บทที่ 207-2 ติ๊ง! มีเงินจำนวนมหาศาลเข้าบัญชี (2)

สูตรโกงฉบับเด็กเรียน

บทที่ 207 ติ๊ง! มีเงินจำนวนมหาศาลเข้าบัญชี (2)

หลิวกว๋อรุ่ยเตรียมการเรื่องการขายบริษัทจื้อเหิงมาเป็นเวลานาน ดังนั้นการโอนย้ายบริษัทจึงเป็นไปอย่างราบรื่น ตำแหน่งงานส่วนใหญ่ก็ไม่ได้มีความเปลี่ยนแปลงอะไรมากนัก

หลังจากที่ไป๋เยี่ยเข้ามารับตำแหน่ง เขาก็ได้จัดการประชุมระหว่างฝ่ายเทคนิคและฝ่ายการผลิต โดยขอให้พวกเขามุ่งเน้นไปที่การผลิตสามสิ่งต่อไปนี้

ได้แก่ สเปรย์ลิโดเคน โฟมไฮโดรคอลลอยด์และไหมเย็บแผลพีจีเอ

ไป๋เยี่ยจึงขอให้หลิวกว๋อรุ่ยช่วยทำเรื่องรับรองมาตรฐานให้ผลิตภัณฑ์ทั้งสามอย่าง ซึ่งทั้งสามอย่างนั้นเป็นผลิตภัณฑ์ยาสำเร็จรูปที่เทียบเคียงกับนวัตกรรมใหม่ๆ ได้ จึงได้รับการรับรองค่อนข้างเร็ว

อีกทั้งเมื่อเดือนมกราคมปี 2017 องค์กรตรวจสอบความปลอดภัยด้านยาและอาหารแห่งชาติก็ได้ออกเงื่อนไขสำหรับการรับรองมาตรฐานอย่างเร่งด่วนมา หลี่กว๋อรุ่ยจึงดำเนินการไปตามแนวทางของเขา อีกทั้งยังมีความช่วยเหลือจากถังฮั่นด้วย ทำให้ทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดี

หลังจากปรับโครงสร้างบริษัทใหม่แล้ว ถังฮั่นก็ไม่ได้มีแรงมากพอที่จะมาดูแลเรื่องต่างๆ ของที่นี่ เพราะเขายังต้องรับผิดชอบบริษัทน่าย่าอยู่

ไป๋เยี่ยเองก็ไม่ค่อยมีเวลา เพราะเขายังต้องเรียน ดังนั้นภาระส่วนใหญ่จึงตกไปอยู่ที่โจวเม่าและหลิวกว๋อรุ่ย

ถึงอย่างไรโจวเม่าก็เป็นประธานบริษัทคนหนึ่ง เขาจึงต้องรับผิดชอบแนวทางการดำเนินงานของบริษัท ในขณะที่หลิวกว๋อรุ่ยมีตำแหน่งเป็นผู้จัดการทั่วไป จึงมีหน้าที่รับผิดชอบในเรื่องของการโอนย้ายตำแหน่งและงานด้านการตลาดต่างๆ

ไป๋เยี่ยเชื่อมั่นในตัวของทั้งโจวเม่าและหลิวกว๋อรุ่ย เพราะงานที่พวกเขาได้รับนั้นเหมาะสมกับศักยภาพของพวกเขาดีแล้ว

บริษัทดำเนินไปได้ด้วยดี ทว่าไป๋เยี่ยกลับได้รับสายจากเมิ่งอวิ๋นซี

“หน่วยงานในบริษัทของฉันได้ลองตรวจสอบสารต้านอนุมูลอิสระนั่นดูแล้วนะ เรามาเจอกันหน่อยไหม”

ไป๋เยี่ยพยักหน้า “ได้สิครับ เราจะไปเจอกันที่ไหนดี”

เมิ่งอวิ๋นซีถามต่อ “คุณอยู่ที่ไหนล่ะ ฉันจะไปรับคุณเอง”

บริษัทจื้อเหิงตั้งอยู่ในแถบชานเมืองซึ่งอยู่ค่อนข้างห่างจากตัวเมือง หลังจากที่รออยู่เกือบชั่วโมง รถมาเซราตีคันหนึ่งก็มาจอดที่ชั้นล่างของบริษัท

เมิ่งอวิ๋นซีมาที่นี่พร้อมกับเจ้าหน้าที่ของเธอ แม้เวลาจะผ่านไปเพียงไม่กี่เดือน แต่เมิ่งอวิ๋นซีกลับรู้สึกว่าเธอจำไป๋เยี่ยไม่ได้เลย

เมื่อก่อนเธอคิดว่าไป๋เยี่ยเป็นแค่นักศึกษาตัวท็อปทั่วๆ ไป จึงยอมคุยด้วยเพื่อแก้เบื่อและขอให้เขาเล่านิทานให้ฟังเฉยๆ

แต่ต่อมาเขาก็ได้ขอเช่าฐานเพาะพันธุ์สัตว์ของบริษัทจื่ออวิ๋น ตอนนั้นเมิ่งอวิ๋นซีก็คิดว่าเขาแค่ล้อเล่น ไม่คิดเลยว่าเขาจะลงมือทำจริงๆ

ฐานการทดลองนั้นกลายเป็นจุดเริ่มต้นสำหรับไป๋เยี่ย หลังจากที่เขาคิดค้นเกณฑ์บีพีเอฟเอชออกมาได้ เขาก็กลายเป็นหนึ่งในกรรมการรับรองมาตรฐานเกณฑ์เอ็มไอโอ-บีพีเอฟเอช จากนั้นเขาก็คิดค้นสูตรอาหารแบบใหม่ และเพาะพันธุ์หนูเอสเอชอาร์ที่มีภาวะความดันโลหิตสูงตั้งแต่กำเนินออกมา แล้วก็มาค้นพบข้อบกพร่องของหนูเคเอ็มอีก…

เธอได้ยินเรื่องของไป๋เยี่ยอีกครั้งเมื่อตอนที่ไปงานปาร์ตี้ของเพื่อนแล้วมีผู้จัดการจากบริษัทน่าย่ามาบอกว่าไป๋เยี่ยกลายเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่อันดับสองของน่าย่า

ด้วยมูลค่ากว่าหนึ่งพันเจ็ดร้อยล้านหยวน!

กับอายุแค่ยี่สิบสี่ปีเท่านั้น!

เมื่อนึกถึงสองประเด็นนั้น เมิ่งอวิ๋นซีก็คิดว่าเธอคงต้องทำความรู้จักกับชายหนุ่มคนนี้อย่างจริงจังสักที

ทว่าเมื่อเมิ่งอวิ๋นซีมาถึงที่บริษัทจื้อเหิง เธอก็อดแปลกใจไม่ได้ “เอ๋…คุณมาทำอะไรที่จื้อเหิงเหรอ”

ไป๋เยี่ยได้ยินดังนั้นก็ตอบออกไปตรงๆ เพราะเขาก็ไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายมีเจตนาอะไรหรือไม่ “ผมซื้อมาน่ะ”

หัวใจของเมิ่งอวิ๋นซีเต้นระรัว นี่มันบริษัทจื้อเหิงนะ ไม่ใช่ว่าคิดอยากซื้อแล้วจะซื้อได้เลยซักหน่อย!

แต่…เขาคงไม่ได้ล้อฉันเล่นใช่ไหม

เมิ่งอวิ๋นซีได้แต่อุทานเบาๆ แล้วจึงเปลี่ยนเรื่องคุย “ผอ.โจวก็อยู่ที่นี่ใช่ไหม”

ไป๋เยี่ยพยักหน้า “อยู่ในออฟฟิศครับ เข้าไปคุยกันข้างในดีกว่า”

ระหว่างทา งเมิ่งอวิ๋นซีก็เริ่มกังวลขึ้นมาเล็กน้อย เพราะตอนนี้ไป๋เยี่ยและโจวเม่ากำลังเข้ามามีบทบาทในอุตสาหกรรมยามากขึ้น อีกทั้งการที่พวกเขามีบริษัทแล้ว…พวกเขาคงจะไม่เสียดายสิทธิบัตรที่เคยขายไปใช่ไหม

สิทธิบัตรเหล่านั้นมีความสำคัญกับพวกเขามาก ซึ่งทางบริษัทจื่ออวิ๋นเองก็กำลังเบนเข็มมาทางผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพและความงามแล้ว และผลิตภัณฑ์เหล่านั้นก็จะกลายเป็นผลิตภัณฑ์เรือธงของบริษํทต่อไป

แม้ว่าทั้งสองฝ่ายจะลงนามในสัญญาแล้ว แต่…ค่าปรับเหล่านั้นก็คงไม่ก่อให้เกิดผลเสียอะไรกับการตลาดในอนาคตมากนัก

เมิ่งอวิ๋นซีคิดแล้วก็เริ่มรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา ทันทีที่มาถึงออฟฟิศ เธอก็เห็นว่าโจวเม่ากำลังรออยู่ด้านใน

ทันทีที่โจวเม่าเห็นเมิ่งอวิ๋นซีเดินเข้ามา เขาก็ยืนขึ้นและกล่าวทักทาย “เชิญนั่งได้เลยนะครับคุณเมิ่ง ผมจะให้คนไปรินชามาให้”

เมิ่งอวิ๋นซีกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ไม่ได้เจอกันตั้งนานเลยนะคะ! ต่อไปนี้ฉันคงต้องเรียกคุณว่าประธานโจวแล้วสินะ”

ไป๋เยี่ยเปิดประเด็น “ลุงโจว คุณเมิ่งมาหาเราที่นี่เพราะอยากจะพูดคุยเรื่องสิทธิบัตรน่ะครับ”

โจวเม่าตบหน้าผากตนเองไปหนึ่งที “ช่วงนี้ผมยุ่งจนเกือบลืมเรื่องนี้ไปเลย คราวนี้คุณเมิ่งมาด้วยตัวเองเลย แสดงว่ามีข่าวดีสินะ”

เมิ่งอวิ๋นซีเห็นท่าทีของทั้งสองคนก็ถอนหายใจออกมา “จริงๆ แล้ว ทางบริษัทของเราได้ทำการทดสอบเรียบร้อยแล้วค่ะ…ผลลัพธ์ออกมาคล้ายกับที่คุณโจวบอกเลย”

โจวเม่ายิ้ม “เยี่ยมมาก ช่วงนี้กำลังเครียดกลัวเงินหมดอยู่เลย!”

เมิ่งอวิ๋นซีโบกมือส่งสัญญาณให้เลขานำสัญญาออกมา

ทันทีที่โจวเม่าหยิบสัญญาขึ้นมาอ่านก็ต้องตกตะลึง เพราะมูลค่าของมันมากกว่าที่เขาคาดไว้ในตอนแรกเสียอีก!

ไป๋เยี่ยมองเมิ่งอวิ๋นซีด้วยสีหน้าสงสัยเล็กน้อย

เมิ่งอวิ๋นซียิ้ม “เราตกลงกันไว้ว่าราคาจะผันผวนไปตามสถานการณ์นี่คะ ทางเราเชื่อว่านวัตกรรมที่คุณมอบให้ทางเรานั้นคุ้มค่าพอกับเงินที่ต้องจ่าย อีกทั้งราคานี้ ท่านประธานก็เป็นคนเสนอเองด้วยนะคะ”

ราคาเดิมที่ตกลงกันไว้คือสิบล้านหยวน ทว่าตอนนี้มูลค่ากลับพุ่งสูงไปถึงยี่สิบล้านแล้ว นี่คงไม่ใช่การผันผวนปกติแล้ว

หลังจากที่ไป๋เยี่ยและเมิ่งอวิ๋นซีเจรจากันโดยละเอียดแล้ว ทั้งสองฝ่ายก็โอนย้ายสิทธิบัตรและนวัตกรรมที่เกี่ยวข้องให้เสร็จสิ้น

โจวเม่ายังมีงานอื่นที่ต้องทำ จึงปล่อยให้ไป๋เยี่ยรับหน้าที่เจรจากับเมิ่งอวิ๋นซีไป

ไป๋เยี่ยเดินออกมาจากธนาคารพร้อมด้วยเงินในบัตรอีกสิบสี่ล้านหยวน แม้ว่าเขาจะเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทน่าย่า แต่เขาก็ต้องจ่ายโบนัสปลายปีด้วย…หุ้นก็คือหุ้น เงินก็คือเงิน

นอกจากนี้ไป๋เยี่ยยังมีหนี้อีกสองร้อยสี่สิบล้านหยวนที่ยังไม่ได้ใช้ด้วย

นี่เป็นครั้งแรกที่เขามีเงินในบัตรมากขนาดนี้ เมื่อได้เงินมาแล้ว ไป๋เยี่ยก็เริ่มมีความคิดต่างๆ ผุดขึ้นมา

เช่น ซื้อบ้านหลังใหญ่พื้นที่ห้าร้อยตารางเมตร เอ่อ…แต่ว่าบ้านพื้นที่ห้าร้อยตารางเมตรที่ถูกที่สุดในจิงตูก็มีราคาราวๆ ยี่สิบถึงสามสิบล้านหยวนแล้ว…

ไป๋เยี่ยคิดแล้วก็ถอนหายใจ “พี่เมิ่ง แถวโรงพยาบาลผู่เจ๋อพอจะมีบ้านพื้นที่ประมาณห้าร้อยตารางเมตรบ้างไหม”

เมิ่งอวิ๋นซีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “คุณจะซื้อบ้านเหรอ แล้วห้าร้อยตารางเมตรมันจะไม่ใหญ่ไปเหรอ”

ไป๋เยี่ยพยักหน้า “ใช่ ห้าร้อยตารางเมตรขึ้นไปน่ะ”

เมิ่งอวิ๋นซีไม่ได้ถามอะไรต่อ “ไว้ฉันจะกลับไปถามให้แล้วกันนะ รอฟังข่าวได้เลย”

ทั้งคู่นั่งกินข้าวด้วยกันอีกสักพักก่อนที่ไป๋เยี่ยจะกลับไปที่โรงพยาบาล

ช่างเป็นสองวันที่ยุ่งหัวหมุนจริงๆ แต่ในที่สุดเรื่องทั้งหมดนั้นก็จบลงสักที!