ตอนที่ 169 เส้นผม
เจินซื่อเฉิงเหลือบมองเจียงซื่อด้วยหางตา

แม่นางน้อยผู้นี้เหตุใดถึงได้รู้เรื่องราวมากมายนัก

หลังจากช่วงเวลาแห่งความโศกเศร้าผ่านไป เจินซื่อเฉิงซึ่งเป็นผู้ที่คิดไตร่ตรองสิ่งต่างๆ อย่างละเอียดรอบคอบ ไม่ช้าเขาก็เข้าใจเรื่องนี้

ใช่แล้ว แม่นางเจียงกับแม่นางเซี่ยเป็นสหายที่ดีต่อกัน การจะรู้เรื่องราวบางอย่างภายในจวนหย่งชังปั๋วโดยบังเอิญนั้นถือเป็นเรื่องธรรมดามากๆ

มันก็ตลกดี ที่ตอนนี้เขามีความรู้สึกว่าเด็กสาวคนนี้ไม่ธรรมดาเลยทีเดียว

อืม แบบนี้ไม่ดีแน่ ต่อไปจะวางท่าเป็นผู้อาวุโสผู้น่ายำเกรงได้อย่างไร

“โต้วเหนียงเพิ่งจะเข้ามาในจวนเมื่อสามเดือนที่แล้ว ก็สามารถเข้าไปทำงานในครัวได้อย่างนั้นหรือ” เจินซื่อเฉิงสลัดความคิดเหล่านั้นทิ้งไปแล้วกล่าวถามต่อ

ในครัวเป็นส่วนที่จัดหาข้าวปลาอาหารให้แก่พวกเจ้านายโดยเฉพาะ ปกติแล้วแม่ครัวที่จะเข้าไปในครัวได้ก็ล้วนเป็นคนที่เชื่อใจได้ว่ามีทักษะการทำอาหารที่โดดเด่น

พ่อบ้านรีบตอบ “โต้วเหนียงมีทักษะการทำของหวานที่เยี่ยมยอดจริงๆ โดยเฉพาะคุณหนูใหญ่ที่ชื่นชอบของหวานที่นางทำเป็นพิเศษ ไม่กี่วันก่อนฮูหยินจึงให้โต้วเหนียงย้ายไปทำงานในครัวได้ขอรับ”

“หุบปาก!” เซี่ยอินโหลวตะคอกเสียงดัง ขัดจังหวะการพูดของพ่อบ้าน

เซี่ยชิงเหยาหน้าบางราวกระดาษ สั่นไปทั้งตัวพลางปิดปากร้องไห้อย่างเงียบๆ

หากฆาตรกรคือแม่ครัวผู้ที่อยู่เบื้องหน้านี้ ก็ไม่เท่ากับว่าความตะกละของนางนำพาหมาป่าเข้ามาสังหารมารดาหรอกหรือ

ความคิดนี้แทบจะทำให้ใจของนางแหลกสลายไม่เหลือชิ้นดี

พ่อบ้านรู้ว่าตนเองพูดผิดไปแล้ว จึงรีบตบปากตนเอง “โอย บ่าวมันปากพล่อย สมควรถูกตบแล้ว!”

เซี่ยอินโหลวกุมมือน้องสาว จ้องมองไปที่พ่อบ้านด้วยสายตาอันเย็นเยียบ

พ่อบ้านเหงื่อแตกพลั่ก คุกเข่าลงอย่างช่วยไม่ได้

เจินซื่อเฉิงกระแอมเล็กน้อย

แม้ว่าเขาจะเข้าใจความเจ็บปวดของครอบครัวของเหยื่อที่ถูกฆาตรกรรมดี แต่ว่านี่เป็นช่วงเวลาที่สำคัญ มาขัดขวางเช่นนี้ก็ทำให้เขาอดโมโหขึ้นมาไม่ได้!

ถ้าใต้เท้าไม่รู้สึกโกรธเลย ก็คงเป็นพระโพธิสัตว์ไปแล้ว

“โต้วเหนียงเป็นคนที่ไหน ก่อนจะเข้าจวนมาเคยทำอะไรมาก่อน”

พ่อบ้านไม่กล้าเปล่งเสียงใดๆ พลางจ้องมองไปที่โต้วเหนียง

โต้วเหนียงกลับตอบคำถามเจินซื่อเฉิงอย่างให้ความร่วมมือ “ครอบครัวของสามีบ่าวเป็นคนหนานเหอ สองปีที่แล้วข้าได้เสียสามีไป จึงมาเมืองหลวงหาเลี้ยงชีพโดยการขายขนมหวาน”

“มาเมืองหลวงคนเดียวอย่างนั้นหรือ”

“เจ้าค่ะ”

เจินซื่อเฉิงลูบเคราของตนเอง “ดูแล้วอายุของเจ้าก็ไม่ใช่น้อยๆ เป็นไปได้หรือที่จะไม่มีบุตรเลย”

เมื่อได้ยินเจินซื่อเฉิงพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา โต้วเหนียงมีจึงสีหน้าที่เปลี่ยนไปอย่างชัดเจนเป็นครั้งแรก แต่เห็นได้ชัดว่านางพยายามควบคุมอาการไว้อยู่ ชะงักไปเล็กน้อยแล้วจึงกล่าวต่อ “มีบุตรชายหนึ่งคน แต่ก็เสียไปตั้งแต่สองปีที่แล้วเช่นกันเจ้าค่ะ…”

พ่อบ้านลุกขึ้นอย่างเงียบๆ แอบถอนหายใจเบาๆ

ในเวลานั้นจึงได้รู้ว่าโต้วเหนียงไม่ได้มีพันธะอะไรแต่อย่างใด ฮูหยินรู้สึกว่านางน่าสงสารจึงได้ละเว้นกฎของจวน โต้วเหนียงเข้ามาอยู่ในจวนในระยะเวลาอันสั้นก็ได้ถูกย้ายไปทำงานในครัวแล้ว ในสายตาของพวกเจ้านาย คนที่ไม่ไม่มีพันธะใดๆ มักจะดูไว้ใจได้มากกว่าเสมอ

“สามีและบุตรชายได้จากโลกนี้ไปในเวลาไล่เลี่ยกัน มิทราบว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือ”

โต้วเหนียงก้มหัวลง ดวงตาแดงก่ำ “บุตรชายจมน้ำตาย เขาเป็นเพียงบุตรชายเพียงคนเดียว สามีของข้าจึงตรอมใจจนล้มป่วย ไม่นานนักก็ลาโลกนี้ไป”

“แล้วเหตุใดเจ้าถึงขึ้นมาที่เมืองหลวงเล่า”

โต้วเหนียงยิ้มเหยียดหยัน “เราทั้งคู่ล้วนเป็นคนที่ขยันหมั่นเพียร จนมีกิจการเป็นของครอบครัว คนจำนวนมากมายจึงจับจ้องมาที่แม่ม่ายอย่างข้าน้อยที่ไร้บุตรด้วยสายตาที่ละโมบ ข้าน้อยเพียงอยากมีชีวิตอยู่ต่อไป ได้ยินมาว่าคนในเมืองหลวงทำงานและใช้ชีวิตกันอย่างสงบสุข ขายอาหารเล็กๆ น้อยๆ ก็น่าจะไม่ต้องกังวลว่าจะไม่มีใครซื้อ จึงหอบเสื้อผ้าและของมีค่าเดินทางเข้ามาในเมืองหลวง

“โต้วเหนียงเข้าจวนมาได้อย่างไร” เจินซื่อเฉิงมองไปยังพ่อบ้าน

พ่อบ้าน “…” เขาอยากจะพูดเสียเต็มประดา เพียงแต่กลัวว่าพอพูดออกไปแล้วจะโดนตบ!

เจินซื่อเฉิงขมวดคิ้วพลาบเหลือบมองไปที่หย่งชังปั๋ว

“ให้เจ้าตอบคำถามของใต้เท้าตามความเป็นจริง!”

พ่อบ้านเหงื่อไหลออกเป็นจำนวนมากจากนั้นก็กล่าว “ฮูหยินพาคุณหนูใหญ่ไปเลือกซื้อเครื่องประดับตกแต่งศีรษะ ระหว่างทางกลับก็เห็นคนต่อแถวยาวอยู่หน้าแผงขนมหวานของโต้วเหนียง จึงสั่งสาวใช้ให้ไปซื้อมาสักสองชิ้น นึกไม่ถึงว่าขนมหวานจะรสชาติดีมาก หลังจากที่ฮูหยินและคุณหนูใหญ่ทานไปแล้วก็จดจำรสชาติได้มิเคยลืมจึงได้ส่งคนไปซื้อกลับมาอีกสองครั้ง ต่อมาฮูหยินและคุณหนูใหญ่ก็ได้ไปซื้อของการอีกครั้ง ไปซื้อขนมหวานจากแผงของโต้วเหนียง บังเอิญเจออันธพาลกำลังพังแผงของโต้วเหนียงอยู่พอดี ฮูหยินจึงเรียกตัวนางมาถามว่าอยากเป็นแม่ครัวที่จวนหรือไม่ ด้วยเหตุนี้โต้วเหนียงจึงได้เข้าจวนมา”

พ่อบ้านพูดพลางก็ชี้ไปที่ชุนฟังหญิงรับใช้ซึ่งอยู่ไม่ไกล “เรื่องที่ฮูหยินพาโต้วเหนียงเข้ามาในจวนได้อย่างไรนั้นก็เป็นนางนี่แหละที่เป็นคนเล่าให้ข้าน้อยฟัง”

ชุนฟังรีบกล่าว “เป็นจริงดั่งเช่นที่พ่อบ้านกล่าว”

หญิงรับใช้วัยกลางคนที่เพิ่งเข้ามาอยู่ในจวนได้เพียงสามเดือนก็ถูกย้ายให้ไปทำงานในครัวแล้ว หญิงวัยกลางคนที่สูญเสียทั้งบุตรชายและสามีไป ขายสมบัติของครอบครัวเพื่อเดินทางมาใช้ชีวิตที่เมืองหลวงเพียงลำพัง…

ยังไม่ต้องพูดถึงประเด็นอื่น หากกล่าวถึงช่วงจังหวะเวลาและพื้นเพของตัวนางเอง โต้วเหนียงมีคุณสมบัติมากพอที่จะฆ่าคนได้

ใบหน้าของเจินซื่อเฉิงแลดูเคร่งขรึม “โต้วเหนียง เช่นนั้นเจ้าก็จงอธิบายมาเหตุใดถึงต้องสังหารฮูหยินปั๋วด้วย”

พอประโยคนี้ออกมาจากปากเขา ฝูงชนก็อยู่ในความโกลาหลทันที

ก่อนหน้านี้ตอนที่ไต่ถามน้องสาวของชิวลู่กับเฉาอวิ๋นใต้เท้าเจินก็ไม่ได้พูดอย่างชัดเจนเช่นนี้ว่าพวกนางคือฆาตรกร

โต้วเหนียงคือฆาตรกรที่สังหารฮูหยินอย่างนั้นหรือ เหลือเชื่อจริงๆ

ใบหน้าของโต้วเหนียงกระตุกเล็กน้อย ยังคงควบคุมอารมณ์ให้สงบได้เช่นเดิม “ฮูหยินมีบุญคุณต่อบ่าวมากมายนัก บ่าวเองก็หาใช่คนฟั่นเฟือนหรือโง่เขลาไม่ จะสังหารฮูหยินได้อย่างไร”

“เรื่องนี้ก็ต้องถามเจ้า” เจินซื่อเฉิงจ้องมองไปยังโต้วเหนียง ตะคอกเสียงดัง “ยังไม่สารภาพความจริงออกมาอีก!”

โต้วเหนียงค่อยๆ คุกเข่าลง สีหน้านิ่งสงบ “บ่าวถูกปรักปรำ”

“ปรักปรำ?” เจินซื่อเฉิงยิ้มเย้ยหยัน “เจ้าหน้าที่ คลายผมของโต้วเหนียงออกเดี๋ยวนี้!”

ไม่ช้าเจ้าหน้าที่จากศาลาว่าการสองคนก็เข้ามาจับแขนของโต้วเหนียงเอาไว้

โต้วเหนียงขัดขืน ดูพยายามดิ้นรนไม่ไปไหน แล้วจึงตะโกนขึ้นมา “ใต้เท้า ท่านกล่าวหาว่าบ่าวเป็นฆาตรกรโดยไม่มีหลักฐาน หรือว่าจะทรมานบ่าวให้รับผิดกันเล่า บ่าวถูกปรักปรำจริงๆ!”

“ใจเย็นๆ อย่าตื่นตระหนกไป ที่ข้าสั่งให้คนคลายผมของเจ้าออก นั่นก็เพราะว่าอยากให้ทุกคนได้เห็นหลักฐานอย่างไรเล่า”

เจียงซื่อเหงื่อออกแทนเจินซื่อเฉิงเต็มฝ่ามือ

นางมีประสาทการรับกลิ่นที่ดีเลิศสามารถได้กลิ่นแปลกๆ จากบนศีรษะของโต้วเหนียง หากใต้เท้าเจินใช้หลักฐานนี้ในการระบุความผิดของโต้วเหนียง เกรงว่าจะไม่เพียงพอ

ดูเหมือนว่าเจินซื่อเฉิงจะรับรู้ได้ถึงความกังวลใจของเจียงซื่อ จึงลูบเคราของตนเองอย่างพอใจ

ถ้าไม่มีสิ่งของที่ดีพอ คงจะพ่ายแพ้ให้เด็กสาวคนนี้เป็นแน่

ใต้เท้าเจินที่จัดการกับคดีต่างๆ มาเนิ่นนานหลายปี ลืมไปจนสิ้นว่าแข่งขันกับเด็กสาวคนหนึ่งนั้นไม่มีประโยชน์อันใดเลย

ผ้าโพกที่คลุมศีรษะของโต้วเหนียงไม่ช้าก็ถูกดึงออก ผมสลวยๆ สยายออกให้เห็น

กล่าวได้ว่าเป็นผมที่งดงาม เหมือนกับผมของเฉาอวิ๋นจริงๆ ผสมปนเปกับผมหงอกจำนวนมาก

ทั้งสองคนมีความคล้ายคลึงกันที่จุดนี้เป็นอย่างมากเห็นได้ชัดว่าอายุยังไม่ถึงสี่สิบปี ก็มีผมหงอกเสียแล้ว

“ทุกท่านลองดูสิว่าผมของโต้วเหนียงแตกต่างจากผู้อื่นอย่างไร” เจินซื่อเฉิงกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม

“มีผมหงอก” สาวใช้คนหนึ่งพูดโพล่งออกมา

บ่าวใช้ที่อยู่ด้านข้างตีนางพลางกล่าวเสียงค่อย “เจ้าเด็กบ้า มีผมหงอกแล้วมันจะอย่างไรกัน”

ขนาดนางก็ยังมีผมหงอกเลย แล้วจะกลายฆาตรกรอย่างนั้นหรือ

เซี่ยชิงเหยาจ้องมองไปที่โต้วเหนียง จู่ๆ ก็เบิกตากว้าง และกล่าวอย่างลังเล “เส้นผมของนางดูเป็นม้วนเล็กน้อย…”

จากการสังเกตของเซี่ยชิงเหยา คนที่อยู่ๆ ใกล้นางล้วนมองเห็นกันหมดว่าความแตกต่างที่มากที่สุดของเส้นผมของโต้วเหนียงกับคนอื่นๆ ก็คือเป็นม้วน ดูพิเศษมากๆ

โต้วเหนียงยกมือทั้งสองขึ้นมากดผมของนางไว้ เห็นได้ชัดว่ารู้สึกไม่ดีที่สายตาของทุกคนจดจ้องมาที่เส้นผมที่ยุ่งเหยิงของนาง พลางกล่าวอย่างกระสับกระส่าย “ใต้เท้า จะเอาอย่างไรกันแน่เจ้าคะ”

เจินซื่อเฉิงหยิบห่อกระดาษน้ำมันและเปิดออกมา เผยให้เห็นเส้นผมสองเส้นที่อยู่ด้านใน “ผมสองเส้นนี้พบในตู้เสื้อผ้าที่ฆาตรกรใช้ซ่อนตัว ทุกคนจะเห็นได้ว่าผมสองเส้นนี้กับผมของโต้วเหนียงนั้นเหมือนกันตรงที่ เป็นม้วน!”