กู้เจียวไปโรงหมอตั้งแต่เช้าตรู่
ตอนเช้ามีคนไข้มาหาสองสามคน ตอนบ่ายไม่มีงานอะไรกู้เจียวจึงพักผ่อนที่เรือนเล็กๆ ของตัวเอง
สถานที่ที่มีกำแพงกั้นกับนางคือสวนดอกไม้เล็กๆ ของสำนักบัณฑิตสตรี
ในสวนดอกไม้มีศาลารับลมอยู่หลังหนึ่ง
ยามปกติไม่มีใครไปเท่าใดนัก ยามนี้กลับมีแม่นางผู้หนึ่งดีดพิณอยู่ที่นั่น
นางดีดไม่เป็นจังหวะจะโคนเอาเสียเลย ติดๆ ขัดๆ เรื่องความต่อเนื่องนั้นไม่ต้องพูดถึง แม้แต่เสียงก็ยังเพี้ยนอีกต่างหาก
กู้เจียวนอนหลับตาเอาแรงอยู่บนเก้าอี้หวาย สุดท้ายก็โดนเสียงพิณของแม่นางผู้นี้ทรมานทรกรรมจนสุดจะทน
นางผลักประตูห้องออกมามองไปทางกำแพงสำนักพลางเอ่ย “ดีดผิดแล้ว”
เห็นได้ชัดว่าแม่นางคนนั้นไม่คาดคิดว่าจะมีคนได้ยินตัวเองดีดพิณ นางตกใจสะดุ้งจนปลายนิ้วลื่นพรืดไปดีดโดนเสียงบาดหูเข้า
กู้เจียวรู้สึกว่าขนตัวเองลุกตั้งพองขึ้นมาหมดแล้ว!
“ใครน่ะ” แม่นางคนนั้นถาม
นางมองหาไปทั่ว ทว่าไม่เห็นใครอยู่ละแวกนี้เลย
“เสียงพิณของเจ้ามันเพี้ยน” กู้เจียวบอก
แม่นางคนนั้นจึงได้รู้ว่าเป็นคนจากหลังกำแพงกำลังเอ่ยกับนาง
นางนิ่งอึ้งไป ก่อนจะถาม “เพี้ยนรึ พิณนี้ข้าเพิ่งซื้อมาใหม่นะ”
คุณภาพของพิณตัวนี้ไม่ค่อยดีเท่าใดนัก คุณหนูตระกูลสูงศักดิ์คนอื่นอาจจะไม่มีทางซื้อพิณที่คุณภาพแย่เช่นนี้ กู้เจียวเดาได้ว่าฐานะอีกฝ่ายคงไม่สูง มิฉะนั้นคงไม่มีทางมาแอบหลบฝึกพิณอยู่ในมุมนี้หรอก
“เอามาสิ” กู้เจียวบอก
“จะ…จะเอาไปอย่างไรเล่า” แม่นางคนนั้นถาม
กู้เจียวมองกำแพงสำนักที่สูงกว่าตัวคน แล้วล้มเลิกความคิดจะโดดกำแพงให้คนเขาตกใจทันที ก่อนเอ่ยว่า “เห็นลูกบิดพิณหรือไม่”
ทางด้านนั้นเงียบไปสักพัก “เจอแล้ว”
กู้เจียวเอ่ยว่า “ข้าจะบอกแล้วเจ้าปรับนะ ดีดแบบเกี่ยวสายพิณสายที่สามทีซิ”
“หือ” เห็นได้ชัดว่าแม่นางคนนั้นเป็นมือใหม่
พิณโบราณรุ่นแรกๆ มีสายเพียงห้าสาย ต่อมาเหวินหวังก็เพิ่มมาอีกสาย อู่หวังเพิ่มอีกสาย ด้วยเหตุนี้จึงกลายเป็นเจ็ดเส้น และเรียกว่าพิณเจ็ดสาย
แต่ละสายล้วนมีชื่อเรียกของมัน แบ่งเป็นกง ซัง เจี่ยว จื่อ อวี่ เหวิน อู่
กู้เจียว “สายที่สาม เส้นเจี่ยวน่ะ”
“อ๋อ อ๋อ!” แม่นางคนนั้นจึงดีดเกี่ยวด้วยปลายนิ้ว
กู้เจียว “เสียงสูงเกินไป เจ้าคลายลูกบิดพิณหน่อย”
แม่นางคนนั้นคลายลูกบิดพิณเสร็จก็ลองดีดใหม่อีกรอบ “เช่นนี้หรือ”
กู้เจียวเอ่ยต่อ “คลายเยอะเกินไปแล้ว เสียงต่ำไปแล้วนั่น ให้มันตึงขึ้นมาหน่อย”
“ออ” แม่นางคนนั้นหมุนลูกบิดพิณอย่างระมัดระวัง
คราวนี้ในที่สุดเสียงก็ถูกเสียที
จากนั้นนางก็ปรับเสียงพิณสายอื่นๆ ที่เหลืออีกหกสายตามที่กู้เจียวชี้แนะ
นางดีดเพลงที่เรียนในคาบรอบหนึ่ง ก่อนจะร้องขึ้นด้วยความดีใจ “เพราะขึ้นกว่าเดิมจริงๆ ด้วย!”
กู้เจียวสีหน้าหม่นหมอง
แค่นี้ก็เรียกว่าเพราะแล้วรึ
เจ้าเข้าใจคำว่าเพราะผิดไปหรือเปล่า
“แม่นาง ขอบคุณมาก! เดิมทีข้าท้อแท้ไปแล้ว กะว่าฝึกไปอย่างนั้นก็จะล้มเลิกแล้ว ยามนี้ข้าเปลี่ยนใจแล้วล่ะ! บ่ายวันนี้ข้าจะไม่ไปไหนทั้งนั้น จะฝึกพิณมันอยู่ตรงนี้แหละ!”
กู้เจียว ข้ามาเสียใจภายหลังในตอนนี้ยังทันหรือไม่
กู้เจียวที่โดนเสียงพิณกระชากวิญญาณสำนักข้างๆ ทรมานมาตลอดทั้งบ่าย ยามนางเดินออกมาใบหน้าดวงน้อยก็บึ้งตึงไปหมดแล้ว
ในห้องดนตรีของสำนักศึกษานั้น กู้จิ่นอวี๋ก็เพิ่งจะฝึกพิณเสร็จเช่นกัน
ขอแค่นางฝึกพิณก็จะมีคนกลุ่มใหญ่กรูกันมาชื่นชม
ว่ากันว่าไม่ใช่เรื่องเกินจริงเลยที่ว่าเสียงพิณของนางอวลอยู่ในโสตสามวันก็ไม่จางหาย
“ท่านหญิงฮุ่ย เหตุใดเจ้าจึงดีดได้ดีเพียงนี้เล่า เพลงที่เมื่อเช้าท่านอาจารย์เพิ่งจะสอน บ่ายมาเจ้าก็เล่นได้คล่องแล้ว ปกติเจ้าขยันหมั่นเพียรลำบากลำบนฝึกฝนใช่หรือไม่”
“นั่นสิ นั่นสิ ท่านหญิงฮุ่ย เจ้าบอกความรู้กับพวกเราบ้างสิ!”
คุณหนูตระกูลสูงศักดิ์สองคนมองกู้จิ่นอวี๋อย่างอิจฉา
กู้จิ่นอวี๋กอดพิณเงาจันทราฝูซีไว้ในอก พร้อมกับยิ้มบางเอ่ย “ทุกคนไม่ต้องเกรงใจเพียงนี้หรอก เรียกชื่อข้าก็ได้ อันที่จริงข้าไม่ได้ฝึกพิณมานานแล้ว คงยากที่พวกเจ้าจะไม่ดูถูก”
คุณหนู ก. “สวรรค์ นึกไม่ถึงว่าระดับนี้จะไม่ได้เล่นมานานแล้ว หากเจ้าฝึกขึ้นมาจะเก่งกาจถึงเพียงใดกัน”
คุณหนู ข. “คุณหนูกู้ พิณในมือเจ้าคือเงาจันทราฝูซีกระมัง เป็นพิณที่ปรมาจารย์เย่ว์อิ่งอันดับหนึ่งแห่งแคว้นเฉินประดิษฐ์ขึ้นด้วยตัวเอง มีเพียงตัวเดียวในหกแคว้นนี้!”
ทุกคนอิจฉากันจนน้ำลายแทบหก
คุณหนู ค. “คุณหนูกู้ ขอพวกเราดูหน่อยได้หรือไม่”
“แน่นอนอยู่แล้ว” กู้จิ่นอวี๋ยื่นพิณในมือออกมา
ทุกคนต่างล้อมไปพินิจชื่นชมพิณเงาจันทราฝูซีในตำนานกันอย่างละเอียด
สมกับที่เป็นพิณอันดันหนึ่งแห่งแคว้นทั้งหก ผิวของพิณ สายพิณ ขาพิณ หัวพิณ ปลายพิณล้วนใกล้เคียงกับคำว่าสมบูรณ์แบบทั้งสิ้น
เหตุใดจึงใกล้เคียงสมบูรณ์แบบน่ะหรือ เพราะพิณที่สมบูรณ์อย่างแท้จริงมีเพียงพิณฝูซีเท่านั้นน่ะสิ
ทว่าพิณฝูซีหายสาบสูญไปนานแล้ว ดังนั้นเงาจันทราจึงกลายเป็นพิณอันดับหนึ่งแห่งแคว้นทั้งหกไปโดยปริยาย
ภายในสำนักบัณฑิตสตรี คนที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดมีด้วยกันสองคน คนแรกเป็นกู้จิ่นอวี๋คุณหนูแห่งจวนโหว กับอีกคนคือจวงเย่ว์ซีหลานสาวของราชครูจวง
กาพย์กลอนของจวงเย่ว์ซียอดเยี่ยมมาก ฝีมือพิณของกู้จิ่นอวี๋โดดเด่นกว่าใคร ทั้งสองฝีมือพอๆ กันและต่างอยู่ในฐานะเท่าเทียมกันแถมยังตั้งป้อมประจันหน้ากันอีก
แต่หากว่ากันด้วยเรื่องมนุษยสัมพันธ์ มั่นอกมั่นใจในตัวเองสูงลิ่ว ไม่อยากผูกมิตรกับใครแล้ว จวงเย่ว์ซีเข้าถึงยากกว่ากู้จิ่นอวี๋เป็นไหนๆ
ยามนี้จวงเย่ว์ซีออกมาจากห้องพิณอีกห้องหนึ่ง ในมือกอดพิณเอาไว้
ด้านหลังนางมีจวงเมิ่งเตี๋ยที่กอดพิณแบบเดียวกันเอาไว้
เรื่องดีดพิณนั้นจวงเมิ่งเตี๋ยมาดีดให้คนมันครบๆ ไปก็เท่านั้น ตั้งแต่เข้าห้องพิณมาก็เริ่มงีบหลับจนกระทั่งเสร็จแล้วจึงได้กระปรี้กระเปร่าขึ้นมาบ้าง
ทั้งสองเดินผ่านห้องพิณของกู้จิ่นอวี๋ เห็นนางโดนบรรดาคุณหนูเป็นกลุ่มรุมล้อมเพื่อขอให้สอนพิณ
จวงเมิ่งเตี๋ยก็กลอกตาอย่างไม่แยแส “ชิ เก่งตรงไหนกัน เด็กสาวชาวบ้านที่มาจากชนบท ทำตัวหน้าใหญ่ใจโต แย่งฐานันดรของคนอื่นเขาไปแล้วยังมาภาคภูมิใจในตัวเองอยู่ตรงนี้อีก คิดว่าตัวเองเป็นคุณหนูจริงๆ ไปเสียได้!”
จวงเย่ว์ซีปรายตามองน้องสาวไม่เอาไหนของตัวเองแวบหนึ่ง “แล้วเจ้าดีกว่านางเท่าใดกันเชียว”
จวงเมิ่งเตี๋ยมุมปากกระตุก “มีพี่สาวที่ไหนว่าน้องสาวแท้ๆ ของตัวเองเหมือนเจ้าบ้าง ต่อให้ข้าไม่ดีเพียงใดข้าก็เป็นลูกแท้ๆ ที่พ่อแม่คลอด! ชาติกำเนิดข้าสูงส่ง! ข้าเป็นลูกสาวสายตรงตระกูลสูงศักดิ์ขนานแท้!”
จวงเย่ว์ซีเอ่ยเสียงเย็นชา “ลูกสาวสายตรงตระกูลสูงศักดิ์รึ แม้แต่กลอนแค่ไม่กี่บทยังท่องไม่ได้เลย ไปที่ไหนก็อย่าบอกนะว่าเจ้าเป็นคุณหนูของจวนจวง จวนจวงขายหน้าเพราะเจ้าตายเลย!”
“เจ้า…” จวงเมิ่งเตี๋ยโมโหจนขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
จวงเย่ว์ซีไม่ชอบกู้จิ่นอวี๋ และนางก็ไม่ชอบจวงเมิ่งเตี๋ยด้วย มีน้องสาวไม่เอาไหนอย่างนางทำให้นางรู้สึกขายขี้หน้าอยู่ประจำ
สองพี่น้องเดินลงบันไดไปชั้นล่าง
จวงเมิ่งเตี๋ยที่เดิมทีถูกพี่สาวยั่วโมโหจนแทบจะเป็นจะตายอยู่แล้ว ทว่าพอนางเห็นรถม้าของอันจวิ้นอ๋องที่มาจอดอยู่ริมถนนก็พลันลืมโกรธไปหมดสิ้นทันที
“พี่ชาย!” นางโยนพิณใส่มือคนรับใช้แล้ววิ่งไปหาอันจวิ้นอ๋อง
อันจวิ้นอ๋องลงมาจากรถม้า
เมื่อคืนหิมะตก ถนนหนทางกับหลังคาบ้านเรือนล้วนมีแต่สีขาวโพลน ทว่าเขากลับยืนตรงตระหง่านอยู่ท่ามกลางหิมะขาวประกายแวววาวเงินระยับ ราวกับแสงสว่างเรืองรองนี้สีหิมะไม่อาจช่วงชิงไปได้
จวงเย่ว์ซีเผยสีหน้าปรีดาขึ้นมาประดับบนใบหน้าเช่นกัน
จวงเมิ่งเตี๋ยจับแขนอันจวิ้นอ๋องเอาไว้ “พี่ชาย! มาได้อย่างไรน่ะ”
อันจวิ้นอ๋องเอ่ยเสียงนุ่ม “ข้าผ่านมาน่ะ จึงแวะมาดูพวกเจ้า วันนี้เลิกเรียนแล้วหรือ”
“เลิกเรียนแล้วเจ้าค่ะ” จวงเหย่ว์ซีเดินมาหาพลางตอบ
นางไม่ได้ส่งพิณให้สาวใช้ อันจวิ้นอ๋องเห็นนางถือเหนื่อยจึงยื่นมือไปหาแล้วเอ่ย “ส่งมาให้ข้าสิ”
จวงเย่ว์ซีแย้มยิ้มจางก่อนส่งพิณให้พี่ชายตัวเอง
เพราะต้องถือพิณ อันจวิ้นอ๋องจึงดึงแขนออกจากมือจวงเมิ่งเตี๋ย
จวงเย่ว์ซีพออกพอใจเป็นอย่างมาก
อันจวิ้นอ๋องรับพิณมาแล้วก็ไม่ได้รีบร้อนจะพาน้องสาวทั้งสองขึ้นรถ เขามองซ้ายมองขวาคล้ายว่ากำลังรอใครอยู่
จวงเย่ว์ซีถามขึ้น “พี่ชาย กำลังหาใครอยู่หรือ”
อันจวิ้นอ๋องตอบด้วยน้ำเสียงปกติ “ข้าได้ยินว่าคุณหนูกู้ก็มาที่สำนักศึกษาสตรีเช่นกัน”
จวงเมิ่งเตี๋ยพลันเบ้ปากทันที “เจ้าหมายถึงกู้จิ่นอวี๋นั่นน่ะรึ ข้าเกลียดนางจะตายชัก! เหตุใดพี่ชายต้องสนใจนางด้วย”
จวงเย่ว์ซีมองอันจวิ้นอ๋องอย่างสงสัย
ก็เห็นอันจวิ้นอ๋องมองจวงเมิ่งเตี๋ยแล้วหัวเราะเบาๆ “นางเป็นสหายเจ้ามิใช่หรือไร ข้าจึงถามดูก็เท่านั้น”
จวงเมิ่งเตี๋ยถากถาง “ข้าไม่มีสหายอย่างนาง!”
“ตระกูลกู้มีนางมาเรียนคนเดียวรึ” อันจวิ้นอ๋องถาม
จวงเมิ่งเตี๋ยแค่นเสียง “แล้วจะให้มีใครอีกล่ะ เด็กคนนั้นที่โตในชนบทจะได้เทียบเชิญเข้าเรียนได้อย่างไร”
จวงเย่ว์ซี “แล้วเจ้าได้มาอย่างไรล่ะ”
จวงเมิ่งเตี๋ยจุกในลำคอทันที พี่สาวนางนี้ไม่หักหน้านางสักครั้งจะได้หรือไม่
อันจวิ้นอ๋องคล้ายกำลังคิดบางอย่างอยู่ หรือว่า…นางจะขายเทียบเชิญเข้าเรียนของตัวเองให้กับจวงเมิ่งเตี๋ยไป
ที่อันจวิ้นอ๋องไม่รู้ก็คือ เทียบของเขานั้นกู้เจียวเอามาขายให้ตู้เสี่ยวอวิ๋น ส่วนเทียบเชิญเข้าเรียนของจวงเมิ่งเตี๋ยนั้นท่านโหวกู้เป็นคนไปขอมาจากซูเฟย
กู้จิ่นอวี๋เปิดประตูห้องปีกข้างชั้นสองของหอดนตรี เหลือบไปเห็นอันจวิ้นอ๋องมารับน้องสาวทั้งสองโดยไม่ได้ตั้งใจ
ในใจของกู้จิ่นอวี๋พลันคล้ายกับว่ามีกวางตัวน้อยมาวิ่งกันวุ่นอึกทึก
ไม่ได้พบเสียนาน อันจวิ้นอ๋องเหมือนจะหล่อเหลาขึ้นไม่น้อย กลิ่นอายก็แข็งแกร่งขึ้นด้วย
เขามองซ้ายมองขวาหาผู้ใดกันนะ
ข้ารึ
ใจกู้จิ่นอวี๋เต้นแรงขึ้นกว่าเดิม
แล้วได้ยินจวงเมิ่งเตี๋ยเอ่ยขึ้นแว่วๆ “เจ้าหมายถึงกู้จิ่นอวี๋นั่นน่ะรึ ข้าเกลียดนางจะตายชัก! เหตุใดพี่ชายต้องสนใจนางด้วย”
ลมหายใจกู้จิ่นอวี๋ติดขัด
อันจวิ้นอ๋องกำลังให้ความสนใจนาง
เขาไม่ได้มารับน้องสาว แต่มาดูนางโดยเฉพาะ!
กู้จิ่นอวี๋รีบเก็บพิณให้เรียบร้อยแล้วไปเติมเครื่องประทินโฉมเพิ่มที่ห้องน้ำชา แล้วจัดปิ่นปักผมบนศีรษะครู่หนึ่ง จากนั้นก็ลงจากหอไปหาอันจวิ้นอ๋อง
นึกไม่ถึงว่าอันจวิ้นอ๋องจะไปเสียแล้ว
กลับกลายเป็นจวงเมิ่งเตี๋ยที่เอ่ยขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจ “เด็กคนนั้นเป็นเด็กจัดยาอยู่ในโรงหมอข้างๆ แหน่ะ วันนั้นข้าเห็นนางแล้วด้วย” ดังนั้นอันจวิ้นอ๋องจึงไปโรงหมอเสียแล้ว
ทว่าอันจวิ้นอ๋องกลับไปเสียเที่ยว
กู้เจียวทนเสียงพิณหลังกำแพงนั่นไม่ไหวจึงได้เลิกงานก่อนเวลาไปแล้ว!
ยามนี้ผู้ชายทั้งสี่คนในบ้านยังไม่เลิกเรียน กู้เจียวจึงไปตุ๋นน้ำแกงที่ห้องครัวก่อน ตุ๋นไปได้ครึ่งทาง แม่นมฝางก็มาหา
“แย่แล้วเจ้าค่ะคุณหนูใหญ่ บนร่างฮูหยินมีของแปลกๆ ผุดขึ้นมาเจ้าค่ะ! รีบไปดูเร็ว!”
กู้เจียวหรี่ไฟในเตาให้เบาลง ให้น้ำแกงในหม้ออุ่นอยู่ตลอด แล้วนั่งรถม้าไปจวนโหวกับแม่นมฝาง
แม่นางเหยาเห็นกู้เจียวก็ตำหนิแม่นมฝางขึ้นยกหนึ่ง “บอกว่าข้าไม่เป็นไร เจ้าอย่าเอะอะอะไรนิดหน่อยก็ไปหาเจียวเจียวจะได้หรือไม่”
“ระวังไว้ย่อมดีกว่าอยู่แล้ว” กู้เจียวเอ่ยพลางเดินไปหาแล้วตรวจดูให้แม่นางเหยา “เป็นผดน่ะ ไม่เป็นไรหรอก ทายานิดหน่อยก็หายแล้ว”
แม่นางเหยามองไปยังแม่นมฝาง “ข้าบอกกแล้วว่าไม่เป็นไร ดูสิเจ้าทำกระต่ายตื่นตูมไปได้”
แม่นมฝางพรูลมหายใจยาวเหยียด “ก็ข้าเข็ดแล้วนี่เจ้าคะ”
ตั้งแต่ที่อนุหลิงถูกแย่งอำนาจไปก็อยู่ไม่สุขเท่าใดนัก มักจะไปเรือนของกู้เฉิงเฟิงกับกู้เฉิงหลินอยู่บ่อยๆ ใส่ร้ายป้ายสีให้สองพี่น้องฟังจนยามนี้สองพี่น้องแทบจะไล่แม่นางเหยาออกจากจวน
นางตั้งใจว่าตัวเองจะไม่ลงมือ แต่ยืมมือคนอื่นแทน
แม่นมฝางระวังอนุหลิงอยู่ตลอด แต่ก็กลัวว่าจะระวังไว้ไม่อยู่
กู้เจียวหยิบเอายาทาผดออกมาจากกล่องยาใบเล็กหนึ่งตลับแล้วส่งให้แม่นางเหยา “ต่อไปนี้หากมีปัญหาอะไรก็บอกข้าได้เลยทันที”
มีความละเอียดอ่อน สุขุมรอบคอบจึงกุมเรือหมื่นปีได้
นางไม่สนใจว่าจะต้องมาหากี่รอบ
แม่นมฝางมาส่งกู้เจียวขึ้นรถม้า
เมื่อกู้เจียวกลับไปถึงตรอกปี้สุ่ย
หญิงชราก็ถาม “แม่เจ้าไม่เป็นอะไรกระมัง”
กู้เจียวตอบ “นางไม่เป็นไรเจ้าค่ะ”
ทว่าสิ่งที่แม้แต่กู้เจียวก็ไม่คาดคิดนั้นคือ แม่นางเหยาไม่เป็นไรก็จริง แต่เด็กชายในบ้านกลับเกิดเรื่องขึ้นเสียแล้ว
คนที่เกิดอาการขึ้นคนแรกคือเสี่ยวจิ้งคง
พอมื้อเย็นมาถึงความอยากอาหารของเสี่ยวจิ้งคงก็ไม่ค่อยจะมากมายนัก กู้เจียวลูบหัวเขา ไม่มีไข้ ให้เขาไปนอนแต่หัววันก็แล้วกัน
เขานอนไปจนถึงกลางดึก จู่ๆ ก็เขย่าเซียวลิ่วหลังตื่น
เซียวลิ่วหลังมองเขาอย่างสงสัย “เป็นอะไรไปรึ”
เขานั่งอยู่บนเตียงพร้อมกับเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ข้าคัน”
เซียวลิ่วหลังจุดตะเกียงน้ำมันแล้วแหวกเสื้อเขาดู พบว่าบนแขนกับบนท้องของเขามีตุ่มน้ำใสๆ ขึ้นมาหลายตุ่ม
เซียวลิ่วหลังห่มผ้าให้เขาให้เรียบร้อยแล้วเรียกกู้เจียวให้มาหา
กู้เจียวตรวจเสร็จก็วินิจฉัยแล้วบอก “อีสุกอีใสน่ะ”
เซียวลิ่วหลังขมวดคิ้ว “เจ้าหมายถึง…โรคไข้ออกตุ่มน่ะรึ”
กู้เจียวพยักหน้า “อืม จะเรียกแบบนี้ก็ได้”
เสี่ยวจิ้งคงร่างกายแข็งแรง ตั้งแต่ลงเขามาจนถึงตอนนี้ก็ไม่เคยป่วยเลยสักครั้ง ใครจะคิดว่าพอได้ป่วยก็เป็นอีสุกอีใสเลย
แม้ว่าอีสุกอีใสจะไม่น่ากลัวเท่าไข้ทรพิษ แต่เวลารักษาก็ไม่ได้ง่ายดายเช่นกัน
“อีสุกอีใสติดต่อกันได้ ตอนเด็กๆ เจ้าเคยเป็นหรือยัง” กู้เจียวถามเซียวลิ่วหลัง
“เคยแล้ว” เซียวลิ่วหลังบอก
ก็เป็นตอนอายุพอๆ กันกับเสี่ยวจิ้งคงนี่แหละ
“แล้วเจ้าล่ะ” เซียวลิ่วหลังมองกู้เจียว
“เหมือนว่าข้าก็เคยเป็นแล้วเช่นกัน” กู้เจียวค้นหาความทรงจำของร่างเดิมในหัว เป็นก่อนที่กู้ซานหลังกับภรรยาจะเสียชีวิต เพราะได้รับการดูแลที่ดีเยี่ยม สุดท้ายนางจึงหายดี
“เหมือนว่ากู้เสี่ยวซุ่นจะยังไม่เคยเป็นนะ” นางเอ่ย
อีสุกอีใสติดต่อกันได้ คนที่ไม่เคยเป็นนั้นทางที่ดีอย่าได้ใกล้ชิดกับเสี่ยวจิ้งคงดีกว่า
“ท่านย่าเคยเป็นหรือยัง” นางถามเซียวลิ่วหลัง
ประโยคนี้ถามได้น่าสนใจขึ้นมาเสียแล้ว
หญิงชราเป็นแค่ผู้ป่วยโรคเรื้อนที่บังเอิญช่วยไว้ เซียวลิ่วหลังจะไปรู้จากไหนว่านางเคยเป็นอีสุกอีใสมาก่อนหรือไม่
เว้นเสียแต่ว่านางจะมั่นใจว่าเซียวลิ่วหลังรู้จักนางตั้งแต่แรก
เซียวลิ่วหลังไม่ได้ถามนางว่ารู้อะไรแล้วใช่หรือไม่ และไม่ได้จงใจเปลี่ยนเรื่อง เขาเพียงแค่เอ่ยด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ “ข้าไม่รู้”
ไม่รู้จริงๆ
กู้เจียวครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก็นับว่าไม่แปลก ก็เหมือนอย่างนางไม่รู้ว่านายท่านกู้เคยเป็นมาก่อนหรือไม่
นางส่งเสียงอ๋อออกมา “ถ้าอย่างนั้นก็เผื่อไว้ก่อนแล้วกัน ให้ท่านย่าระมัดระวังหน่อย” อีสุกอีใสครานี้รุนแรงนัก เพราะเช้าวันต่อมา กู้เสี่ยวซุ่นกับกู้เหยี่ยนก็ติดกันเสียแล้ว