ตอนที่ 138 มาจับตัวหนานหนาน?
อวี้ชิงลั่วมองตามสายตาของเขา ก็พบบุรุษผู้สง่างามใบหน้ายิ้มแย้มผู้หนึ่งกำลังโบกสะบัดพัด ก้าวเท้ายาว ๆ เข้าไปด้านในตำหนักอี๋ซิ่ง
“เขาคือ…”
“องค์ชายเจ็ด เย่ฮ่าวถิง” ดวงตาของเย่ซิวตู๋หรี่ลง รอยยิ้มมุมปากแฝงด้วยความเย้ยหยันบางเบา
“องค์ชายเจ็ด…” อวี้ชิงลั่วประหลาดใจ องค์ชายเจ็ดของอาณาจักรเฟิงชาง ดูเหมือนว่า…ก็เป็นบุตรชายของเหมิงกุ้ยเฟยเช่นกัน นั่นไม่เท่ากับว่าเป็นน้องชายแท้ ๆ ที่มีบิดามารดาคนเดียวกันของเย่ซิวตู๋หรอกหรือ?
จุดอ่อนของเหมิงกุ้ยเฟยคือเขา? นั่นก็หมายความว่า เหมิงกุ้ยเฟยปฏิบัติกับองค์ชายเจ็ดอย่างดีเยี่ยม ดีจนถึงขั้นกลายเป็นจุดอ่อนของนาง
อวี้ชิงลั่วเงยหน้าขึ้นทันใด ก็พบว่าสายตาของเย่ซิวตู๋ยังคงจับจ้องยังร่างขององค์ชายเจ็ดคนนั้นไม่วางตา ซึ่งสายตานั้นเป็นสายตาที่ยากเกินกว่าจะเข้าใจ
จู่ ๆ นางก็แอบรู้สึกเห็นอกเห็นใจเย่ซิวตู๋ มีมารดาเป็นเหมิงกุ้ยเฟยเหมือนกันก็จริง แต่คนหนึ่งเป็นจุดอ่อนของนาง ส่วนอีกคนกลับกลายเป็นคนที่นางคิดจะทำร้ายให้ถึงแก่ชีวิต แม้จะพูดได้ว่าคนในวังจะทำตัวไม่แยแสต่อกันมาโดยตลอด แต่นางสนมที่เป็นนางในเหล่านั้นต่างก็สู้สุดชีวิตเพื่อปูทางให้บุตรชายของตัวเอง
ฮ่องเต้โปรดปรานแล้วอย่างไร? สุดท้ายแล้วก็เป็นการสร้างคู่ต่อสู้จำนวนไม่น้อยให้กับเขา
“เย่ซิวตู๋ หนานหนานยังเคารพและชื่นชอบท่านมาก” อวี้ชิงลั่วไอกระแอมเสียงเบา นางคิดไม่ออกว่าจะพูดปลอบใจอย่างไร จึงทำได้เพียงฝืนใจพูดถึงชื่อของหนานหนาน ในเวลานี้ ใช้ชื่อของเจ้าเด็กนั่นก็คงไม่เป็นไร
อย่างน้อย ๆ ก็บอกให้เขารู้ว่ายังมีครอบครัวที่ดีกับเขาอยู่
เย่ซิวตู๋ประหลาดใจและได้สติกลับคืนมา ดวงตาประสานเข้ากับดวงตาเป็นประกายของนาง ภายในใจถูกสะกิดแทงเบา ๆ เอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาและแข็งกระด้าง “ไม่ได้ต้องการให้เจ้ามาเห็นอกเห็นใจ”
“…ท่านเข้าใจผิดแล้ว ข้าไม่ได้เห็นอกเห็นใจท่าน” อวี้ชิงลั่วทนเห็นท่าทางเช่นนี้ของเขาไม่ได้ เม้มปากพูดขึ้นอีกสองประโยค “องค์ชายเจ็ดได้รับความรักจากเหมิงกุ้ยเฟย แต่ท่านยังมีฝ่าบาทคอยปกป้อง รวมถึงยังมีหนานหนานที่เลื่อมใสในตัวท่าน อย่างน้อยท่านก็มีมากกว่าเขาตั้งหนึ่งคน มีอะไรให้น่าเห็นอกเห็นใจ?”
“นั่นก็มีแค่สองคน”
“สองคนยังไม่พออีกหรือ? ท่านยังอยากให้มีอีกกี่คนที่ดีกับท่าน?”
“อืม…อย่างน้อย ๆ ก็เพิ่มเจ้าอีกสักคน หากหลังจากนี้เจ้ามีทัศนคติที่ดีต่อข้าสักหน่อย ยอมจำนนสักหน่อย อ่อนโยนลงสักหน่อย บางทีหลังจากนี้ภายในใจของข้าคงสมดุลขึ้น”
“…” อวี้ชิงลั่วอยากตบฉาดเข้าที่หูของเขาจริง ๆ บุรุษผู้นี้น้อยเนื้อต่ำใจที่ไหนกัน? เห็นได้ชัดว่ายังคงเป็นเย่ซิวตู๋ผู้แสนเย็นชาเหมือนกับก่อนหน้านี้ มาถึงขั้นนี้แล้วยังมีกะจิตกะใจขุดกับดักให้นางกระโดดลงไปอีก
เย่ซิวตู๋หัวเราะเสียงทุ้มต่ำ เหมิงกุ้ยเฟยปฏิบัติกับองค์ชายเจ็ดด้วยความลำเอียง เขาปลงกับเรื่องนี้ตั้งแต่อายุสิบขวบแล้ว
นับตั้งแต่ตอนที่เขารู้ว่าหมู่เฟยส่งคนไปไล่ฆ่าเขาครั้งแรก เขาก็ไม่เหลือความหวังในตัวเหมิงกุ้ยเฟยอีกต่อไป ไม่ได้รอคอยแม้แต่นิดเดียว เมื่อสี่ปีก่อน เขาได้เห็นความสัมพันธ์ฉันท์แม่ลูกครั้งสุดท้ายก็คือการต่อสู้เพื่ออยู่ห่างจากบัลลังก์ ละทิ้งความรุ่งโรจน์ของเมืองหลวง พาเสิ่นอิงและคนอื่น ๆ เดินทางไปที่เจียงเฉิง
การถอยให้เช่นนี้ กลับมิอาจหยุดความคิดของเหมิงกุ้ยเฟยได้
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เขาก็ไม่จำเป็นต้องสนใจความสัมพันธ์ระหว่างแม่กับลูกอีกต่อไป
“นี่ องค์ชายเจ็ดเดินเข้าไปแล้ว รีบลงมือสิ” อวี้ชิงลั่วกระทุ้งเขา สายตาจ้องมองไปยังบุรุษผู้เต็มไปด้วยความสง่า
เย่ซิวตู๋มองนางด้วยความสงสัย “แต่เจ้ายังไม่ได้บอกข้าเลยนะว่าจะให้ทำอย่างไร”
“เอ่อ…” อวี้ชิงลั่วแอบหงุดหงิด ยื่นเข็มเงินสีดำไปที่มือของเขา เอ่ยถามว่า “มีวิธีแทงให้โดนคอขององค์ชายเจ็ดหรือไม่?”
“ทำได้” เย่ซิวตู๋มุมปากกระตุกวูบ มองดูปลายเข็มที่มีสีดำราวกับน้ำหมึก ก่อนจะหมุนกายอย่างเงียบ ๆ
องค์ชายเจ็ดหมุนตัวแล้ว อีกแค่ก้าวเดียวก็จะก้าวข้ามประตูของตำหนักอี๋ซิ่งแล้ว
เย่ซิวตู๋พลิกนิ้วอย่างรวดเร็ว แขนเสื้อราวกับมีลมที่วาดผ่านแก้มของอวี้ชิงลั่วไป ส่วนเข็มเงินในมือก็ลอยออกไปในทันที
ขันทีของตำหนักอี๋ซิ่งเพิ่งจะทำท่าตะโกนเพื่อรายงานการมาถึงขององค์ชายเจ็ด จู่ ๆ ก็พบว่าเท้าของอีกฝ่ายชะงักไปเล็กน้อย
จู่ ๆ ใบหน้าสีขาวอันหล่อเหล่านั้นพลันแข็งทื่อไป ริมฝีปากกลายเป็นสีม่วงอย่างฉับพลัน รูม่านตาเบิกกว้าง เสียง “ตึง” ดังขึ้น ร่างสูงใหญ่นั้นล้มลงข้างเท้าของขันทีผู้นั้นอย่างรุนแรง
ขันทีตกใจจนใบหน้าขาวซีด ขาทั้งคู่อ่อนยวบนั่งลงบนพื้น ถอยหลังออกไปสองก้าวด้วยความเร่งรีบและหวาดกลัว ผ่านไปครู่หนึ่ง จึงส่งเสียงร้องดังลั่นด้วยใบหน้าขาวโพลน “ช่วยด้วย ช่วยด้วย ช่วยด้วย องค์ชายเจ็ดเป็นลม รีบมาช่วยเร็วเข้า”
ตำหนักอี๋ซิ่งพลันตกอยู่ในความอลหม่านราวกับเกิดเหตุระเบิดขึ้น เหมิงกุ้ยเฟยรีบสาวเท้าออกมาพร้อมกับยกชายกระโปรงขึ้น ครั้นเห็นเย่ฮ่าวถิงอยู่ข้างประตู ใบหน้าพลันเปลี่ยนสีอย่างหนัก ส่งเสียงตะโกน “ฮ่าวถิง ฮ่าวถิง พวกเจ้าตายกันหมดแล้วหรือ? รีบไปประคองให้ลุกขึ้นสิ ได้ยินที่เราพูดหรือไม่”
“ขอรับ/เจ้าค่ะ” นางข้าหลวงและขันทีภายในตำหนักอี๋ซิ่งไม่กล้าล่าช้าแม้แต่น้อย รีบเข้าไปประคองอีกฝ่ายให้ลุกขึ้น ก่อนจะประคองเย่ฮ่าวถิงให้เข้าไปด้านใน และวางลงบนเตียงอย่างระมัดระวัง
เหมิงกุ้ยเฟยเป็นกังวลจนใบหน้าขาวซีด โดยเฉพาะตอนที่เห็นมุมปากของเย่ฮ่าวถิง นางถึงขั้นยกเท้าเตะขันทีที่ยืนอยู่ข้าง ๆ “ไปเชิญอาจารย์เสิ่นมา”
“ขอรับ บ่าวจะรีบไปเดี๋ยวนี้” คนคนนั้นขานตอบ ก่อนจะรีบวิ่งออกจากตำหนักอี๋ซิ่งเพื่อไปหาอาจารย์เสิ่นที่เดินทางไปที่ไท่อีเยวี่ยนแล้ว
อาจารย์เสิ่นไม่กล้าล่าช้า รีบเดินทางมาที่นี่พร้อมกับหมอหลวงเหลียง ยืนหอบหายใจอยู่ตรงหน้าเหมิงกุ้ยเฟย
ตอนนี้เหมิงกุ้ยเฟยกำลังมองดูองค์ชายเจ็ดด้วยความร้อนใจ ไม่จำเป็นต้องให้พวกเขาทำความเคารพ รีบสั่งให้ลุกขึ้นและให้อาจารย์เสิ่นจับชีพจร
อาจารย์เสิ่นสีหน้าเคร่งขรึม นิ้วมือจับอยู่บนข้อมือของเย่ฮ่าวถิง และเหลือบตาขึ้นอีกครั้ง คิ้วถึงกับขมวดเข้าหากันเล็กน้อย
“เป็นอย่างไรบ้าง?” ผ้าเช็ดหน้าที่อยู่ในมือของเหมิงกุ้ยเฟยเกือบจะถูกนางบดขยี้ เมื่อเห็นว่าผ่านไปนานแต่อีกฝ่ายก็ยังไม่พูดอะไร จึงอดไม่ได้ที่จะก้าวเท้ามาด้านหน้าหนึ่งก้าว
อาจารย์เสิ่นมีสีหน้าเคร่งขรึม มุมปากตึงไม่พูดไม่จา จับเย่ฮ่าวถิงพลิกตัวกลับมา สายตาสำรวจอย่างรวดเร็วรอบหนึ่ง ทันใดนั้นเขาก็ดึงเข็มสีเงินที่ปักอยู่บนลำคอของเขาออกมา มองดูเข็มที่เคลือบด้วยสีดำ สีหน้าของเขาก็ยิ่งดูไม่สู้ดี
หมอหลวงเหลียงที่อยู่ข้าง ๆ ถึงกับสูดลมเย็นเข้าปาก “เข็มนี้มีพิษ”
อาจารย์เสิ่นพยักหน้า หันหน้าหาเหมิงกุ้ยเฟย “เหนียงเหนียง พิษนี้รุนแรงมาก ข้าทำได้เพียงแค่ระงับการแพร่กระจายพิษขององค์ชายเจ็ดได้ชั่วคราวเท่านั้น จากนั้นค่อยหาวิธีเพื่อถอนพิษ”
ครั้นได้ยินว่าสามารถระงับพิษนี้ได้และสามารถรักษาได้ เหมิงกุ้ยเฟยจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก “อาจารย์เสิ่นจะหาวิธีถอนพิษได้เมื่อใด? จะเกิดอะไรขึ้นกับฮ่าวถิงหรือไม่?”
สายตาของอาจารย์เสิ่นแอบประกายความลังเลจาง ๆ ท้ายที่สุดจึงขบฟัน กล่าวอย่างมั่นคงว่า “เหนียงเหนียงอย่าได้เป็นกังวล ข้าจะหาวิธีให้เร็วที่สุด องค์ชายเจ็ดจะต้องปลอดภัยหายห่วง”
อันที่จริงพิษนี้เป็นสิ่งที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน พูดเช่นนี้ในตอนนี้ก็เป็นแค่แผนรับมือชั่วคราวที่เหมาะสม ถึงอย่างไรหากเขาตอบไปว่าไม่สามารถถอนพิษได้ คาดว่าเหมิงกุ้ยเฟยคงโมโหโกรธาจนสั่งให้คนลากเขาออกไปตัดหัวอย่างแน่นอน
เหมิงกุ้ยเฟยหรี่ตาลง ทว่าเมื่อได้ยินอีกฝ่ายรับปาก นางหันไปมององค์ชายเจ็ดก็พบว่าหลังจากที่กินยาของอาจารย์เสิ่นเข้าไปสีหน้าก็ดูดีขึ้นมากจริง ๆ จึงพยักหน้าและหันไปถามขันทีที่คุกเข่าอยู่บนพื้นข้าง ๆ “เกิดอะไรขึ้นกันแน่? เล่าให้เราฟังอย่างละเอียด”
“พ่ะย่ะค่ะ บ่าวไม่กล้าโกหกพ่ะย่ะค่ะ เหนียงเหนียง ตอนที่องค์ชายเจ็ดเพิ่งจะเข้ามาในวังอี๋ซิ่ง จู่ ๆ ก็หยุดไปและหมดสติไปในทันที…” ขันทีผู้นั้นเนื้อตัวสั่นเทิ้มไปหมด เมื่อนึกถึงฉากที่ได้เห็นในตอนแรก บนหน้าผากก็เต็มไปด้วยเหงื่อเย็น
เหมิงกุ้ยเฟยสีหน้าอึมครึม ครั้นนึกถึงเข็มพิษที่อยู่บริเวณลำคอด้านหลังขององค์ชายเจ็ด และปะติดปะต่อกับคำพูดของขันที นางจึงทุบฝ่ามือลงบนโต๊ะอย่างแรง กล่าวด้วยความโกรธเคือง “องค์ชายเจ็ดเปิดรับนักฆ่าภายในวัง ภายในวังต้องมีนักฆ่าเป็นแน่ ออกคำสั่งจับตัวนักฆ่ามาให้ได้”
“พ่ะย่ะค่ะ” ขันทีคนสนิทที่อยู่ข้างกายเหมิงกุ้ยเฟยรีบขานตอบ และออกไปในทันที
เพียงไม่นาน ก็มีข่าวลือเรื่องที่มีนักฆ่าแฝงตัวเข้ามาในวัง มีประกาศจับตัวนักฆ่าทุกหนแห่ง
หนานหนานที่กำลังนั่งยอง ๆ จ้องมองมดสองตัวที่กำลังสู้กันอยู่บนภูเขาเทียมถึงกับชะงัก จับตัวนักฆ่า? หรือว่า…หรือว่าจะมาจับตัวเขา?
………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
หรือเป็นเพราะกุ้ยเฟยอยากให้องค์ชายเจ็ดได้เป็นใหญ่แทน เลยวางแผนฆ่าองค์ชายห้ากันนะ
เขาไม่ได้มาจับตัวหนูหรอกหนานหนาน เขาตามหาคนลอบทำร้ายองค์ชายเจ็ดอยู่น่ะ
ไหหม่า(海馬)