั่งให้นางมา แต่เพราะนี่คือพระราชโองการ ไม่อาจขัดพระบัญชาได้ แต่ถ้านายตรวจวินิจฉัยอาการแบบผิดๆ แล้วสั่งยาตามอำเภอใจเพราะมีทักษะทางการแพทย์ไม่เพียงพอ จนมันทำร้ายลูกชายของข้าล่ะก็ ข้าขอพูดไว้ก่อนเลยนะว่า ข้าจะไม่ยอมปล่อยให้เรื่องนี้มันจบง่ายๆ แน่”
หยู่เหวินเห้าประสานมือคารวะ” ขอท่านแม่หลู่อย่าได้กังวล หลิงเอ๋อจะต้องพยายามอย่างเต็มที่แน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”
หลู่เฟยไม่เคยรู้ประวัติการติดเชื้อของอ๋องหวยมาก่อน ด้วยเหตุนี้ นางจึงไม่ได้นึกเกลียดชังหยู่เหวินเห้า นางยังรู้ด้วยว่าหยู่เหวินเห้ากับเสียนเฟย ล้วนไม่ใช่คนที่สามารถไปหาเรื่องได้ง่ายๆ แต่เพราะเรื่องนี้เกี่ยวพันถึงชีวิตของลูกชายนาง นางจึงต้องละเอียดรอบคอบอย่างที่สุด
“ข้าเข้าไปดูอาการของอ๋องหวยดีกว่านะเพคะ” หยวนชิงหลิงถูกทุกคนจ้องมอง จนรู้สึกอึดอัดไปหมดแล้ว
พระชายาจี้พูดอย่างแข็งขัน “น้องสะใภ้ห้า ข้าขอเข้าไปพร้อมเจ้าด้วยแล้วกัน”
หยวนชิงหลิงเตรียมหน้ากากไว้นานแล้ว นางใส่มันไว้ในแขนเสื้อ แล้วหยิบออกมาแจกจ่ายให้กับพวกหยู่เหวินเห้าและพระชายาจี้
ตัวนางเองก็ใส่ด้วยอันหนึ่ง
อย่างที่ทุกคนรู้ ทันทีที่ใส่หน้ากากนี้เข้าไป กลับทำให้หลู่เฟยโกรธจนตัวสั่น
นางชี้ไปที่หยวนชิงหลิง แล้วพูดอย่างโกรธเคืองว่า “หากเจ้ารังเกียจหวยเอ๋อของข้า แค่ไม่ต้องมาก็สิ้นเรื่องแท้ๆ เดิมทีเขาก็ป่วยหนักจนสภาพจิตใจไม่สู้ดีอยู่แล้ว ยิ่งมาเห็นเจ้าใส่ของพรรค์นี้เข้าไปหาเขาอีก ได้เห็นว่าพวกเจ้าต่างก็รังเกียจเขากันหมด ใจเขาจะรู้สึกทุกข์ทรมานแค่ไหน”