มีเสียงพึมพำและเสียงกรอบแกรบ

ในเวลานี้ หลี่ฉางโซ่วและหลิงเอ๋อร์ยืนอยู่ข้างหน้าโหย่วฉินเสวียนหย่า หลิงเอ๋อร์และโหย่วฉินเสวียนหย่า ยังคงกระซิบกันในขณะที่หลี่ฉางโซ่วทำเพียงแค่พยักหน้าหรือส่ายศีรษะ

ในความเป็นจริงแล้ว หลี่ฉางโซ่วเป็นผู้แอบส่งข้อความเสียงและยื่นขวดกระเบื้องให้กับโหย่วฉินเสวียนหย่าอย่างไร้ร่องรอยใดๆ …

“ศิษย์พี่ฉางโซ่ว เหตุใดท่านจึงไม่ก้าวออกไปทำมันเล่าเจ้าค่ะ”

โหย่วฉินเสวียนหย่าตอบและกล่าวผ่านการส่งข้อความเสียงว่า “ข้ารู้ว่าท่านไม่อยากเกี่ยวข้องกับพิธีการเหล่านี้ แต่ศิษย์พี่ ชื่อเสียงที่ท่านสมควรได้รับก็ควรมอบให้ท่าน”

‘หลี่ฉางโซ่ว’ ยิ้มแล้วกล่าวว่า “ศิษย์น้องโหย่วฉิน หากเจ้ามองเห็นและได้ยินในสิ่งที่ข้าได้ยิน เจ้าจะไม่ถามคำถามเช่นนี้กับข้า”

โหย่วฉินเสวียนหย่าตะลึงงันอย่างเห็นได้ชัด

นางมองหลี่ฉางโซ่วผู้ที่มีรอยยิ้มอ่อนโยนบนใบหน้าของเขาเสมอแล้วพยักหน้าให้เบาๆ

ดูเหมือนนางจะเข้าใจอะไรบางอย่าง

แม้หลี่ฉางโซ่วจะไม่เข้าใจในสิ่งที่นางเข้าใจ…เขาก็รู้สึกว่านางน่าพอจะเข้าใจบางอย่าง…

บัดนี้ หลี่ฉางโซ่วค่อยๆ เข้าใจวิธีบางอย่างที่เขาสามารถใช้จัดการกับศิษย์น้องโหย่วฉินของเขาได้ทีละน้อย

มีศิษย์หลายคนที่อยู่รอบๆ ได้เห็นเหตุการณ์นี้ แต่พวกเขาก็ไม่รู้ว่าทั้งสามคนกำลังพูดคุยในเรื่องใดกัน

“ศิษย์พี่ผู้นั้นเป็นใครหรือ”

“ศิษย์พี่ของหลันหลิงเอ๋อร์ เขาคือผู้ที่เคยต่อสู้กับผู้บำเพ็ญของเกาะเต่าทองและองค์ชายวังมังกรมาก่อนใช่หรือไม่”

“โอ้…พวกเขี้ยวหมาป่าชัดๆ! ข้าลืมเขาไปได้อย่างไรกัน ความจำแย่มากจริงๆ”

หลี่ฉางโซ่วกล่าวผ่านการส่งข้อความเสียงว่า “ศิษย์น้องโหย่วฉิน เราไม่มีเวลาแล้ว อีกฝ่ายอาจพบที่นี่ได้ในทันที”

โหย่วฉินเสวียนหย่าพยักหน้าเบาๆ ก่อนจะบินขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกระบี่ใหญ่ที่สะพายอยู่บนหลังของนาง แล้วมองดูฝูงชนที่วุ่นวายอยู่ด้านล่าง

จากนั้นโหย่วฉินเสวียนหย่าก็ตะโกนว่า “ทุกคน บัดนี้ เวลาใกล้จะหมดลงแล้ว จงฟังข้า! ข้ามีวิธีที่จะทำให้ศัตรูที่แข็งแกร่งเหล่านี้ล่าถอยไป”

“ศัตรูมีปีศาจเผิงเป็นตัวเคลื่อนย้ายและพวกมันกำลังมองหาเส้นชีพจรปฐพี หากพวกมันพบเส้นชีพจรปฐพี พวกเราจะหนีออกไปจากสถานที่แห่งนี้ไม่ได้อย่างแน่นอน!”

ในขณะนั้น บรรดาศิษย์ที่อยู่ด้านล่างต่างเงยหน้าขึ้นมอง

โชคดีที่โหย่วฉินเสวียนหย่ากำลังเหยียบเมฆขาวที่ไม่มีผู้ใดมองเห็นอยู่ใต้ฝ่าเท้าของนาง…

จากนั้น นางจึงหยิบขวดกระเบื้องออกมาแล้วตะโกนว่า “ทุกคน โปรดดูสิ่งนี้ นี่เป็นยาพิษที่ไม่มีใครเทียบได้ ซึ่งผู้อาวุโสว่านหลินหยุนได้มอบให้มา มันใช้ฆ่าเซียนเทียนได้!”

“หลังจากนี้ ข้ากับศิษย์พี่จะโจมตีพร้อมกัน ข้าจะใช้ยาพิษนี้สร้างค่ายกล ให้มันรู้กันไปว่าข้าจะทำร้ายศัตรูได้หรือไม่! ทุกคน โปรดกลับไปที่ถ้ำของพวกเจ้าและรออยู่ใกล้ๆ เส้นชีพจรปฐพี”

“เรียนท่านผู้อาวุโส! หากศิษย์พี่ ศิษย์น้องหญิง และข้าทำไม่สำเร็จ เช่นนั้น คงต้องลำบากท่านผู้อาวุโสทั้งหมดแล้ว โปรดต่อสู้เพื่อปกป้องศิษย์ทุกคนด้วยชีวิต!”

คำพูดของโหย่วฉินเสวียนหย่าเต็มไปด้วยความรู้สึกหนักแน่นจริงจัง

ต่อให้หลี่ฉางโซ่วยังไม่ได้เตรียมแผนการรบในครั้งต่อไป แต่เขาก็ยังมั่นใจถึงเก้าในสิบส่วนว่าเขาจะสามารถทำลายศัตรูได้ เพราะในระหว่างการต่อสู้ที่ประตูสำนักเมื่อก่อนหน้านี้ เขาได้สังเกตและตระหนักถึงความแข็งแกร่งของนักพรตเต๋าชราเซียนเทียนแล้ว

หลี่ฉางโซ่วเกือบจะประทับใจกับคำพูดของโหย่วฉินเสวียนหย่า…

ทว่าในขณะเดียวกันนั้น โอกาสหนึ่งในสิบส่วนสูญเสียที่จะพ่ายแพ้ได้นั้นก็ยังเป็นสิ่งที่ต้องตระหนักไว้

เราไม่อาจคาดเดาเต๋าสวรรค์ได้

เขาต้องให้ความเคารพเต๋าสวรรค์เสมอ!

ทันใดนั้น เหล่าผู้อาวุโสก็ลุกขึ้นยืนทันทีและต้องการใช้ยาพิษนี้แทนโหย่วฉินเสวียนหย่า

ผู้อาวุโสเทียนกล่าวว่า “เสวียนหย่า เราไม่อาจดูเบาเซียนเทียนได้เลย…”

“ท่านผู้อาวุโส!” ดวงตาของโหย่วฉินเสวียนหย่าดูเหมือนจะเปล่งประกายในขณะที่นางกล่าวอย่างหนักแน่นว่า “โปรดเชื่อใจข้าเถิดเจ้าค่ะ!”

“อืม…”

“เสวียนหย่า ผู้อาวุโสเทียนและข้าจะอยู่ที่นี่ และเจ้าก็อยู่ช่วยเหลือเราที่นี่ด้วย เจ้าคิดเห็นเช่นไร”

ผู้อาวุโสเซียนเสิ่นอีกคนหนึ่งที่ดูแลกิจการภายนอกกล่าวเสริมว่า “หากเป็นเช่นนั้น เราสองคนจะปกป้องศิษย์ทั้งหมด เราจะจัดค่ายกลในถ้ำเพื่อทำการซุ่มโจมตี”

โหย่วฉินเสวียนหย่าคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วตกลงทันทีหลังจากได้ยินข้อความเสียงของหลี่ฉางโซ่ว

จากนั้น เหล่าผู้อาวุโสก็เรียกบรรดาศิษย์ที่เพิ่งออกมาจากพื้นดินและรีบบินไปที่ถ้ำลึกในหุบเขาทันที…

ในเวลานี้ บรรดาศิษย์ที่ยังไม่ได้กลายเป็นเซียนเหล่านี้ล้วนรู้สึกเสียใจจริงๆ

ในขณะนั้น ที่มุมหนึ่ง หลิงเอ๋อร์พึมพำออกมาเบาๆ “นั่นก็ใช้ได้เช่นกันหรือ”

บัดนั้น ตุ๊กตากระดาษจำลองร่างของหลี่ฉางโซ่วยืนเอามือไพล่หลังแล้วกล่าวว่า “คนบางคนและเรื่องบางเรื่อง เราก็ไม่อาจเข้าใจได้ด้วยสามัญสำนึก”

ในขณะนั้น ดูเหมือนว่า หลิงเอ๋อร์จะครุ่นคิดบางอย่าง จากนั้นจึงเงยหน้าขึ้นมองศิษย์พี่ของนางแล้วถามเบาๆ ว่า “แล้วศิษย์พี่คิดว่าอย่างไรเจ้าคะ”

“เอาจริงๆ ยังมีเรื่องให้ต้องจัดการอีกเยอะแยะ”

“จงจริงจังให้มากขึ้น ยังมีเรื่องยุ่งยากให้ต้องจัดการต่อไปอีกมากมายนัก”

หลี่ฉางโซ่วส่งข้อความเสียงแล้วถอยห่างออกไปครึ่งก้าวเพื่อหลีกเลี่ยงถ้ำ

“หลิงเอ๋อร์ เจ้าต้องตามหลังข้ามา อย่าเดินเตร่ไปมา”

“เจ้าค่ะ!”

หลิงเอ๋อร์เอื้อมมือเรียวยาวของนางออกมาและดึงเสื้อคลุมของหลี่ฉางโซ่วอย่างระมัดระวัง แม้ยามนี้จะตกอยู่ในอันตราย แต่นางก็ยังอดจะหน้าแดงเล็กน้อยไม่ได้

หลี่ฉางโซ่วกล่าวผ่านการส่งข้อความเสียงอย่างสงบว่า “มาใช้กฎสามข้อกันเถิด”

“เหอะ” หลิงเอ๋อร์ขยับไปครึ่งก้าวและยังคงยืนเอามือไพล่ไปทางด้านหลังของนางราวกับว่านางไม่คุ้นเคยกับหลี่ฉางโซ่วมากนัก

ในช่วงเวลาเช่นนี้ ย่อมไม่มีใครสนใจกับศิษย์สาวแสนงามที่มีขอบเขตพลังไม่สูงเท่าใดนักอย่างนาง

ในขณะที่มีศิษย์มากมายไปหาโหย่วฉินเสวียนหย่าเพื่อบอกว่าอยากอยู่ต่อสู้ศัตรูกับพวกเขาด้วย

อย่างไรก็ตาม โหย่วฉินเสวียนหย่าคิดถึงคำเตือนก่อนหน้านี้ของหลี่ฉางโซ่ว จึงปฏิเสธอย่างต่อเนื่อง และในท้ายที่สุด นางก็ใช้ข้ออ้างที่ว่าศิษย์ของยอดเขาหยกน้อยเชี่ยวชาญในการใช้หลีกลี้ปฐพีซ่อนกาย

ไม่นานหลังจากนั้น เหล่าผู้อาวุโสก็รวมพลังกันสร้างค่ายกลอำพรางที่ทางเข้าถ้ำอย่างรวดเร็ว

ในขณะเดียวกันก็ป้องกันการตรวจจับจากคนภายนอก…

ศัตรูที่แข็งแกร่งอาจมาถึงได้ตลอดเวลา ในเวลานี้พวกเขาน่าจะกำลังค้นหามาตามเส้นชีพจรปฐพี ซึ่งจะเสียเวลาล่าช้าไปบ้าง

หรืออีกฝ่ายมีแผนอื่น ข้าต้องระวังเรื่องนั้นเช่นกัน

หลี่ฉางโซ่วครุ่นคิดลึกซึ้ง แล้วเหลือบมองหลิงเอ๋อร์ จากนั้นก็ยังคงแอบให้คำแนะนำโหย่วฉินเสวียนหย่าอย่างลับๆ

ในเมื่อเขาเลือกโหย่วฉินเสวียนหย่าให้เป็นเครื่องมือในครั้งนี้แล้ว เขาย่อมต้องใช้นางให้มากที่สุด…

ต่อจากนี้ เขาจะพยายามให้มากขึ้นเพื่อให้แน่ใจว่านางจะไม่เปิดเผยเรื่องทั้งหมดนั้น

ผู้อาวุโสเซียนเสิ่นสองคนที่ดูแลกิจการภายนอกได้นำศิษย์สามคนของพวกเขามาพร้อมกับพวกเขา แล้วพวกเขาก็บินออกไปจากหุบเขาโดยจงใจเผยกลิ่นอายลมปราณของพวกเขาที่ด้านข้างของหุบเขา

และนั่นก็เพื่อล่อความสนใจของศัตรูที่ทรงพลัง…

ในขณะนั้น ผู้อาวุโสคนหนึ่งก็หันไปมองหลี่ฉางโซ่วและหลิงเอ๋อร์ เขาต้องการบอกให้พวกเขาระวังตัวมากขึ้น แต่ก็ทำได้เพียงถอนหายใจออกมาเบาๆ เท่านั้น

“พวกเจ้าสองคนเชี่ยวชาญหลีกลี้ปฐพีซ่อนกาย หากมีอะไรผิดพลาด ก็น่าจะป้องกันตัวเองได้!”

หลี่ฉางโซ่วและหลิงเอ๋อร์ต่างมองหน้ากันและพยักหน้ารับ

และในไม่ช้า ทั้งสองค่ายกลกับดักและค่ายกลป้องกันก็ถูกสร้างขึ้นบนเนินเขา

ผู้อาวุโสเซียนเสิ่นสองคนต่างก็คว้ายาพิษไปตรวจสอบดูอย่างระมัดระวัง

มันเป็นโอสถที่ผู้อาวุโสว่านหลินหยุนสกัดกลั่นขึ้นมา เมื่อทั้งสองสำรวจโอสถพิษแล้ว พวกเขาก็พลันรู้สึกได้ว่าพลังปราณสัมผัสรับรู้ของพวกเขาเต้นแรงและตระหนักว่านี่คือโอสถที่น่าทึ่งอย่างยิ่ง

นี่คือพิษมึนเมา มันเป็นยาสลบจริงๆ

ส่งผลให้ผู้อาวุโสทั้งสองดูกังวลน้อยลงในขณะที่มีความมุ่งมั่นมากขึ้น และมีความหวัง…

ขณะที่พวกเขากำลังตั้งค่ายกล หลี่ฉางโซ่วและหลิงเอ๋อร์ก็ซ่อนตัวอยู่หลังหินก้อนใหญ่ ในขณะนั้น จิตใจของหลี่ฉางโซ่วก็จดจ่ออยู่กับการต่อสู้อันดุเดือดที่ประตูสำนัก