บทที่ 194 ฮ่องเต้ต้าเซี่ยยังคงรักอยู่
“เอ่อ อาจเป็นเพราะข้าคิดบางอย่างได้” ดวงตาของหมี่โม่หรู่ฉายแววสับสนเล็กน้อย “หรือไม่ก็เป็นเพราะข้าได้รู้เรื่องความสัมพันธ์ที่สำคัญ และข้าคิดว่าข้าสามารถลองใช้วิธีอื่นได้”
“ความสัมพันธ์ที่สำคัญหรือ?” ฉินปู้เข่อสับสนยิ่งกว่าเขาและอดไม่ได้ที่จะบ่นว่า “หม่อมฉันรู้สึกว่าสมองของหม่อมฉันมีประโยชน์น้อยลงตั้งแต่ลูกในท้องเริ่มดิ้น หญิงตั้งครรภ์มักเกียจคร้านมากขึ้นเรื่อย ๆ และไม่อยากใช้สมองด้วย”
หมี่โม่หรู่มองลงไปที่พระชายาตัวน้อยที่ง่วงนอน เขาวางร่างของนางไว้บนตักของเขาและลูบนางแผ่วเบา “หากไม่อยากใช้สมองก็ไม่ต้องคิดหรอก หากง่วงนอนก็พักผ่อนได้”
“อืม” ฉินปู้เข่อเอาหน้าแนบขาของเขาแล้วเข้าสู่ห้วงนิทราด้วยรอยยิ้ม
สายลมพัดโชยมา ยามบ่ายในช่วงปลายฤดูร้อนเป็นเวลาที่ดีที่สุดในการงีบหลับในสวน
หมี่โม่หรู่ลูบท้องนูนของพระชายาตัวน้อยแล้วยกยิ้มอย่างมีความสุข บางทีเขาอาจจะเลือกทำถูกแล้วก็ได้ อย่างน้อยเหตุการณ์ในปัจจุบันก็เป็นไปได้ด้วยดี
ช่วงประมาณสองสามวันที่เขาไปเฝ้าวิญญาณของไทเฮาเจิ้ง เป็นครั้งแรกที่เขาได้รับการดูแลจากฮ่องเต้ต้าเซี่ย หมี่โม่หรู่พบว่าทัศนคติของฮ่องเต้ต้าเซี่ยที่มีต่อเขาแตกต่างจากเดิมยิ่งนัก
แววตาที่มองเขานั้นช่างอ่อนโยนและเปี่ยมด้วยความรักเป็นพิเศษ ทำให้เกิดความรู้สึกว่าเขากำลังมองคนอื่นผ่านตัวเขา
ขณะที่ผู้คนในวังกำลังสาละวนอยู่กับงานศพ เขาก็แอบไปที่ตำหนักต้องห้ามเพื่อไปพบกับทาสใบ้
ทาสใบ้ผู้มีตาข้างเดียวไม่ได้ตกใจที่ได้พบเขาเป็นครั้งแรก เพราะเขาเหมือนไม่ใช่คนแปลกหน้าแต่เป็นคนที่กลับมาพบกันอีกครั้งหลังจากห่างหายไปนาน ทาสใบ้คุกเข่าลงแทบเท้าเขาและกอดขาร้องไห้อย่างหนักด้วยความรู้สึกตื้นตัน ร้องไห้ราวกับว่าได้เจอญาติสนิทที่หายสาบสูญไปนานแล้วหวนกลับมาอีกครั้ง
เมื่อร้องไห้ไปได้สักพัก ทาสใบ้ก็ฟื้นคืนสติแล้วเช็ดน้ำตาของเขาและจ้องมองเขาอย่างจริงจัง ดวงตาที่เปี่ยมไปด้วยความปีติยินดีของเขาที่เริ่มสงบลงเปลี่ยนเป็นเริ่มอ่อนไหวและตื่นเต้นอีกครั้ง
“ข้าเหมือนเขาหรือ” หมี่โม่หรู่ขยับปากของเขาโดยไม่ส่งเสียง
ทาสใบ้พยักหน้าแล้วส่ายหัวและสุดท้ายก็ขยับริมฝีปากของเขา “ไม่เหมือนทั้งหมด แต่ก็เกือบจะเหมือนกันทุกประการ”
หลังจากสื่อสารอย่างง่าย ๆ กับทาสใบ้ และได้เห็นตำหนักที่เป็นของตกทอดจากเจ้าของเก่าแล้ว การคาดเดาที่กล้าหาญก็เกิดขึ้นในใจของหมี่โม่หรู่ บางทีเขาอาจจะเป็นลูกของหมี่อี้เหิงจริง ๆ โดยเป็นลูกของหมี่อี้เหิงกับพระสนมเสียนผินผู้เป็นพระมารดาของเขา
แต่อาจไม่ได้เป็นแบบที่เขาและบุคคลภายนอกเคยเข้าใจมาตลอดว่าทั้งสองลักลอบรักกัน แต่มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจากแผนการหลอกลวงของฮ่องเต้ต้าเซี่ย
ฮ่องเต้ต้าเซี่ยทราบว่าหมี่อี้เหิงชอบพระสนมเสียนผิน บางทีอาจจะด้วยความโกรธหรือเหตุผลอื่นเขาจึงยอมรับพระสนมเสียนผินให้เป็นพระสนมของเขา แต่แท้จริงแล้วเขาไม่เคยชอบพระสนมเสียนผินเลย จนกระทั่งเขารู้ว่าการกระทำเช่นนี้ทำร้ายหมี่อี้เหิง ด้วยความต้องการฟื้นฟูความสัมพันธ์ของตนกับหมี่อี้เหิง เขาจึงอาจจะบอกว่าทั้งสองยังคงสามารถสื่อสารกันได้ตามปกติ
เขาถึงกับยอมให้พระสนมเสียนผินตั้งครรภ์ลูกของหมี่อี้เหิงได้ และยังอนุญาตให้นางคลอดเด็กคนนี้ได้อีกด้วย
ต่อมาการหายตัวไปอย่างกะทันหันของหมี่อี้เหิงก็ทำให้ฮ่องเต้ต้าเซี่ยกลับมากังวลอีกครั้ง ความรู้สึกว่าตนถูกหลอก ถูกทรยศและถูกทอดทิ้งสะสมอยู่ในใจของเขา โดยที่ไม่อาจระบายออกมาให้ผู้ใดฟังได้
ดังนั้นความขุ่นเคืองที่มีต่อหมี่อี้เหิงจึงถูกย้ายไปลงที่หมี่โม่หรู่ ผู้ที่เขาละเลยและดูถูกมาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก บางทีเขาอาจกระทำเช่นนี้เพื่อปกป้องหมี่โม่หรู่ และป้องกันไม่ให้ไทเฮาเจิ้งโจมตีโม่หรู่น้อย
จนกระทั่งไทเฮาเจิ้งสิ้นพระชนม์ ความรู้สึกที่ฮ่องเต้ต้าเซี่ยเก็บกดและซ่อนไว้เป็นเวลาหลายปีก็ระเบิดออกมาอีกครั้ง ในสายตาของเขาตอนนี้ หมี่โม่หรู่ไม่ได้เป็นเพียงพระโอรสของเขาเท่านั้น แต่ยังเป็นพระโอรสของหมี่อี้เหิงอีกด้วย ซึ่งถือว่าเป็นพระโอรสที่เชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างเขาและหมี่อี้เหิงเข้าด้วยกัน
บัดนี้ฮ่องเต้ต้าเซี่ยได้ระบายความคิดถึงและความรักที่มีต่อหมี่อี้เหิงมาหลายปีให้กับหมี่โม่หรู่ ดังนั้นจึงยอมอดทนต่อการกล้าเผชิญหน้าที่ค่อนข้างทะนงตนของเขา
………………………………………………………………………….