ตอนที่ 167 เฉาอวิ๋นเปิดปากพูด

ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ

ตอนที่ 167 เฉาอวิ๋นเปิดปากพูด
เจินซื่อเฉิงและเจียงซื่อเดินวนไปวนมาที่ละคน

ฝูงชนยิ่งเงียบขึ้นมากในทันที

ความเงียบของเฉาอวิ๋นแตกต่างจากคนอื่น เหมือนกับคนหมดอาลัยตายอยาก

เจินซื่อเฉิงมีสีหน้าที่ดูไร้อารมณ์ เอ่ยถามอย่างใจเย็น “เฉาอวิ๋น เมื่อเช้านี้ที่เจ้าเผากระดาษเงินกระดาษทองได้พบสิ่งที่ไม่ชอบมาพากลอันใดหรือไม่”

เฉาอวิ๋นก้มหน้านิ่งเงียบ

หย่งชังปั๋วโมโหถึงขีดสุด ยกเท้าขึ้นจะเตะเฉาอวิ๋นออกไป

“ท่านปั๋วอย่าผลีผลาม!” เจินซื่อเฉิงรีบไปยืนขวางอยู่หน้าหย่งชังปั๋ว

หย่งชังปั๋วเห็นดังนั้นจึงรีบดึงเท้ากลับมาทันที อย่างไรเสียก็ยังไว้หน้าเจินซื่อเฉิงอยู่บ้าง

เจินซื่อเฉิงลูบเคราตนเองพลางกล่าวต่อไป “ท่านปั๋ว ความจริงยังไม่กระจ่าง ดังนั้นการทำร้ายเฉาอวิ๋นหาใช่เรื่องที่คนฉลาดเขาทำกันไม่!”

หย่งชังปั๋วโกรธจนลมแทบจับ “ใต้เท้าเจิน ท่านก็ดูสภาพนางสิ! หากไม่ใช่คนสังหารฮูหยิน เหตุใดถึงไม่พูดอะไรสักคำ หรือจะบอกว่าบนโลกใบนี้ยังมีคนที่ก่อเหตุสังหารผู้อื่นได้อย่างไม่ต้องแยแสอะไร นอกเสียจากว่าคนผู้นั้นจะเป็นฆาตรกร!”

“ท่านปั๋วเข้าใจผิดแล้ว” เจินซื่อเฉิงส่ายหัว จ้องมองไปที่เฉาอวิ๋นอย่างล้ำลึก

สตรีวัยสามสิบกว่าๆ ที่แต่งงานแล้วผมสลวยๆ ของนางที่ตอนนี้มีสีขี้เถ้าเจือปน ดูซีดเซียว สายตามืดหม่น เหมือนกับตะเกียงน้ำมันที่ไฟกำลังจะมอด ไร้ซึ่งชีวิตชีวา

“เข้าใจผิดตรงไหน”

เจินซื่อเฉิงถอนหายใจเบาๆ “ยังมีสถานการณ์อีกหลายรูปแบบ อาจจะมีคนที่ฆ่าคนแล้วยังนิ่งเฉยได้ อย่างเช่นเขาต้องการปกป้องฆาตรกร หรือไม่เขาก็รู้สึกสิ้นหวังจนไม่สนใจอะไรทั้งนั้น…”

ตอนได้ยินว่า ‘ต้องการปกป้องฆาตรกร’ เฉาอวิ๋นไม่ปฏิกิริยาตอบสนองอะไรทั้งนั้น แต่พอได้ยินคำว่า ‘รู้สึกสิ้นหวัง’ นางก็กะพริบตา แล้วน้ำตาก็ไหลลงมา

อาจจะไปสะกิดโดนความรู้สึกอะไรบางอย่าง เฉาอวิ๋นไม่สนใจสายตาของผู้คนแม้แต่น้อย ความอัดอั้นตันใจที่เก็บงำไว้แปรเปลี่ยนไปเป็นเสียงร้องไห้ดังลั่นอย่างรวดเร็ว

เหมือนว่าหย่งชังปั๋วจะอยากพูดอะไร แต่ก็ถูกเจินซื่อเฉิงส่ายหัวหยุดเขาไว้

ผู้คนมองดูเฉาอวิ๋นร้องไห้อย่างเงียบๆ

และเจียงซื่อก็ใช้โอกาสตอนที่ความสนใจของทุกคนมุ่งเป้าไปที่เฉาอวิ๋นเดินไปที่ด้านข้างของคนทีละคนๆ ‘ดม’ หาตัวฆาตรกรจากในฝูงชน

หากไม่ใช่เพราะชิวลู่หญิงรับใช้ผู้นั้นกระโดดทะเลสาบฆ่าตัวตายเองและก็ไม่ใช่สาวใช้อุ่นเตียงอย่างเฉาอวิ๋นที่ทุกข์ใจมานานหลายปี แล้วฆาตรกรที่เจ้าเล่ห์ผู้นั้นเป็นใครกันแน่

เป็นเวลานานกว่าที่เสียงร้องไห้ของเฉาอวิ๋นจะเงียบลงไป

เจินซื่อเฉิงอดไม่ได้ที่จะมองดูเจียงซื่อเล็กน้อย

ขณะที่เจียงซื่อซ่อนตัวอยู่ในฝูงชนก็ได้ส่ายหัวมาทางเขาเบาๆ

เจินซื่อเฉิงถอนหายใจ แล้วพูดในใจว่าหากเฉาอวิ๋นร้องไห้นานๆ ก็ดีสิ

เฉาอวิ๋นที่ร้องไห้จนตาแดงไม่รู้เลยจริงๆ ว่าใต้เท้าผู้นี้ที่แลดูยากแท้หยั่งถึงแท้จริงแล้วคิดสิ่งใดอยู่กันแน่ นางจึงปาดน้ำตาอย่างมึนงง

“เฉาอวิ๋น ตอนนี้เจ้าบอกได้แล้วแล้วหรือยังว่าเมื่อเช้านี้ตอนที่เจ้าเผากระดาษเงินกระดาษทอง เจ้าพบเห็นสิ่งใดที่ผิดปกติหรือไม่” เจินซื่อเฉิงกล่าวถามอย่างอดทนอดกลั้น

ตอนที่ซักถาม ไม่ว่าฝ่ายตรงข้ามจะมีสถานะเช่นไร เขาล้วนพยายามอดทนอย่างสุดกำลัง

ครานี้ ในที่สุดเฉาอวิ๋นก็ส่ายหัวพร้อมกล่าวเสียงค่อย “ไม่มี”

เจินซื่อเฉิงรู้สึกพอใจ

การที่เฉาอวิ๋นยอมให้ความร่วมมือเปิดปากพูดออกมาเป็นประโยชน์ต่อการไขคดีอย่างไม่ต้องสงสัย

ฆาตรกรนำชุดที่เปื้อนเลือดไปฝังไว้ยังสถานที่ที่เฉาอวิ๋นเผากระดาษเงินกระดาษทอง ดังนั้นเฉาอวิ๋นอาจจะเป็นคนที่เคยใกล้ชิดกับฆาตรกรมากที่สุด

“เฉาอวิ๋น เจ้าลองคิดให้ละเอียดอีกครั้ง อาจจะไม่เห็นอะไร แต่พวกเสียงที่ผิดปกติเล่า” เจินซื่อเฉิงกล่าวเรียกสติ

เฉาอวิ๋นเงยหน้ามองเจินซื่อเฉิงแล้วยิ้ม “ใต้เท้าไม่คิดว่าข้าน้อยเป็นฆาตรกรหรอกหรือ”

รอยยิ้มนั้นแฝงไปด้วยการประชดประชัน

เจินซื่อเฉิงทำอะไรอย่างมีหลักการ รับมือกับคนได้อย่างชาญฉลาด เมื่อได้ยินดังนั้นจึงเหลือบมองไปที่หย่งชังปั๋วทันที แต่ว่าท่านปั๋วผู้นี้ว่าดีแต่เพิ่มปัญหาให้อยู่ในใจ

แน่นอนว่าในเวลานี้ไม่อาจเทน้ำมันลงไปในไฟได้ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เฉาอวิ๋นหดหัวเข้าไปในกระดองอีก

“ข้าเป็นคนนอก ดูเพียงหลักฐานกับจุดที่น่าสงสัยเท่านั้น พวกท่านเป็นคนใน การที่จะควบคุมอารมณ์ไม่ได้ถือว่าเป็นเรื่องธรรมชาติของมนุษย์”

เฉาอวิ๋นมึนงงไปชั่วขณะ มองไปที่หย่งชังปั๋วอย่างช่วยไม่ได้

หย่งชังปั๋วสงวนท่าที รู้สึกประทับใจในคำพูดของเจินซื่อเฉิง

ปกติแล้วถือว่าเขาใจกว้างกับอนุทั้งสองคนมาก ค่าอาหารและเครื่องนุ่งห่มก็ให้มากกว่าอนุจวนอื่น แม้กระทั่งพ่อแม่และคนอื่นในครอบครัวของพวกนาง เขาก็จัดหางานให้ ถือว่าเขามอบในสิ่งที่เขาสามารถมอบให้ได้แล้ว

เพียงแต่เขาไม่ได้ให้ความรัก แต่จุดนี้ได้ตกลงกันดีแล้วตั้งแต่การคัดเลือกคนในปีนั้น

แต่เมื่อหนึ่งในนั้นกลายไปเป็นฆาตรกรที่ฆ่าภรรยาของเขา ความใจกว้างเล็กน้อยนั้นก็ไม่อาจทำเขาใจเย็นกับนางได้

หากไม่ได้เชิญคนจากศาลาว่าการเข้ามาเกี่ยวข้องทั้งยังพบข้อบ่งชี้ที่ว่าเฉาอวิ่นฆ่าภรรยาด้วย เขาคงจะควบคุมตนเองไม่ได้จนฆ่าผู้หญิงคนนี้ไปแล้ว

คำพูดของเจินซื่อเฉิงส่งผลกระทบต่อความรู้สึกของเฉาอวิ๋นไม่น้อยเลยเช่นกัน

นางดึงสายตากลับมา ลูบมืออันผอมแห้งพลางกล่าวเสียงค่อย “พอข้าน้อยเผากระดาษเงินกระดาษทองเสร็จก็กลับเข้าเรือนไป กำลังจะเอนตัวนอนก็ได้ยินเสียงดังมาจากในลาน หลังจากผ่านไปสักพักข้าน้อยถึงได้เปิดหน้าต่างออกไปดู แต่ในลานกลับไม่มีอะไรเลย”

“ตั้งแต่อนที่ได้ยินเสียงดังไปจนถึงตอนที่เจ้าเปิดหน้าต่างออกดู เป็นระเวลานานเพียงใด”

“ชั่วเวลาจิบชาครึ่งถ้วยเห็นจะได้”

เจินซื่อเฉิงขมวดคิ้วอย่างช่วยไม่ได้

หากฆาตรกรใช้โอกาสในตอนที่เฉาอวิ๋นกลับเข้าไปในท้ายเรือนจากนั้นก็แอบย่องเข้ามาฝังชุดเปื้อนเลือดในลานฝั่งตะวันตก ชั่วเวลาจิบชาครึ่งถ้วยไม่น่าจะเพียงพอให้นางซุกซ่อนชุดเปื้อนเลือดไว้ให้ดีได้

เจ้ายังจำเวลาที่แน่ชัดตอนเข้าไปในเรือนได้ไหม

“เพิ่งผ่านยามเหม่ามา”

เจินซื่อเฉิงเอามือไขว้หลังแล้วเดินไปที่ลานฝั่งตะวันตก ยืนอยู่ตรงประตูพระจันทร์มองไปยังจุดที่เฉาอวิ๋นเผากระดาษเงินกระดาษทอง

ยามเหม่าเพิ่งผ่านไป ในตอนนั้นฟ้ายังไม่สว่างดี เป็นไปได้ไหมว่าเฉาอวิ๋นจะมองเห็นไม่ชัด

สถานที่ที่เฉาอวิ๋นเผากระดาษเงินกระดาษทองอยู่ที่มุมกำแพง ที่นั่นปลูกดอกไม้และต้นไม้เตี้ยๆ เอาไว้ หากฆาตรกรหมอบลงอย่างรวดเร็วหลังจากที่ทำเสียงดัง เฉาอวิ๋นที่มองออกมาจากในเรือน เป็นไปได้สูงว่าไม่ทันได้สังเกตเห็นว่ามีคนหมอบอยู่ตรงนั้น ย่อมจะมองไม่เห็นอะไรอยู่แล้ว

เจินซื่อเฉิงจู่ๆ ก็คิดอะไรขึ้นมาได้ รีบก้าวเท้ายาวๆ กลับไปถามเฉาอวิ๋น “ตอนที่เจ้าเผากระดาษเงินกระดาษทองได้ยินเสียงอะไรหรือไม่”

เฉาอวิ๋นส่ายหัว “ไม่ได้ยินเจ้าค่ะ”

ในเวลานั้นนางกำลังจมอยู่กับความเจ็บปวดเกี่ยวกับเรื่องบุตรที่ยังไม่ทันได้ออกมาลืมตาดูโลก จนไม่ได้ทันสังเกตเห็นการเคลื่อนไหวโดยรอบ

“เช่นนั้น ในเวลานั้นเจ้าได้ร้องไห้หรือไม่”

คำถามนี้ของเจินซื่อเฉิงได้รับความสนใจจากผู้คนไม่น้อยเลยทีเดียว

ใครๆ ล้วนก็รู้ว่านิสัยของเฉาอวิ๋นเปลี่ยนไปเป็นอย่างมากเพราะการสูญเสียบุตร เหตุใดใต้เท้าท่านนี้ถึงกล่าวจี้จุดไม่เลิก จะร้องไห้ในตอนเผากระดาษเงินกระดาษทองหรือไม่นั้นสำคัญด้วยหรือ

“ร้องเจ้าค่ะ” เฉาอวิ๋นเม้มริมฝีปาก มือที่ห้อยอยู่ด้านข้างแนบชิดลำตัวเล็กน้อย

วันนี้ของทุกปี นางจะหัวใจแตกสลายอีกครั้งเสมอ จนแทบไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไป

จะไม่ร้องไห้ได้อย่างไรเล่า นั่นคือบุตรที่นางตั้งหน้าตั้งตารอให้มาเกิดตั้งเนิ่นนานหลายปี เป็นความสุขและที่พึ่งพิงเดียวที่เหลืออยู่ในชีวิต

“ร้องไห้เสียงดังไหม” เจินซื่อเฉิงถามต่อ

เฉาอวิ๋นกัดริมฝีปากอย่างแรง แล้วพยักหน้า

เจินซื่อเฉิงค่อยๆ ถอนหายใจเบาๆ เหมือนจะเข้าใจแล้วว่าเหตุใดฆาตรกรถึงแอบย่องเข้าไปในลานตะวันตกเพื่อฝังชุดเปื้อนเลือด

หลังจากที่ฆาตรกรก่อเหตุแล้วก็ออกจากเรือนหลักไป เป็นไปได้มากว่าจะได้ยินเสียงร้องไห้ของเฉาอวิ๋นจากนั้นก็เห็นฉากที่นางกำลังเผากระดาษเงินกระดาษทองอยู่ ด้วยเหตุนี้ฆาตรกรจึงตัดสินใจได้อย่างรวดเร็วว่าจะป้ายความผิดให้แก่เฉาอวิ๋น

เจียงซื่อเดินไปข้างๆ เจินซื่อเฉิง อย่างเงียบๆ ค่อยๆ กระแอมเบาๆ เมื่อเห็นเขามองมา ก็ส่ายหัวเล็กน้อย

เจินซื่อเฉิงขมวดคิ้วขึ้น

ไม่เจออะไรเลยหรือ

“ท่านปั๋ว คนที่พักอยู่บริเวณเรือนหลังล้วนอยู่ในลานแห่งนี้ทั้งหมดทุกคนแล้วหรือยัง”

หย่งชังปั๋วที่ได้ยินเจินซื่อเฉิงถามเช่นนี้ ก็มองไปที่พ่อบ้านอย่างช่วยไม่ได้

พ่อบ้านรีบตอบ “อยู่ที่นี่ทั้งหมดแล้วขอรับ”

เจินซื่อเฉิงกับเจียงซื่อมองหน้ากัน ทั้งสองล้วนรู้สึกเหนือความคาดหมายเล็กน้อย

หรือว่าสิ่งที่พวกเขาคิดจะผิดพลาด