ตอนที่ 151

The simple life of the emperor

เมื่อเธอได้ยินคำถามของเด็กหนุ่ม เธอก็ถึงกับแสดงสีหน้าสับสนเล็กน้อยก่อนจะถามกลับไปว่า

“นายเป็นใคร ?”
เทียนหลางได้ยินแบบนั้นก็ส่ายหน้าเล็กน้อยก่อนจะยิ้มพร้อมกับพูดว่า
“นั่นไม่ใช่คำพูดที่ถูกต้องนะ”
เมื่อเธอได้ยินแบบนั้นเธอก็คิดเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้าและพูดขึ้นว่า
“ใช่ฉันคือ แองเจลิก้า ไวท์ เป็นเจ้าหน้าที่ของ FBI”
เทียนหลางได้ยินแบบนั้นก็ยิ้มออกมาก่อนจะหยิบกระดาษที่มีข้อมูลของแองเจลิก้า ไวท์ขึ้นมาอ่านเล็กน้อย จากนั้นเขาก็ทำการคลายเชือกที่รัดมือและเท้าของเธอออก ก่อนจะพูดขึ้นว่า
“เอาล่ะ ดูเหมือนว่าคุณจะอาการไม่แย่นักรีบออกไปจากที่นี้กันดีกว่า”
เทียนหลางพูดจบก็เดินไปที่ศพของคนที่คาดว่าจะเป็นหัวหน้าของผู้ก่อการร้ายเหล่านี้และพลิกตัวของมันไปมาเพื่อตรวจสอบ
“ไหนดูสิว่าเจ้าหัวทองคนนี้เป็นใคร…”
เทียนหลางมองดูสภาพของศพตรงหน้าเล็กน้อยก่อนที่คิ้วของเขาจะขมวดเข้ามาหากัน จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นและหันไปคุยกับแองเจลิก้า ไวท์ ว่า
“เอาล่ะเราไปกันเถอะ”
แองเจลิก้าได้ยินแบบนั้นก็พยักหน้าก่อนจะเดินตามหลังเทียนหลางออกไป ซึ่งก่อนออกไปเธอก็อดไม่ได้ที่จะมองไปยังศพของหัวหน้าผู้ก่อการร้ายด้วยความสงสัย เพราะก่อนหน้านี้เด็กหนุ่มคนนี้ยังคงมีท่าทียิ้มแย้มอยู่เลย
แต่หลังจากที่เขาได้ไปตรวจศพของชายคนนั้นสีหน้าของเด็กหนุ่มก็เปลี่ยนไปทันที แม้จะเป็นเพียงชั่วครู่เท่านั้นแต่แองเจลิก้าก็สัมผัสได้ว่าบรรยากาศสบายๆรอบตัวของเด็กหนุ่มได้เปลี่ยนไป แสดงว่าเด็กหนุ่มคนนี้ต้องพบเจออะไรบางอย่างแน่นอน
แต่ถึงเธอจะรู้เธอก็ไม่กล้าที่จะถามออกไปเพราะในตอนนี้มีมีสถานะเป็นคนที่ถูกช่วยเหลือ และอีกอย่างเธออยู่กลางทะเลทรายฉะนั้นจะเกิดอะไรขึ้นกับเธอเมื่อเธอถามออกไปนั้นก็เป็นเรื่องยากที่จะคาดเดา ดังนั้นเธอจึงเลือกที่เงียบไปและถามเพียงคำถามที่ควรเท่านั้น
หลังจากเดิมตามเทียนหลางมาได้สักพักแองเจลิก้าก็ถามออกมาว่า
“นายมาจากหน่วยไหนงั้นเหรอ ?”
“ผมมาจากหน่วยเดียวกับคนที่ถูกจับมาพร้อมคุณนั่นแหละ”
“หน่วยเดียวกัน ?”
แองเจลิก้าพูดออกมาด้วยความสงสัย เทียนหลางยิ้มพร้อมกับอธิบายว่า
“มันก็ไม่มีอะไรซับซ้อนหรอก เพียงแค่ผมกับคนอื่นๆในทีมนั้นแยกกันทำภารกิจน่ะ”
แองเจลิก้าได้ยินแบบนั้นเธอก็พยักหน้าและถามอีกว่า
“ทำไมฉันไม่เห็นทีมช่วยเหลือคนอื่นเลยล่ะ ?”
“ผมมาคนเดียวน่ะ”
แองเจลิก้าที่ได้ยินแบบนั้นก็ถึงกับตกตะลึงเขาไม่คิดว่าการช่วยเหลือครั้งนี้จะได้รับจากคนเพียงคนเดียว ทั้งที่มันควรจะเป็นการร่วมมือกันของสององค์กรลับระดับประเทศ แต่กลับกลายเป็นว่ามันเกิดขึ้นเพียงเพราะคนๆเดียว แถมคนๆนั้นยังมีอายุน่าจะไม่เกินยี่สิบด้วยซ้ำ
ระหว่างทางแองเจลิก้าก็ได้เห็นศพมากมายของผู้ก่อการร้าย แต่ละคนล้วนมีเพียงบาดแผลเล็กๆที่บริเวณหน้าผากเท่านั้น เธอคิดว่านี้คงจะเป็นอาวุธใหม่ของทางกองทัพจีนที่สามารถยิงกระสุนขนาดเล็กออกมาได้และดูจากบาดแผลแล้วแสดงให้เห็นว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าของเธอต้องเป็นนักแม่นปืนอย่างแน่นอน
แต่ถึงอย่างงั้นเธอกลับไม่เห็นอาวุธใดๆเลยบนตัวของเขาไม่มีแม้แต่มีดสักเล่ม แองเจลิก้าก็อดที่จะสงสัยไม่ได้ว่าเด็กหนุ่มตรงหน้านั้นสังหารผู้ก่อการร้ายเหล่านี้ยังไง
ระหว่างที่ทั้งคู่กำลังจะออกไปนอกถ้ำเพื่อพบเจอกับคนอื่นๆ เทียนหลางก็ได้ถามกับแองเจลิก้าว่า
“คุณรู้อะไรเกี่ยวกับคนพวกนี้บ้าง ?”
แองเจลิก้าได้ยินแบบนั้นก็สงสัยเล็กน้อยแต่เธอก็เล่าข้อมูลเกี่ยวกับคนพวกนี้ออกไปให้กับเทียนหลางได้ฟัง
“กลุ่มคนเหล่านี้เรียกตัวเองว่า ‘อัลคาทาร่า’ เป็นกลุ่มก่อการร้ายที่มีฐานปฏิบัติการอยู่ทางยุโรปตะวันออก แต่ถึงอย่างงั้นพวกมันก็แผ่ขยายอิทธิพลไปทั่วทั้งโลก สร้างความวุ่นวายไปทั่วและดูเหมือนว่าพวกมันจะมีเหล่าผู้หนุนหลังมากมายเลยทีเดียว”
เทียนหลางได้ยินแบบนั้นก็พยักหน้าก่อนจะถามต่ออีกว่า
“แล้วเป้าหมายของพวกมันล่ะ ?”
แองเจลิก้าส่ายหน้าก่อนจะบอกว่า
“พวกเรายังไม่รู้เป้าหมายที่แท้จริงของพวกมัน ตลอดเวลาที่พวกมันออกปฏิบัติการพวกมันก็ทำเพียงแค่โจมตีสถานะที่ต่างๆ หรือสร้างสถานะการณ์เท่านั้น”
“แล้วหัวหน้าของมันล่ะ ?”
“พวกเรายังไม่ทราบตัวตนระดับสูงของพวกมัน ส่วนคนที่นอนตายอยู่ในห้องนั้นก็เป็นเพียงแค่หัวหน้าหน่วยย่อยเท่านั้น”
เทียนหลางพยักหน้าเล็กน้อยเมื่อได้รับคำอธิบายสั้นๆเกี่ยวกับกลุ่มที่เรียกตัวเองว่า อัลคาทาร่า เทียนหลางนั้นถอนหายใจเล็กน้อยก่อนจะเกาหัวตัวเองเบาๆ
‘ดูเหมือนว่าในอนาคตโลกนี้จะต้องวุ่นวายแน่ๆ’
เทียนหลางพูดกับตัวเองก่อนจะหันหลังจ้องมองไปยังถ้ำที่ภายในนั้นมีศพของหัวหน้าผู้ก่อการร้ายนอนอยู่ และบนอกของมันก็มีสิ่งที่เทียนหลางนั้นค่อนข้างจะคุ้นเคยปรากฏอยู่ นั่นคือตราประทับของเผ่ามาร ที่มันจะมอบให้กับผู้ที่ทาสรับใช้ของมัน