ตอนที่ 140 ข้อดีสูงสุดของเขาคือความซื่อสัตย์
ทหารองครักษ์คนนั้นตกใจ ภายในใจเต้นตุ้ม ๆ ต่อม ๆ รีบดึงมีดกลับมาอย่างรวดเร็ว คุกเข่าลงบนพื้นในทันที “กระหม่อมรบกวนทำให้ไทเฮาตกพระทัย ความผิดนี้สมควรตาย”
ไทเฮา? หนานหนานกะพริบตาปริบ ๆ หมุนร่างกายเล็ก ๆ กลับอย่างรวดเร็ว มองดูสตรีงามสง่าผู้ยืนอยู่ตรงประตูท่ามกลางวงล้อมของเหล่านางข้าหลวงและขันที นัยน์ตาเป็นประกายขึ้นทันใด
ไทเฮาคือมารดาของฮ่องเต้ไม่ใช่หรือ? เมื่อเทียบกับฮ่องเต้แล้วก็ยังเป็นผู้อาวุโสกว่า เช่นนั้นอำนาจก็ต้องมากกว่าไม่ใช่หรือ?
หนานหนานตัดสินใจในทันทีว่าเขาต้องประจบประแจงนางให้ดี การตีสนิทอะไรพวกนี้เป็นงานอดิเรกและเป็นความสามารถที่ยอดเยี่ยมที่สุดของหนานหนานอยู่แล้ว
ผู้พิทักษ์ทมิฬของฮ่องเต้เพิ่มความระมัดระวังอย่างเงียบ ๆ เตรียมตัวไว้เพื่อหลีกเลี่ยงในกรณีที่ไทเฮาไม่พอพระทัย และสั่งให้ลากตัวหนานหนานไปตัดหัวจริง ๆ
“ไทเฮาเหนียงเหนียง? ท่านคือไทเฮาเหนียงเหนียง?” หนานหนานหรี่ตาลงและรีบก้าวเท้ามาด้านหน้าหนึ่งก้าว
ไทเฮาขมวดคิ้วเล็กน้อย สายตาจ้องมองเด็กน้อยวัยละอ่อนตัวเล็ก ๆ คนนั้น นึกไม่ออกเลยจริง ๆ ว่าเป็นเด็กในตำหนักไหน
ลวี่ฝูนางข้าหลวงที่อยู่ปรนนิบัติข้างกายยื่นหน้ากระซิบข้าง ๆ พระกรรณอย่างระมัดระวัง กล่าวเสียงเบาว่า “ไทเฮา เด็กคนนั้นคือคนที่ฮ่องเต้ให้ไปอยู่เป็นเพื่อนเฉิงซื่อจื่อเมื่อวานนี้เพคะ”
“เฉิงซื่อจื่อ? เจ้าหมายถึงหลานเฉิงหรือ?”
“เพคะไทเฮา”
“หลานเฉิง หลานเฉิง ดูเหมือนว่าคงนานมากแล้วที่เราไม่ได้เจอหน้าเขา นับตั้งแต่เกิดเรื่องขึ้นกับฮองเฮา ก็ไม่เห็นเขาเข้ามาคารวะทักทายเราอีกเลย ตอนนี้เขาเป็นเช่นไรบ้าง?” ไทเฮาดูเหมือนจะนึกถึงอดีต ความคิดถึงคะนึงหาจาง ๆ ฉายวูบในสายตา พอจะมองออกมาว่านางโปรดปรานเย่หลานเฉิงจากใจจริง
ลวี่ฝูเม้มปากแอบลอบถอนหายใจ เฉิงซื่อจื่อไม่ได้มาคารวะทักทายไทเฮาที่ไหนกัน ตอนนั้นที่เกิดเรื่องขึ้นกับฮองเฮา เฉิงซื่อจื่อที่อยู่ในตำหนักของไทเฮาก็ได้ยินเรื่องนี้พอดี บังเอิญทำแก้วที่ไทเฮาโปรดปรานหล่นจากมือจนแตกกระจาย ทำให้ไทเฮาในตอนนั้นไม่พอใจ กล่าวหาว่าไม่มีความใจเย็นในฐานะลูกหลานเชื้อพระวงศ์ สมกับที่เป็นพ่อลูกกับองค์รัชทายาทจริง ๆ
ทั้งยังตำหนิเฉิงซื่อจื่อให้กลับไปสำนึกผิดที่เรือนของตนเอง ไม่ต้องมาคารวะทักทายนางแล้ว
คิดไม่ถึงเลย การสำนึกผิดในครั้งนี้ที่กินระยะเวลายาวนานขนาดนี้ ทำให้ไทเฮาไม่ได้นึกถึงเขาอีกเลย
มาในวันนี้ได้ยินว่าไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดจู่ ๆ ฮ่องเต้จึงนึกถึงเฉิงซื่อจื่อขึ้นมา ไม่เพียงแต่แอบพาเหมียวกงกงไปดูด้วยตาตนเอง แต่ยังสนทนากับเฉิงซื่อจื่ออย่างสนุกสนานภายในเรือนแห่งนั้น หลังจากพระองค์กลับไปเมื่อวานก็ได้กำชับให้เหมียวกงกงจัดเตรียมคนส่วนหนึ่งให้มาดูแลเฉิงซื่อจื่อให้ดี ทั้งยังหาสหายมาอยู่เป็นเพื่อนเขาอีกหนึ่งคนด้วย
เช่นนี้เฉิงซื่อจื่อจึงได้กลับมาเห็นเดือนเห็นตะวันอีกครั้งแล้ว ได้รับคำสั่งจากฮ่องเต้เช่นนี้ ชีวิตหลังจากนี้ย่อมดีขึ้นมาก อย่างน้อย ๆ ก็ดีกว่าสองปีที่ผ่านมา ไม่ต้องเป็นกังวลเรื่องอาหารการกินและเครื่องนุ่งห่มอีกแล้ว
เพียงแต่ แม้ว่าภายในใจของลวี่ฝูจะคิดเช่นนี้ แต่ก็ไม่กล้าพูดความจริงออกไปตรง ๆ จึงได้แต่ตอบกลับเสียงเบาว่า “กราบทูลไทเฮา ตอนนั้นเฉิงซื่อจื่อกระทำความผิด จึงสมควรต้องสำนึกผิดอยู่ในเรือนของตนเองเพคะ”
ไทเฮาชะงักยามได้ยินอีกฝ่ายพูดเช่นนี้ เมื่อนึกถึงเรื่องในอดีตเหล่านั้นขึ้นได้ จึงไม่ได้ตรัสสิ่งใด ได้แต่ถอนหายใจเบา ๆ สายตาหันไปทางหนานหนานที่กำลังก้าวเท้าเดินเข้ามาทีละก้าวอีกครั้ง
“ในเมื่อเด็กคนนั้นเป็นสหายของหลานเฉิง เหตุใดถึงไม่อยู่เป็นเพื่อนหลานเฉิง วิ่งมาทำอะไรถึงที่นี่? เด็กที่ห่วงแต่เล่นไม่รู้จักดูแลนายท่านตัวเองให้ดี เก็บไว้จะมีประโยชน์อะไร?”
ลวี่ฝูตกใจไม่กล้าพูดอะไร เด็กคนนี้เป็นเด็กที่ฮ่องเต้ทรงจัดเตรียมให้เฉิงซื่อจื่อ ไทเฮาไม่ถามก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาในฐานะของบ่าวไพร่จะไม่รู้เรื่องราวจากภายนอก พวกเขาทราบตั้งแต่แรกนับตั้งแต่การมีอยู่ของเด็กคนนี้แล้ว นางและตู้กงกงแอบสืบประวัติของเด็กคนนี้มาแล้ว แต่กลับไม่เจออะไรเลย ยิ่งไม่รู้ด้วยว่าฮ่องเต้ไปหาเด็กคนนี้เพื่อมาเป็นสหายข้างกายเฉิงซื่อจื่อจากที่ไหน
แต่เห็นได้ชัดว่า เด็กคนนี้เป็นคนของอ่องเต้ พวกเขาไม่สามารถทำอะไรได้
“ไทเฮา เด็กคนนี้ปรากฏตัวขึ้นที่นี่ บางทีอาจเป็นเพราะเฉิงซื่อจื่อสั่งให้เขาออกมาทำอะไรบางอย่าง ตอนนี้ในวังกำลังไล่จับนักฆ่าทั่วทุกหนแห่ง บางทีเด็กคนนี้อาจจะตกใจกลัวก็เป็นได้เพคะ”
ไทเฮาเหลือบมองนางปราดหนึ่ง ลวี่ฝูอยู่ข้างกายนางมาหลายปีแล้ว ไม่มีทางที่จะช่วยพูดแทนเด็กคนหนึ่งอย่างไร้เหตุผล
ระหว่างที่พวกเขาทั้งสองกำลังพูดคุยกัน หนานหนานก็วิ่งมาตรงหน้าไทเฮาด้วยความตื่นเต้น ทั้งยังทำความเคารพด้วยท่าทางเกินจริง “หนานหนานคารวะไทเฮา ขอให้ไทเฮามีความสุข อายุยืน ร่างกายแข็งแรง ไทเฮาคือสวรรค์ในใจของหนานหนาน คือปฐพีในใจของหนานหนาน เป็นพระโพธิสัตว์กวนอิมภายในใจของหนานหนาน”
“…” ลวี่ฝูพยายามกลั้นรอยยิ้มที่มุมปาก แอบหันมองสีหน้าของไทเฮาด้วยท่าทางจริงจัง
หลังจากไทเฮาได้ยินคำพูดเหล่านี้ สีหน้าที่ตึงเครียดพลันผ่อนคลายลงเล็กน้อย ทั้งยังดูอ่อนโยนลง นางมองไปยังเจ้าตัวเล็กที่ดูเหมือนแทบจะนอนราบลงบนพื้น น้ำเสียงก็เบาลงมาก “เด็กคนนี้เหตุใดถึงได้พูดจาเหลวไหล? เจ้ามีนามว่าอะไร เหตุใดถึงได้มาถึงที่นี่?”
“ข้าขอลุกขึ้นพูดได้หรือไม่?”
“ลุกขึ้นเถิด” ครั้นได้เห็นเด็กคนนี้พูดจาด้วยรอยยิ้มตลอดเวลาโดยไม่สนใจฟ้าดินทว่ากลับอบอุ่นผิดปกติ ไทเฮาจึงทรงขบขันอย่างเลี่ยงไม่อยู่ แตกต่างจากความเย็นชาเมื่อครู่
หนานหนานยันตัวขึ้นมาจากพื้น ตบฝุ่นที่อยู่บนร่างกาย ก่อนจะเงยหน้าเล็ก ๆ ที่ดูเป็นสีชมพูเหมือนลูกผิงกั๋ว “ข้าชื่ออวี้ฉิงหนาน ปีนี้อายุห้าขวบ ข้าออกมาจากในท้องของท่านแม่ ท่านแม่ของข้าชื่อว่าท่านแม่ ส่วนท่านพ่อชื่อว่าท่านพ่อ”
หนานหนานมีสติมาก เขาตอบคำถามที่เคยฮ่องเต้เคยถามเมื่อวานอีกรอบ ถึงอย่างไรเขาก็ทราบดีว่า คำพูดเหล่านี้ไทเฮาย่อมเอ่ยถาม และเขาไม่มีทางที่จะตอบตามความจริง
“ข้ามาจากในเรือนของเสี่ยวเฉิงเฉิง อ๋อ เสี่ยวเฉิงเฉิงก็คือเฉิงซื่อจื่อที่คนจำนวนมากเรียก ข้ามาที่นี่ก็เป็นเพราะเสี่ยวเฉิงเฉิงบอกว่าไทเฮาเป็นผู้สูงส่ง มีความงดงามและอ่อนเยาว์ ทั้งยังใจดีและมีน้ำใจ พูดจาก็น่าฟัง รูปร่างน่ามอง เป็นคนที่ดูดีที่สุดที่เขาเคยเห็นมา ข้าไม่เชื่อต้องมาดูด้วยตาตัวเอง ดังนั้นจึงแอบเข้ามาเพราะข้าอยากเห็น แค่อยากเห็นจริง ๆ นะ คิดไม่ถึงเลยว่าเมื่อได้เห็นเช่นนี้ ว้าว น่าอัศจรรย์จริง ๆ งดงามจนน่าทึ่ง ทำให้หัวใจของข้าเต้นตึกตักเลย ราวกับว่าจะชอบไทเฮาเหนียงเหนียงเข้าแล้ว”
ลวี่ฝูอยากหัวเราะจริง ๆ เด็กคนนี้ทำไมถึงได้ใช้คำพูดยุ่งเหยิง?
“แน่นอนว่าไทเฮาอย่าได้กังวลใจ ความชอบของข้าไม่ใช่ความชอบฉันท์ชายหญิงหรอกนะ ชอบของข้ารวมไปถึงความเคารพและความเลื่อมใส คล้ายกับได้เห็นเจ้าแม่กวนอิมโพธิสัตว์ อืม ก็เป็นเช่นนี้แหละ”
หนานหนานกล่าวจบก็พยักหน้าแรง ๆ
ไทเฮาได้ยินเขาพูดจนรู้สึกเบิกบานพระทัย ความไม่พอพระทัยเล็ก ๆ ในตอนท้ายที่สุดก็หายไปแล้ว พระนางไม่เคยเห็นเด็กที่น่าสนใจเช่นนี้มาก่อน ปากเล็ก ๆ นี้สุดยอดจริง ๆ ต่อให้การบรรยายดูเวิ่นเว้อไร้สาระ แต่ก็ไม่ได้ทำให้ผู้คนรู้สึกเกลียดชัง
“เจ้าเด็กคนนี้ช่างเจรจาจริง ๆ คำพูดคำจาเกินจริงเช่นนี้ ไม่กลัวคนอื่นหัวเราะบ้างเลย”
“หัวเราะ? เหตุใดต้องหัวเราะข้าด้วย? ข้าพูดความจริงมาโดยตลอด ข้าไม่มีจุดเด่นอะไร นอกจากความหล่อเหลา ความสง่างาม ความอ่อนน้อม ความรู้ความเข้าใจ ความอุตสาหะ ความสามารถ ความสุภาพ และความใจดีแล้ว ข้อดีสูงสุดของข้าก็คือ…ความ…ซื่อ…สัตย์!”
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
หนานหนานนี่มีสาลิกาลิ้นทองกับคาถานะหน้าทองหรือเปล่าเนี่ย ขนาดไทเฮาที่ตอนแรกกรุ่นๆ อยู่ยังอารมณ์ดีนึกเอ็นดูขึ้นมาได้
ไหหม่า(海馬)