ตอนที่ 192 ผมชื่อเจิ้งซิง
ตอนที่ 192 ผมชื่อเจิ้งซิง
ซูเถาพูดด้วยรอยยิ้ม “ถ้าอยากออกไปเดินเล่น ก็บอกฉันสิคะ แสดงให้ฉันดูตั้งนาน ไปกันเถอะค่ะ ฉันจะพาคุณไปที่นั่น พี่พ่านพ่านก็ไปด้วยกันสิคะ”
หลิวพ่านพ่านตกตะลึง เธอแตะล็อกเก็ตรูปเล็ก ๆ ในกระเป๋าของเธอ ดวงตาของเธอเจ็บปวดเล็กน้อย “ขอบคุณนะเถ้าแก่ซู”
เมื่อมาถึงภูเขาผานหลิวในเวลาเก้าโมงกว่า มีคนต่อคิวยาวอยู่ข้างนอก มีคนจำนวนมากที่โรงรถ ปั๊มน้ำมัน และแท่นชาร์จไฟฟ้ามีการต่อคิวใช้งานตลอด และมียานพาหนะหลั่งไหลเข้ามาเรื่อย ๆ
ซูเถาชี้ไปที่โรงรถ และพูดกับหลิวพ่านพ่าน
“พี่พ่าน ฉันเจอในโรงรถแห่งนี้ แต่ตอนนี้มันต่างออกไปแล้ว พี่จะเข้าไปดูไหม”
หลิวพ่านพ่านพยักหน้าอย่างแรง
ซูเถาจึงเรียกหาหม่าต้าเพ่าและขอให้เขาเข็นผู้อาวุโสเหม่ยไปก่อน จากนั้นจึงพาหลิวพ่านพ่านไปที่โรงรถด้วยตัวเอง
ไม่มีที่ว่างแม้แต่แห่งเดียวในโรงรถใต้ดินซึ่งครอบคลุมพื้นที่มากกว่า 800 ตารางเมตร และสถานที่ที่ไม่สามารถจอดรถได้ก็แออัดไปด้วยผู้คนทุกประเภททำให้มีชีวิตชีวามาก
หลิวพ่านพ่านมองดูทุกแห่งอย่างระมัดระวัง และฉากของเยี่ยนเยี่ยนถูกทิ้งให้อยู่คนเดียวยังคงแวบเข้ามาในความคิดของเธอ มือและเท้าของเธอเย็นเฉียบ
หากไม่มีรถและผู้คนเหล่านี้ เธอคงกลัวสถานที่ขนาดใหญ่นี้มาก
เมื่อดูจบหลิวพ่านพ่านก็น้ำตาไหลออกมา
ซูเถาถอนหายใจ เธอไม่สามารถพูดคำปลอบใจได้
“เถ้าแก่ซู… ฉันขอถามหน่อยได้ไหมว่าคุณเห็น…. ศพเด็กบ้างไหม ตอนที่คุณหาคนมาจัดการศพ? สวมเสื้อสีน้ำเงิน…”
ซูเถาส่ายหัว “ฉันเองก็ไม่แน่ใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่ามีศพเด็กไหมนะคะ เพราะจำอัตลักษณ์ของพวกเขาไม่ได้เลย และเสื้อผ้าก็เปียกโชกไปด้วยเลือด จนไม่สามารถมองเห็นสีดั้งเดิมได้”
หลิวพ่านพ่านหลับตาและน้ำตาก็หลั่งไหลลงมา ริมฝีปากของเธอสั่นระริกอย่างคุมไม่ได้
ซูเถาลูบหลังของอีกฝ่ายแผ่วเบา
“พี่พ่าน พี่เองก็ยังสาว พี่สามารถแต่งงานได้ และมีลูกที่น่ารักอย่างเยี่ยนเยี่ยนได้อีก”
หลิวพ่านพ่านส่ายหัว
“ฉันไม่เสียใจกับการจากไปของเขา ฉันเตรียมใจไว้ตั้งแต่เขาป่วย ฉันเกลียดที่ไม่ได้อยู่กับเขาในช่วงสุดท้ายของชีวิต ทุกครั้งที่คิดถึงเรื่องนี้ตอนกลางคืนฉันมักจะนอนไม่หลับเพราะความเจ็บปวด”
“ถ้าพระเจ้าให้โอกาสฉัน ฉันก็คงไม่อยากอยู่คนเดียว ฉันก็จะเลือกที่จะอยู่เป็นเพื่อนเขา…”
ซูเถากอดไหล่ของเธอ และปล่อยให้เธอร้องไห้ระบายอารมณ์ชั่วขณะ
หลิวพ่านพ่านอดกลั้นอย่างมาก เธอรีบจัดการอารมณ์ของเธออย่างรวดเร็ว เช็ดน้ำตา และแสดงรอยยิ้มที่เปราะบาง
“ฉันไม่เป็นอะไรแล้ว คุณรีบไปหาผู้อาวุโสเหม่ยเร็วเข้า”
ทั้งสองขึ้นลิฟต์และมาถึงทางเข้าโรงแรมบนภูเขา ก่อนเข้าไป พวกเขาได้ยินเสียงสาปแช่งของหญิงสาว
“ใครใช้ให้เธอเก็บไป ฉันบอกให้เธอเก็บไปหรือไง หูหนวกเป็นใบ้และยังโง่เขลาอีก ทำไม เธออยากกินของเหลือของฉันเหรอ เธอสมควรได้รับมันหรือไง ต่อให้ฉันกินเหลือ ฉันก็ไม่ยอมให้ใครมาแตะต้อง น่าขยะแขยง”
อวี๋ฟางภรรยาของพ่อครัวฉินยืนอยู่ด้านข้างอย่างช่วยไม่ได้ มองดูหญิงสาวคนนั้นก่นด่า เธอได้แต่อ้าปากค้างด้วยความสับสนและหวาดกลัว
แม้ว่าเธอจะไม่ได้ยิน แต่ก็สัมผัสได้ว่าผู้หญิงคนนี้ดุเธอ
เกิดอะไรขึ้น?
เธอเพิ่งเห็นผู้หญิงคนนั้นนำก้นบุหรี่จุ่มลงในข้าวที่ยังกินไม่หมด เลยคิดว่าเธอไม่กินมันแล้ว ดังนั้นจึงไปเอามันมาทิ้ง
เธอกำลังทำอะไรผิดหรือเปล่า?
เจิ้งซิงที่อยู่ในครัวด้านหลังเพื่อช่วยพ่อครัวฉินที่กำลังเข้าห้องน้ำอยู่ แต่เมื่อเขาได้ยินเสียงดังกล่าว เขาก็วิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว และยืนต่อหน้าอวี๋ฟางพร้อมด้วยสายตาสงสัยและขมวดคิ้ว
ผู้หญิงคนนั้นแต่งตัวดีและมีสไตล์ แถมยังแต่งหน้าด้วยอีกต่างหาก เมื่อมองแวบแรกเธอดูเหมือนคนที่มีฐานะดีมากในวันสิ้นโลก
หญิงสาวมองไปที่เจิ้งซิงวัยสิบกว่าขวบด้วยความรังเกียจและพูดว่า
“ฉันคิดว่าภูเขาผานหลิวเป็นโรงแรมระดับไฮเอนด์ ความจริงแล้วมีแค่อาหารและที่พักที่ดีกว่าเท่านั้น แต่การบริการก็แย่พอ ๆ กัน มีพนักงานหูหนวกและเป็นใบ้ หรือไม่ก็เป็นขอทานตัวน้อย ฉันผิดหวังจริง ๆ”
เจิ้งซิงไม่หวาดกลัวสิ่งใด เขาเชิดหน้าขึ้นพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“คุณเป็นคนทิ้งบุหรี่ใส่ในข้าวก่อน ถ้าอยากกินก็กินดี ๆ กินให้หมดอย่าให้เหลือ คิดว่าตัวเองเหนือกว่าคนอื่นหรือไง หึ! ขอโทษป้าอวี๋ซะ!”
ผู้หญิงคนนั้นโกรธ “นายรู้ไหมว่าฉันเป็นใคร”
เจิ้งซิงไม่สนใจ “ผมไม่สนใจว่าคุณจะเป็นใคร เมื่อคุณมาถึงภูเขาผานหลิว คุณต้องปฏิบัติตามกฎของที่นี่ และคุณต้องเคารพเจ้าหน้าที่ทุกคน ถ้าคุณไม่ทำและรับไม่ได้ ก็อย่ามาอยู่ที่นี่ แล้วคุณก็ไปหาอาหารรสเลิศกินที่อื่นซะ”
ผู้หญิงคนนั้นเยาะเย้ย “นายคิดว่านายเป็นใคร ฉันผิดตรงไหน ฉันใช้เงินเพื่อใช้ชีวิตตามใจ กินทิ้งกินขว้างได้ตามฉันต้องการ ฉันอยากด่าพวกขอทานฉันก็ด่า! พวกขยะ มันคือวันสิ้นโลก! คนพวกนี้ควรสูญพันธุ์ให้หมด”
เจิ้งซิงหน้าแดงอย่างโกรธจัดและกำหมัดแน่น
“จะทนไปทำไม อยากทำอะไรก็ทำ ที่เหลือฉันรับผิดชอบเอง”
เจิ้งซิงตกตะลึง “เถ้าแก่ซู คุณมาได้ยังไง”
ซูเถาและหลิวพ่านพ่านดึงเก้าอี้ออกมาแล้วนั่งลง เธอเชิดคางขึ้นอย่างไร้อารมณ์ และมองไปที่ของเหลือที่มีก้นบุหรี่ปะปนอยู่บนโต๊ะ
“ตามสบาย นายอยากทำอะไรก็ทำ”
เจิ้งซิงผงะถอยหลัง กระโดดขึ้นจับผมของผู้หญิงคนนั้น แล้วกดศีรษะเธอลงในเศษอาหารที่เหลือ
“ห้ามกินทิ้งกินขว้าง! กินซะ! คุณรู้ไหมว่ามีกี่คนที่หิวโหยจนตายโดยไม่มีอาหาร!”
“ใครใช้ให้คุณด่าป่าอวี๋!”
“อีกอย่าง! ผมไม่ได้ชื่อว่าขยะ! ผมชื่อเจิ้งซิง!”
ผู้หญิงคนนั้นสำลักอาหารและก้นบุหรี่ที่เข้าปากเธอ
เจิ้งซิงปล่อยมือของเขา และมองไปที่ซูเถาอย่างกระวนกระวายใจ
ซูเถายิ้มให้เขาและเรียกเหล่าฉี เธอให้ทั้งสองลากผู้หญิงที่กำลังจะสลบจากการสำลักไปจัดการ
“เถ้าแก่ซู…นี่จะไม่สร้างปัญหาให้คุณใช่ไหม” จู่ ๆ เจิ้งซิงก็รู้สึกเสียใจเล็กน้อย ราวกับว่าผู้หญิงคนนั้นมีภูมิหลังที่ไม่ธรรมดา
ซูเถารู้สึกขบขัน “ทำไมนายถึงไม่กลัวที่จะทำให้เธอขุ่นเคือง แต่ตอนนี้กลับกังวลขึ้นมาล่ะ?”
เจิ้งซิงพูดอย่างจริงจัง
“ถ้าผมตำหนิเธอ เธอจะคิดว่าผมเป็นแค่ขอทาน อย่างมากสุด ก็แค่หาคนมาทุบตีผม แต่ถ้าผมทำอะไรลงไป เธอจะต้องโทษภูเขาผานหลิวอย่างแน่นอน ผมจะไม่ทำ ผมไม่อยากสร้างปัญหาให้คุณ”
ซูเถาลูบหัวของเขา “ฉันไม่กลัวปัญหา ฉันแค่กลัวว่าคนของฉันจะถูกทำร้าย นายทำได้ดีมาก ป้าอวี๋ไม่ควรถูกรังแกแบบนี้แม้ว่าเธอจะไม่ได้ยินเลยก็ตาม”
อวี๋ฟางหัวเราะคิกคักอยู่ข้าง ๆ แม้ว่าเธอจะไม่รู้ว่าพวกเขากำลังพูดถึงอะไร แต่ก็ไม่ได้ขัดขวางความจริงที่ว่าเธอเห็นเถ้าแก่ซูช่วยพวกเขา
เจิ้งซิงยิ้มอย่างสดใสและกล่าวว่า
“พี่หม่าพูดเสมอว่าคุณใจดีกับพวกเขา เห็นได้อย่างชัดเจนแล้วว่าคุณใจดีจริง ๆ”
พ่อครัวฉินยังคงมึนงงเล็กน้อยเมื่อเขาออกมาจากห้องน้ำ
“เกิดอะไรขึ้น เถ้าแก่ซูมาเหรอ คุณกินข้าวหรือยัง ผมจะทำกับข้าวให้คุณสองอย่าง รอผมสักครู่นะ”
เจิ้งซิงรีบไปล้างมือและกำลังจะไปช่วยพ่อครัวฉินที่ขยันขันแข็งราวกับผึ้งน้อย
ซูเถาอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ “เดี๋ยวก่อน”
จากนั้นเธอก็หันศีรษะและตะโกนกลับไปว่า
“ผู้อาวุโสเหม่ย คุณเดินชมพอหรือยัง หิวไหมคะ”
ผู้อาวุโสเหม่ยยิ้มและหมุนรถเข็นแล้วเดินไป “จริง ๆ แล้วฉันหิวนิดหน่อย”
จากนั้นเขาก็ค่อย ๆ ยืนขึ้น พิงผนังและเข้าไปในครัวด้านหลัง ก็เห็นเจิ้งซิงซึ่งนั่งยอง ๆ บนพื้น และหั่นผักอย่างช่ำชอง พลางเอ่ยถามอย่างใจดี
“นายอายุเท่าไหร่”
เจิ้งซิงไม่เคยพบเขามาก่อน ดังนั้นเขาจึงพูดตามตรงว่า “อายุสิบสามครับ”
ผู้อาวุโสเหม่ยรู้สึกตกตะลึงทันที “นายยังเด็กมาก… ฉันคิดว่านายอายุไม่ต่ำกว่า 16 การพูดการจาเหมือนผู้ใหญ่มาก”