บทที่ 196 หากไม่มั่นใจก็จงต่อสู้อย่างมั่นใจ

สำรับมนตราของชายาอ๋อง

บทที่ 196 หากไม่มั่นใจก็จงต่อสู้อย่างมั่นใจ

พูดตามตรงว่าทักษะของเหยาอี๋ฮวนถือว่าดีมาก ทักษะพื้นฐานของนางเทียบเท่าทักษะในอดีตของซวงหวน

แต่หลังจากที่ซวงหวนประสบกับความเจ็บปวด เพราะความไร้ความสามารถในการปกป้องเจ้านายของตนหลายครั้ง นางจึงตัดสินใจติดตามอู๋เหินเพื่อพัฒนาทักษะการต่อสู้ของตน ซึ่งอู๋เหินก็สอนนางโดยไม่ลังเล ในช่วงหกเดือนที่ผ่านมา ทักษะของซวงหวนได้พัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดด และต่างจากตอนที่นางเป็นคนขี้ขลาดที่ถูกต๋งเหม่ยจิงทำร้ายอย่างสิ้นเชิง

หลังจากการต่อสู้ผ่านไปสองสามรอบ เหยาอี๋ฮวนก็ถูกซวงหวนกำราบตรงมุมหนึ่งของหอส่วยหยา และทำได้เพียงยอมรับความพ่ายแพ้

สุดท้ายซวงหวนก็ยังคงใส่ใจเกี่ยวกับสถานะท่านหญิงของนาง ทุกครั้งที่นางโจมตี นางจะไม่ทำร้ายใบหน้าแต่โจมตีเฉพาะแขนขา หน้าอกและหลังเท่านั้น

“หวนหวนปล่อยกำลังภายในของเจ้าเลย”

“ได้เพคะ!” ซวงหวนเดินตามหลังเหยาอี๋ฮวนที่กำลังหนี แล้วผลักเหยาอี๋ฮวนพร้อมปล่อยกำลังภายใน ก่อนจะเอนกายพิงลำต้นของต้นไม้อย่างเหนื่อยล้าและหอบหายใจ

ฉินปู้เข่อถ่มน้ำลายออกมา แล้วเดินไปชมเชยซวงหวนด้วยรอยยิ้มอย่างผ่อนคลายว่า “ทำได้ดี เจ้าสามารถอยู่เคียงข้างข้าต่อไปได้ เหนื่อยนักก็พักกินองุ่นเสีย ที่เหลือข้าจะจัดการเอง”

ฉินปู้เข่อวางชามแก้วในมือของนางไว้ในมือของซวงหวน จากนั้นกดให้นางนั่งลงบนเก้าอี้หวาย ก่อนจะยืนขึ้นและบิดตัวเพื่อเหยียดกล้ามเนื้อและกระดูก

“อ้อ แต่หวนหวนอย่าลืมเหยียบคนที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของเจ้าไว้ให้แน่น ต่อให้นางจะกระดูกหักก็แค่ตามหมอมารักษา เจ้านายของเจ้าไม่ได้ขาดแคลนเงิน”

ในขณะนี้ซวงหวนหยุดพักจนลมหายใจของนางค่อย ๆ สม่ำเสมอ เมื่อได้ยินเช่นนั้นนางจึงยืนขึ้นเล็กน้อย และฝ่าเท้าของนางก็เหยียบแขนของไฉ่ถัง

เมื่อไฉ่ถังได้ยินเสียง ‘กร๊อบ’ เพียงสองสามครั้ง นางก็หมดสติไปด้วยความเจ็บปวด

“ช่างเปล่าประโยชน์นัก ข้ายังสามารถเหยียบเจ้าได้อีกหลายรอบ เมื่อเห็นว่าหวนหวนของข้าถูกเจ้าทุบตีเช่นนี้ ข้าจะเหยียบเจ้าให้จมดินไปเลย แต่เจ้ากลับหมดสติไปก่อนเพราะความเจ็บปวด”

ฉินปู้เข่อกล่าวขณะเดินอย่างเชื่องช้าไปอยู่ข้างเหยาอี๋ฮวนด้วยรอยยิ้มอ่อนบนใบหน้า ดวงตาของนางที่เป็นประกายราวกับดวงดาวทำให้เหยาอี๋ฮวนอดห่อไหล่ไม่ได้

“เจ้า เจ้ากำลังจะทำอะไร”

การต่อสู้กว่าสองเค่อในสภาพอากาศร้อนทำให้นางหมดแรงและกระหายน้ำอย่างมาก

ฉินปู้เข่อยังคงยกยิ้มมองต่ำ “ข้าเพิ่งสอนบทเรียนให้คนรับใช้เสร็จ คราวนี้เป็นเรื่องระหว่างเจ้านายกับเจ้านายแล้ว~”

เมื่อกล่าวจบนางก็ใช้ขาข้างหนึ่งถีบเหยาอี๋ฮวนลงกับพื้น แล้วนั่งทับบนตัวนาง

“อ๊า—” เหยาอี๋ฮวนที่ใบหน้าซีดเผือดร้องออกมา

ช่วงนี้ฉินปู้เข่ออ้วนขึ้นมาก นางกินและดื่มเยอะจึงค่อนข้างเจ้าเนื้อ ในตอนที่นางผอม นางสามารถทำให้ซี่โครงของซ่งกูหักได้ด้วยการนั่งทับหลังจากตกบันได และตอนนี้พลังบั้นท้ายของนางก็เพิ่มขึ้นหลายเท่า

“จุ๊ หุบปาก!” ฉินปู้เข่อกลอกตาด้วยความรังเกียจ “เราอยู่ในท่านี้แล้ว หากเจ้ายังครางสยิวออกมาและใครผ่านมาได้ยินเข้า ก็อาจคิดว่าข้ากำลังมีอะไรกับเจ้าอยู่ก็ได้”

ในขณะนี้ที่ประตูหอส่วยหยา ชายสามคนที่เพิ่งก้าวเข้ามาในลานได้ยินคำพูดลามกนี้อย่างชัดเจน

หลังจากเข้าไปในตำหนัก พวกเขาได้ยินมาว่าเสี่ยวเข่อมาที่หอส่วยหยา หมี่โม่หรู่จึงเดินมาพร้อมกับหมี่ฉงและเสด็จอาเก้า ซึ่งพวกเขาต่างคาดไม่ถึงว่าจะมีเหตุการณ์และบทสนทนาเช่นนี้

หมี่ฉงพูดไม่ออกและเหลือบมองหมี่โม่หรู่อย่างเลิ่กลั่ก “อย่างไรดีเล่าเจ้าเจ็ด เจ้าต้องอธิบายให้น้องสะใภ้ฟังว่านางไม่ควรพูดจาล่อแหลมออกมา แม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นผู้หญิงมันก็… ยังคง…”

ปลายหูของหมี่โม่หรู่เปลี่ยนเป็นสีแดง เขากำหมัดและกระแอมเบา ๆ เพื่อกลบเกลื่อนความเขินอายเล็กน้อยของตน

หมี่เฉินอี้กำหมัดพิงกำแพงและรับชมเหตุการณ์อย่างสนใจ เขาไม่ได้เจอนางมาสองสามเดือนแล้ว แม่สาวน้อยมีความอวบอิ่มขึ้นมาก ใบหน้าของนางมีเลือดฝาดและดูแข็งแรง แก้มที่มีไขมันนุ่มของนางนั้นช่างน่ารักมาก จนเขานึกอยากจะยื่นมือไปหยิกแก้มเพื่อสัมผัสถึงความนุ่มนิ่ม

แต่พุงที่นูนขึ้นนั้นทำให้เขารู้สึกว่าคอของเขาตีบตัน

ตอนนี้หมี่เฉินอี้อยากจะตบตัวเอง เขารู้สึกว่าตนเองไร้ยางอายเกินไป

การเคลื่อนไหวของคนหลายคนทำให้ฉินปู้เข่อและเหยาอี๋ฮวนหันศีรษะมองไปด้านข้างพร้อมกัน

หัวใจของฉินปู้เข่อเต้น ‘ตึกตัก’ อยู่ครู่หนึ่ง บั้นท้ายของนางยังคงทับอยู่บนร่างของเหยาอี๋ฮวน แต่ใบหน้าของนางมีความเขินอายเล็กน้อย หมี่โม่หรู่บอกกับนางว่านางต้องไม่โกรธหรือเคลื่อนไหวมากเกินไปในระหว่างตั้งครรภ์ แต่ตอนนี้นางถูกเขาจับได้ นางจึงรู้สึกอับอายมาก

“เจ้ากำลังทำอะไรอยู่?” หมี่โม่หรู่เป็นคนแรกที่พูดขึ้นเพื่อทำลายความเงียบ

เหยาอี๋ฮวนสังเกตเห็นท่าทีที่เปลี่ยนแปลงไปของฉินปู้เข่อ ตอนนี้นางนอนอยู่ใต้ร่างของนางแล้ว จึงเหมาะที่สุดสำหรับการใช้มารยาทำตัวให้ดูน่าสงสาร

ดังนั้นนางจึงเลิกดิ้นรน นอนราบกับพื้นพลางเหลือบมองหมี่โม่หรู่ ก่อนจะสะอื้นไห้แล้วพูดว่า “ท่านอ๋อง…”

การเรียกว่า ‘ท่านอ๋อง’ นี้มีความหมายแอบแฝงอย่างแน่นอน นางเรียกเสียงเบาเพื่อแสดงถึงความคับข้องใจและความเศร้าและยังมีการครวญครางที่ชวนวาบหวิว ไม่ว่าชายใดได้ยินก็อาจจะเกิดปฏิกิริยาทางสรีรวิทยาที่ไหนสักแห่งขึ้น

น่าเสียดายที่ชายสามคนตรงหน้านางทุกคนต่างชะงักไปเมื่อพวกเขาได้ยิน และพวกเขาก็ขนลุก

เพียะ!

ฉินปู้เข่อยกมือซ้ายขึ้นตบโดยไม่ลังเล

“เจ้าส่งเสียงครางยั่วยวนใคร”

ชายสามคนที่ยืนใกล้กันต่างถอยหลังหนึ่งก้าว “ไม่ใช่ข้านะ!”

หมี่ฉงคิดในใจ ‘ข้าไม่ต้องการให้ตำหนักต้องถูกสร้างขึ้นใหม่ เงินก็ยิ่งไม่ค่อยมีอยู่ด้วย’

หมี่เฉินอี้ก้มมองพื้น ข้าไม่ได้เจอแม่สาวน้อยผู้นี้มานานแล้วและนางก็ยังเกรี้ยวกราดเช่นเคย ดูเหมือนว่าครั้งล่าสุดที่แม่สาวน้อยอยู่ที่ตำหนักอ๋องจั่วเสียน นางจะค่อนข้างใจดีแล้วนี่นา

หมี่โม่หรู่มองฉินปู้เข่อแล้วแสดงท่าทางออกมาอย่างรวดเร็ว ผู้หญิงที่ข้ารักคือเจ้า ข้าไม่สามารถถูกใครยั่วยวนได้นอกจากเจ้า

“ท่านอ๋อง…” เสียงอันหยาดเยิ้มไม่ยอมหยุดจนกว่านางจะบรรลุวัตถุประสงค์

เพียะ!

มือขวาตบหน้าเหยาอี๋ฮวนอีกครั้ง

หมี่โม่หรู่ที่แสดงท่าทางอ่อนโยนมาหลายปีไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องแสดงความไม่พอใจและน้ำเสียงของเขาก็ดุดัน “ท่านหญิงหยุดร้องได้แล้ว! เจ้ารู้หรือไม่ว่าคำว่า ‘ท่านอ๋อง’ ของเจ้าจะทำให้ข้าต้องนอนในห้องอ่านหนังสือนานแค่ไหน เด็กคนนี้กำลังจะเกิดแล้ว ถ้ายังโวยวายเช่นนี้อีก ลูกของข้าก็คงจะเรียกข้าว่าพ่อไม่ได้แล้ว!”

ฉินปู้เข่อเคยบอกว่าหากนางรู้ว่าหมี่โม่หรู่ทำอะไรไม่ดีระหว่างตั้งครรภ์ นางจะหายตัวไปพร้อมกับลูกทันทีหลังคลอด และจะให้ลูกในท้องเรียกคนอื่นว่าพ่อแทน

“พวกท่านทั้งสามสนุกมากหรือเพคะ?” ฉินปู้เข่อกวาดสายตาไปยังทั้งสามคนตรงหน้านาง

หมี่โม่หรู่รีบวิ่งออกจากตำหนัก “ภรรยา ข้ายังมีงานราชการที่ต้องจัดการ อย่ายุ่งอยู่ที่นี่มากเกินไป ระวังมือของเจ้าจะเจ็บ อู๋เหินจะอยู่ที่นี่กับเจ้าด้วย เจ้าเรียกใช้เขาได้ตามใจชอบเลย”

หมี่ฉงรีบโบกมือตาม “น้องสะใภ้ ข้าก็ไม่ว่างเหมือนกัน ยุ่งมากเลย”

หมี่เฉินอี้ “หิวหรือยังสาวน้อย อยากกินเสี่ยวหลงเปาหรือไม่ เดี๋ยวอาจะสั่งมาให้ ถ้าเสร็จแล้วจะได้มากินเลย”

ฉินปู้เข่อที่นั่งทับร่างหญิงสาวพยักหน้าแล้วชูนิ้วขึ้นนับ “เอาเหมือนเดิมยี่สิบเข่งรสเปรี้ยวและเผ็ด”

หลังจากที่ผู้คนในตำหนักรับชมความสนุกสนานจนจบแล้ว เหยาอี๋ฮวนที่ตัวสั่นเทาก็มองฉินปู้เข่อ

“พี่สาวพระชายา หม่อมฉัน…”

นางต้องการแสดงความอ่อนแอเพื่อขอความเห็นใจ แต่ฉินปู้เข่อไม่ให้โอกาสนางพูดเลยและตบนางซ้ายขวา

ขณะตบนางก็โต้กลับไปว่า “พี่สาวลุงเจ้าน่ะสิ มีเพียงหวนหวนของข้าเท่านั้นที่สามารถเรียกข้าว่า ‘พี่สาว’ ได้ เจ้ากล้าทำร้ายหวนหวนของข้าด้วยการใช้ไม้ทุบตีนางเพียงเพราะเรื่องซุปถั่วเขียวใช่หรือไม่ ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไปข้าจะต้มให้เจ้ากินสิบจินทุกวัน หากเจ้ากล้าทิ้งมันแม้แต่หยดเดียว หูรูดลำไส้และกระเพาะปัสสาวะของเจ้าได้กลั้นไม่อยู่อีกแน่!”

หลังจากตบจนมือชาแล้ว ฉินปู้เข่อก็ตระหนักได้ถึงความโกรธแค้นในใจของตัวเอง นางจึงยืนขึ้นและนั่งลงอย่างกะทันหัน ก่อนจะยกยิ้มอย่างเขินอายให้เหยาอี๋ฮวน “ขอโทษด้วย ครั้งสุดท้ายไม่นับนะ เพราะข้านั่งยองนานเกินไปจนขาของข้าชา”

เหยาอี๋ฮวนถูกตบจนรู้สึกเวียนหัว เมื่อนางลุกขึ้นนั่งก็รู้สึกราวกับว่าเครื่องในของนางกำลังจะถูกบีบออก มีเลือดติดอยู่ในลำคอของนางและรู้สึกอ่อนล้ายิ่งนัก

ฉินปู้เข่อผู้นี้ใช้วิธีใดทำให้อ๋องหลี่ชินพิศวาส นางดูบอบบางและไม่มีพิษมีภัยแต่แท้จริงแล้วร้ายกาจและโหดร้าย แม้ว่านางจะทำร้ายคนต่อหน้าอ๋องหลี่ชิน แต่อ๋องหลี่ชินก็ยังคงต้องการปกป้องนาง

ไม่เพียงแต่อ๋องหลี่ชินเท่านั้น แต่อ๋องคังชินและอ๋องจั่วเสียนก็ยังติดตามมาปกป้องนางอีกด้วย

เหยาอี๋ฮวนเอามือข้างหนึ่งกุมท้องไว้และใช้อีกมือจับหน้าของตน นางยืนตัวสั่นเทาและพูดอย่างน่าสงสารว่า “พี่สาวพระชายา ได้โปรดหยุดทำร้ายหม่อมฉันเถิดเพคะ หม่อมฉันรู้ว่าตัวเองผิดและหม่อมฉันจะไม่ไปหาท่านอ๋องอีกแล้ว…”

ฉินปู้เข่อแสยะยิ้มชั่วร้ายให้นาง “ท่านหญิงอี๋ฮวน เจ้าโดนตบมาหลายรอบแล้วแต่ก็ยังคงไม่รู้ว่าตัวเองผิดอะไร ดูเหมือนว่าเจ้าจะยังไม่ตื่นนะ”

“ข้ารู้แล้วว่าข้าผิด ข้ารู้แล้วว่าข้าผิด ข้าไม่ควรไปยุ่งกับซวงหวน ข้าไม่ควรเรียกหาท่านอ๋อง ข้าไม่ควรขอร้องให้พ่อแต่งข้าเข้าตำหนักอ๋องหลี่ชิน” เหยาอี๋ฮวนก้าวถอยหลังโดยไม่รู้ตัว

ในตอนแรกนางดูถูกอ๋องหลี่ชิน แต่หลังจากที่อ๋องหลี่ชินฟื้นตัวและเดินได้ เขาก็ดูหล่อเหลามากขึ้นเรื่อย ๆ ตั้งแต่นางเห็นหมี่โม่หรู่ติดต่อกับผิงเล่อเฮ่าพ่อของนางอย่างสุภาพ หัวใจของนางก็รู้สึกผูกพันกับหมี่โม่หรู่

หลังจากกลับไปอ้อนวอนพ่ออยู่ครึ่งเดือน พ่อของนางก็ให้สัญญากับนางว่าจะหาโอกาสให้นางได้แต่งเข้าตำหนักอ๋องหลี่ชิน แต่พ่อของนางทำได้เพียงช่วยให้นางได้แต่งงานเท่านั้น ส่วนวิธีการได้มาซึ่งตำแหน่งพระสนมนั้น นางต้องพึ่งพาการวางแผนของตัวเอง

แต่นางคาดไม่ถึงว่าฉินปู้เข่อที่เป็นพระชายาในตำหนักอ๋องหลี่ชินจะเป็นคนดุร้ายถึงเพียงนี้

คนนอกต่างบอกว่าลูกสาวคนรองแห่งจวนมหาเสนาบดีมีนิสัยอ่อนโยน และการแต่งงานกับอ๋องหลี่ชินก็เป็นภารกิจที่ได้รับมอบหมายชั่วคราวของท่านอ๋องด้วย ดังนั้นเขาจึงไม่มีความรู้สึกใด ๆ ต่อนางเลย แล้ววันนี้เป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไร?

“อืม ตอนนี้ดูเหมือนว่าเจ้าจะเข้าใจความผิดพลาดของตัวเองแล้วจริง ๆ” ฉินปู้เข่อถูมือที่เจ็บและมุ่ยปากใส่อู๋เหินที่อยู่ข้างนาง “พี่ชาย วันนี้หวนหวนของเจ้าถูกสาวใช้สองคนกดลงกับพื้น เจ้าต้องการระบายความโกรธของเจ้ากับนางและแสดงความเป็นชายของเจ้าต่อหน้าผู้หญิงของเจ้าหรือไม่”

เมื่อจู่ ๆ เขาก็ถูกเรียกชื่อ ใบหน้าเข้มของอู๋เหินก็ร้อนผ่าวทันที เขาเหลือบมองซวงหวนอย่างตื่นตระหนก และเห็นรอยเลือดบนข้อมือและเสื้อผ้าบนหลังของนางจริง ๆ

ชายผู้เงียบขรึมเม้มปากเดินไปหาฉินปู้เข่อแล้วโค้งคำนับ “ขอบพระทัยพระชายาที่ให้โอกาสผู้ใต้บังคับบัญชาพ่ะย่ะค่ะ”

จากนั้นเขาก็ก้าวไปข้างหน้าแล้วเตะสาวใช้เฒ่า ก่อนจะลังเลเล็กน้อยที่จะเริ่ม “พระชายา จะให้ข้าน้อยทุบตีนางให้ตายหรือไว้ชีวิตดีพ่ะย่ะค่ะ”

ฉินปู้เข่อขมวดคิ้วและมองเหยาอี๋ฮวนที่กำลังย่อตัวลง “ท่านหญิง เจ้าต้องการให้ทุบตีนางให้ตายหรือปล่อยให้นางมีลมหายใจอยู่?”

เหยาอี๋ฮวนกลั้นน้ำตาไว้ เมื่อมองดูสาวใช้เฒ่าสองคนที่แม่ของนางคัดเลือกมาอย่างดี หัวใจของนางก็สั่นสะท้านอย่างควบคุมไม่ได้ “ทำตาม ทำตามพระประสงค์ของพระชายาเลยเพคะ”

เห็นได้ชัดว่าคำตอบเช่นนี้บ่งบอกว่าตนไม่เกี่ยวข้องกับความเป็นความตายของสองคนนี้อีกต่อไป

สาวใช้เฒ่าคลานบนพื้นและร้องขอความเมตตา “ท่านหญิง ข้าน้อยเฝ้าดูท่านเติบโตขึ้นมานะเพคะ ท่านหญิง…”

……………………………………………………………………….