ตอนที่ 207 เสิ่นอวี้อิ๋งมาเยี่ยม
ตอนที่ 207 เสิ่นอวี้อิ๋งมาเยี่ยม
เจียงกั๋วเซิ่งกำลังกินเหลียงเฝิ่นอยู่ที่แผงขายของหลิวกุ้ยอิงเช่นเคย เมื่อเขาเห็นเจียงอวี่เฟย เขาก็แกล้งไอกลบเกลื่อนด้วยความเขินอายที่ถูกจับได้ พูดว่า “พ่อออกมาตามหาลูกแถวนี้ แต่ไม่เจอ บังเอิญเดินผ่านร้านของป้าหลิวก็เลยแวะนั่งกินเหลียงเฝิ่นรองท้องสักหน่อย”
“โอ้” น้ำเสียงของเจียงอวี่เฟยแฝงนัยบางอย่าง เห็นได้ชัดว่าไม่เชื่อ
เจียงกั๋วเซิ่งรู้สึกละอายใจเมื่อเห็นว่าลูกสาวค้นพบความลับเล็ก ๆ น้อย ๆ ของตัวเอง จากนั้นก็ถามเจียงอวี่เฟยพร้อมกับทำเสียงเคร่งขรึม “ลูกออกไปไหนมาแต่เช้า?
ตอนนี้กลับกลายเป็นเจียงอวี่เฟยเสียเองที่รู้สึกผิด หล่อนหลบเลี่ยงสายตาและหาข้อแก้ตัว “ฉันนัดเซี่ยเซี่ยออกไปช้อปปิ้งค่ะ”
จากนั้นรีบตะโกนบอกหลิวกุ้ยอิงทันที “ป้าหลิวคะ ฉันอยากได้เหลียงเฝิ่นชามหนึ่งค่ะ”
“ได้จ้ะ อวี่เฟย นั่งรอก่อนนะ เดี๋ยวป้ารีบทำให้”
พ่อและลูกสาวนั่งลงหน้าแผงขายอาหาร พอกินข้าวกันเสร็จเรียบร้อยก็ไม่ลืมบอกลาหลิวกุ้ยอิงแล้วจากไป
ทันทีที่พวกเขาออกห่างมาจากแผงขายของ เจียงอวี่เฟยก็เริ่มบ่นพ่อตัวเอง
“พ่อ ฉันบอกแล้วไม่ใช่เหรอ? ป้าหลิวไม่ได้คิดอะไรในเชิงนั้นกับพ่อเลยสักนิด จากนี้อย่าเอาแต่แวะเวียนไปหาหล่อนที่ร้านเลยนะคะ การกระทำของพ่อจะทำให้เราสองพ่อลูกต้องอับอายซะเปล่า พ่อเป็นถึงรองผู้อำนวยการโรงงานเชียวนะ เดี๋ยวคนอื่นเห็นแล้วจะนินทาเอาได้”
เจียงกั๋วเซิ่งหันหลังกลับอย่างไม่สบายใจ อธิบายว่า “ร้านของหล่อนก็เป็นแค่แผงขายอาหารธรรมดา ๆ พ่อไม่ได้ตั้งใจออกไปหาใคร สนใจแค่กินเหลียงเฝิ่นให้อิ่มท้อง”
เจียงอวี่เฟยเหลือบมองเขา แล้วพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “คิดว่าฉันมองไม่ออกเหรอว่าพ่อกำลังคิดอะไรอยู่?”
หล่อนจำเป็นต้องเรียกสติเขาจริง ๆ เพราะอดรู้สึกไม่สบายใจไม่ได้เมื่อเห็นว่าพ่อตัวเองเป็นแบบนี้ ด้วยวัยของเขาแล้ว หากเขาเต็มใจที่จะหาคู่ชีวิตสักคน ลูกสาวอย่างหล่อนก็ควรสนับสนุนเขา
แต่ป้าหลิวไม่มีความตั้งใจที่จะแต่งงานใหม่อีก หล่อนจึงไม่สามารถบังคับจิตใจใครเพราะเรื่องนี้ได้
เจียงอวี่เฟยจับแขนของเจียงกั๋วเซิ่ง แล้วพูดกับเขาด้วยเหตุและผลบราวนี่ออนไลน์
“พ่อคะ ฉันว่าพ่อควรพิจารณาที่จะพัฒนาความสัมพันธ์กับพี่สาวหวังดีไหม? หล่อนยังเด็ก มีพลังกายใจเต็มเปี่ยม แถมลูกสาวหล่อนก็ยังเล็ก การเลี้ยงดูหล่อนให้เติบโตไปพร้อมกันอาจจะง่ายกว่าการปรับตัวเข้าหาลูกเลี้ยงที่โตแล้ว ที่สำคัญคือหล่อนพอใจในตัวพ่อ แทนที่จะเอาความพยายามไปลงกับคนที่ไม่มีแม้แต่ความหวัง สู้ทุ่มเทให้กับคนที่สนใจเราดีกว่า ถ้าพวกพ่อเข้ากันได้ดี บางทีอาจจุดประกายไฟกันติดก็ได้ ฉันคิดว่าพี่สาวหวังก็ดูเป็นคนดีนะคะ”
เจียงกั๋วเซิ่งถอนหายใจ พูดพลางไตร่ตรองว่า “หล่อนอายุน้อยกว่าพ่อตั้งสิบสองปี น่ากลัวว่าระหว่างพวกเราอาจคุยกันคนละภาษา สามีแก่กับภรรยายังสาวจะปรับตัวเข้าหากันได้ยังไง? ระยะเวลาสั้น ๆ อาจไม่เป็นไร แต่นานวันเข้าอีกหน่อยต้องเกิดความขัดแย้งแน่”
ผู้หญิงคนนั้นอายุแค่สามสิบปี ยังอยู่ในช่วงวัยที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง ต่างจากเขาที่นับวันเมื่ออายุมากขึ้น สมรรถภาพก็ยิ่งถดถอยลง
การมีภรรยายังสาวจะยิ่งชวนให้เขาไม่มั่นใจในตัวเองซะเปล่า
เจียงอวี่เฟยแนะนำ “งั้นลองทำความรู้จักกันไว้ก็ได้นี่คะ ถ้าเข้ากันได้ดีก็ดีไป ฉันว่าผู้หญิงคนนี้ดูใจดีมากเลยนะ เป็นคนกระตือรือร้น ร่าเริงสดใส ถ้าหล่อนได้แต่งเข้าบ้านเราในอนาคต บ้านเราจะต้องอบอวลไปด้วยเสียงหัวเราะทุกวันแน่เลยค่ะ”
“เอาล่ะ ไว้พ่อจะลองศึกษาซึ่งกันและกันกับหล่อนดู”
ในที่สุดเจียงกั๋วเซิ่งก็ยอมผ่อนปรน ทำให้เจียงอวี่เฟยมีความสุขมาก อยากวิ่งไปนัดหมายหวังซิ่วฟางเสียเดี๋ยวนี้
หล่อนไม่วายเตือนเขาอย่างเคร่งขรึม “พ่อคะ ถ้าพ่อยินดีที่จะทำความรู้จักกับพี่สาวหวัง ถ้าอย่างนั้นพ่อจะแวะไปที่ร้านของป้าหลิวไม่ได้แล้วนะ ภาพลักษณ์ที่สำคัญที่สุดของผู้ชายคือการรักเดียวใจเดียว ต่อให้อายุมากแล้วก็ไม่ควรเหยียบเรือสองแคม คิดจะลงเรือลำเดียวกันแล้ว พวกคุณต้องเคารพซึ่งกันและกันก่อน”
เจียงกั๋วเซิ่งกลอกตามองหล่อน “ลูกเห็นพ่อเป็นคนแบบนั้นหรือไง?”
“ไปกันเถอะค่ะ วันนี้เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์พอดี เราไปเดินเล่นแถวลานกว้างหน้าโรงงานยานยนต์กันดีกว่า ฉันจะไปหาพี่สาวหวัง วันนี้พวกคุณสองคนลองไปเดินเล่นที่สวนสาธารณะดูนะ”
…
คล้อยหลังเจียงอวี่เฟยและเจียงกั๋วเซิ่งที่เพิ่งเดินออกไปจากแผงขายอาหารของหลิวกุ้ยอิง พวกหล่อนสองแม่ลูกก็ได้ต้อนรับแขกที่ไม่ได้รับเชิญ
เสิ่นอวี้อิ๋งตระเวนตามหาแผงของพวกหล่อนจากที่อยู่ที่เสิ่นเสี่ยวเหมยให้ไว้ ในที่สุดก็เห็นรถเข็นขายของว่างรวมถึงสองร่างอันคุ้นเคยอยู่ที่สี่แยกตรงหน้า
เสิ่นอวี้อิ๋งมองไปยังร่างบอบบางที่กำลังยุ่งวุ่นวายกับงานจากระยะไกล และเกือบจำหลิวกุ้ยอิงไม่ได้
ตอนนี้นอกจากหล่อนจะดัดผมตามสมัยนิยมแล้ว รูปร่างก็ดูสูงเพรียวและสวยสมวัยกว่าสมัยยังอยู่ในชนบท
ราวกับจะฉลองที่ตนกลับมายืนหยัดได้อีกครั้ง
แววตาของเสิ่นอวี้อิ๋งฉายความไม่พอใจ แต่ก็ปรับอารมณ์เสียใหม่ แล้วเดินตรงเข้าไปหา
หล่อนเดินไปที่แผงขายอาหาร ก่อนจะอุทานว่า “แม่ เสี่ยวเยี่ยน เป็นพวกคุณจริง ๆ ด้วย?”
หลิวกุ้ยอิงเงยหน้าขึ้นมองเมื่อได้ยินเสียง ทันทีที่เห็นหญิงสาวคนนั้นปรากฏตัวที่หน้าแผงขายอาหาร ก็โพล่งออกมาด้วยความตกตะลึง “เซี่ย… อวี้อิ๋ง”
หล่อนตอบสนองอย่างรวดเร็ว เปลี่ยนคำเรียกทันที
หลินเยี่ยนซึ่งนั่งอยู่ไม่ไกลและกำลังล้างจานแสดงสีหน้าแตกตื่นอย่างเห็นได้ชัด เหมือนไม่เชื่อว่าจะได้เจอเสิ่นอวี้อิ๋งอีก
นับตั้งแต่หลินเยี่ยนไปค้นเจอไดอารี่ของเสิ่นอวี้อิ๋ง และอ่านเนื้อหาข้างในอย่างระมัดระวัง ทำให้ตอนนี้หล่อนไม่หลงเหลือความประทับใจที่ดีต่อพี่สาวที่เติบโตมาด้วยกันคนนี้อีกต่อไป
กระทั่งตอนนี้ที่ได้เจอหน้าหล่อนอีกครั้ง สีหน้าก็ยังเต็มไปด้วยความหวาดระแวง
รู้แล้วว่าอีกฝ่ายไม่ใช่ผู้หญิงอ่อนแอที่มีจิตใจดีอีกต่อไป
เสิ่นอวี้อิ๋งแต่งตัวทันสมัยกว่าเมื่อก่อนมาก รสนิยมการสวมใส่เสื้อผ้าหรูหราขึ้นจากเดิมหลายระดับ สมัยที่หล่อนยังอยู่ในชนบท หล่อนแต่งตัวดีและมีรูปร่างดีเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ตอนนี้จึงปรับตัวกลายเป็นลูกสาวของครอบครัวที่ร่ำรวยในเมืองได้อย่างกลมกลืน
เสิ่นอวี้อิ๋งมองไปที่หลิวกุ้ยอิงและหลินเยี่ยนด้วยสีหน้าตื่นเต้นระคนดีใจ “แม่ แม่ย้ายมาที่ไห่เฉิงตั้งแต่เมื่อไหร่คะ? ทำไมมาถึงแล้วไม่แวะไปหาฉันที่บ้านตระกูลเสิ่นเลยล่ะ?”
หลิวกุ้ยอิงตอบกลับสั้น ๆ “เราย้ายมาอยู่ที่นี่สักระยะหนึ่งแล้วน่ะ”
“ย้ายมาแล้วก็ออกมาตั้งแผงขายของที่นี่เลยเหรอ? ธุรกิจเป็นยังไงบ้างคะ? แล้วตอนนี้พวกคุณไปอาศัยอยู่แถวไหน?” เสิ่นอวี้อิ๋งยิงคำถามมากมายด้วยน้ำเสียงที่เป็นห่วงเป็นใยอย่างยิ่ง
หลิวกุ้ยอิงชี้ไปที่ตรอกถนนโฮ่วช่าง “อยู่ในตรอกข้างหน้าโน่น”
“อวี้อิ๋ง ไหน ๆ เธอก็มาแล้ว นั่งกินเหลียงเฝิ่นสักชามก่อนสิ” หลิวกุ้ยอิงจัดการหั่นเหลียงเฝิ่นและเติมน้ำซุปลงในชามอย่างรวดเร็ว
ถึงอย่างไรหล่อนก็เป็นลูกสาวที่ตนทะนุถนอมเลี้ยงดูมายี่สิบปี เมื่อได้เจอหน้ากันอีกครั้ง หลิวกุ้ยอิงก็ยังไม่สิ้นเยื่อขาดใยเสียทีเดียว
“ขอบคุณค่ะแม่” เสิ่นอวี้อิ๋งเหลือบมองม้านั่งตัวเล็กที่ทั้งสั้นและแคบ ขมวดคิ้วด้วยความรังเกียจ แต่ก็นั่งลงอย่างระมัดระวัง
หล่อนกินเหลียงเฝิ่นจนหมด จากนั้นก็ยื่นชามให้หลินเยี่ยน
หลินเยี่ยนรับชามแล้วก็ก้มหน้าก้มตาทำงานต่อ ไม่คิดจะคุยกับเสิ่นอวี้อิ๋งเลยสักคำ
ตอนที่พวกหล่อนอยู่ในบ้านเกิด หลินเยี่ยนก็เป็นคนแบบนี้เสมอ หล่อนเป็นคนเก็บตัว รู้แค่หน้าที่ตัวเองและการทำงานเท่านั้น ในฐานะพี่สาว เสิ่นอวี้อิ๋งกลับบ้านทุกวันหยุดสุดสัปดาห์ จึงไม่ได้สนใจอะไรหล่อนมากนัก ดังนั้นในเวลานี้จึงไม่แปลกที่พวกหล่อนทั้งสองจะเผชิญหน้ากันด้วยความเงียบงัน
ตอนนี้บ่ายกว่า ๆ แล้ว ยังมีเหลียงเฝิ่นเหลืออีกสองชาม แต่หลิวกุ้ยอิงไม่ได้ตั้งใจจะขายให้หมด เพราะวันนี้ต้องกลับไปเตรียมวัตถุดิบทำกับข้าวแต่หัววัน
คืนนี้ลูกสาวและลูกเขยของหล่อนจะแวะมาที่บ้านเพื่อกินข้าวมื้อเย็น
เมื่อเห็นว่าพวกหล่อนกำลังตั้งท่าจะเก็บแผงขายของ เสิ่นอวี้อิ๋งก็พูดเสียงหวาน “แม่คะ พวกเราไม่ได้เจอกันตั้งนาน ฉันอยากตามไปคุยกับแม่ที่บ้านจังเลย”
หลิวกุ้ยอิงปฏิเสธหล่อนอย่างสุภาพ “อวี้อิ๋ง อีกไม่นานก็เย็นแล้ว เธอควรกลับบ้านตั้งแต่หัววัน บ้านพักของเราทรุดโทรมสภาพแวดล้อมแย่ ขอเสียมารยาทไม่เชิญเธอมาที่บ้านก็แล้วกันนะ”
เมื่อเสิ่นอวี้อิ๋งได้ยินแบบนั้น สีหน้าของหล่อนก็แข็งค้าง
ไม่นึกเลยว่าคนอย่างหลิวกุ้ยอิงจะกล้าปฏิเสธหล่อน ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าตอนนี้หล่อนกลายเป็นลูกสาวชาวเมืองไปแล้ว แต่ก็ยังอุตส่าห์แวะมาเยี่ยมเยียน
พวกหล่อนเห็นแล้วนี่ว่าตอนนี้หล่อนร่ำรวยแค่ไหน ทำไมถึงไม่คิดที่จะขูดรีดหรือเอาเปรียบหล่อนเลยล่ะ?
อีกอย่าง ทำไมหลิวกุ้ยอิงถึงเปลี่ยนไปมากขนาดนี้?
เมื่อก่อนผู้หญิงคนนี้มักจะยอมจำนนเสมอ ตอนอยู่กับตระกูลหลิน หลิวกุ้ยอิงมักจะเห็นด้วยกับสิ่งที่หล่อนกับแม่เฒ่าหลินพูดโดยที่ไม่เคยโต้แย้งใด ๆ
ใครจะไปคิดว่าทัศนคติของหลิวกุ้ยอิงที่มีต่อหล่อนในเวลานี้เต็มไปด้วยความห่างเหินและเฉยชา เสียเวลากรีดกรายมาหาจริง ๆ
เสิ่นอวี้อิ๋งบีบน้ำตาตีหน้าเศร้าทันที “แม่ ทำไมแม่ถึงได้ใจร้ายกับฉันแบบนี้ ถึงแม้ว่าเราจะไม่ใช่แม่ลูกกันแท้ ๆ แต่เราก็เคยอยู่ร่วมครอบครัวกันมาตั้งยี่สิบปี ฉันยังคิดถึงแม่ตลอด ยังอยากไปรับแม่ให้มาอยู่ที่ไห่เฉิงด้วยกันด้วยซ้ำ ไม่อย่างนั้นฉันจะรีบมาตามหาแม่ทันทีที่ถึงวันหยุดสุดสัปดาห์หรอกเหรอ?”
หลิวกุ้ยอิงกำลังยุ่งอยู่กับการยกของขึ้นรถเข็น พูดด้วยน้ำเสียงสงบ “คุณย่าของเธอก็คิดถึงเธอมากเหมือนกัน เมื่อก่อนสองย่าหลานก็ดูรักใคร่กันดี จะลองกลับไปเยี่ยมท่านก็ได้”
ท่าทางของหลิวกุ้ยอิงเย็นชาอย่างเห็นได้ชัด ทำให้เสิ่นอวี้อิ๋งฉุกใจคิดถึงบางสิ่งได้ทันที
คงเป็นเพราะการเสี้ยมสอนของนังหลินเซี่ยแน่
ถ้าอีกฝ่ายไม่พูดถึงสารพันสิ่งที่ไม่ดีเกี่ยวกับหล่อนต่อหน้าหลิวกุ้ยอิง หลิวกุ้ยอิงคงไม่มีวันแสดงท่าทีแบบนี้กับหล่อนแน่
“แม่ ฉันไม่รู้ว่าฉันไปทำให้หลินเซี่ยขุ่นเคืองตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่หล่อนตั้งตัวเป็นศัตรูกับฉันตั้งแต่แรกพบหน้า แถมยังคอยสร้างเรื่องยุ่งยากให้ฉันเสมอเลย” เสิ่นอวี้อิ๋งพร่ำบ่นกับหลิวกุ้ยอิงอย่างเสียใจ “คนที่เปิดโปงภูมิหลังของหล่อนไม่ใช่ฉันซะหน่อย ต่างคนต่างก็ได้เจอแม่แท้ ๆ ของตัวเอง แล้วทำไมหลินเซี่ยถึงยังมุ่งเป้าไปที่ฉันล่ะ?”
หลิวกุ้ยอิงโต้กลับทันควัน “เซี่ยเซี่ยไม่ใช่คนแบบนั้น”
“ทำไมจะไม่ใช่?” จู่ ๆ เสิ่นอวี้อิ๋งก็เริ่มอารมณ์ขึ้น “ถ้าอย่างนั้นทำไมหล่อนถึงบอกให้อันธพาลเจิ้งต้าหมิงมาที่ไห่เฉิงแล้วตามก่อกวนฉันล่ะ?”
ทุกวันนี้หล่อนถูกเจิ้งต้าหมิงมารังควานเช้าเย็นจนแทบจะเป็นบ้าตาย
เมื่อก่อนตอนที่เรียนอยู่ในตัวอำเภอ หล่อนจงใจหว่านเสน่ห์ใส่เจิ้งต้าหมิงจนเขาติดกับ ก็เพราะโกรธที่เจิ้งเสี่ยวหมิงไม่ยอมสนใจหล่อน
หล่อนไม่เคยมีใจให้เจิ้งต้าหมิง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนนี้ที่ตัวตนของหล่อนเพิ่งจะผ่านการเปลี่ยนแปลงชนิดที่เรียกได้ว่าสะเทือนโลกา แล้วจะต้องขีดเส้นแบ่งที่ชัดเจนจากชีวิตตอนอยู่บ้านนอก และเริ่มต้นใหม่ในเมืองศิวิไลซ์
แต่ตอนนี้เจิ้งต้าหมิงเข้าเมืองมาสมัครงานที่ร้านซ่อมจักรยานหน้าโรงเรียนมัธยมไห่เฉิงแห่งที่หนึ่งโดยตรง เมื่อฝดก็ตามที่เพื่อนร่วมชั้นของหล่อนไปซ่อมจักรยานที่นั่น เขาจะบอกพวกเขาเสมอว่าแฟนสาวของเขาคือเสิ่นอวี้อิ๋ง ซึ่งกำลังเรียนอยู่ที่เดียวกับพวกเขาเช่นกัน
ตอนนี้ เพื่อนร่วมชั้นบางคนในชั้นเรียนต่างก็เริ่มซุบซิบนินทาหล่อนแล้ว
เมื่อวานนี้พอหลิวจื้อหมิงแวะมาที่โรงเรียนเพื่อตามหาหล่อน และแวะเติมลมยางที่ร้านซ่อมจักรยาน หล่อนจำได้ว่าตัวเองแทบช็อกตายเพราะความตื่นตระหนก
หลินเยี่ยนที่เอาแต่จดจ่อกับงานของตัวเองมาโดยตลอด ในที่สุดก็อดไม่ได้ที่จะตอบโต้ด้วยน้ำเสียงไม่ดี “นั่นไม่ใช่แฟนที่เธอเคยพูดถึงสมัยอยู่ในบ้านเกิดหรอกเหรอ? ต่อให้เขาจะเข้าเมืองมาตามหาเธอแล้วยังไง เกี่ยวอะไรกับพี่สาวฉันกัน?”
ถ้าไม่เห็นเนื้อหาภายในสมุดไดอารี่ของเสิ่นอวี้อิ๋งโดยบังเอิญ คงโดนหล่อนหลอกต้มไปนานแล้ว
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
พี่สาวหวังจะมีหวังแล้วไหมน้า
ยัยตัวดีมารำลึกความหลังอะไรที่นี่ กลับหลุมเก่าที่เคยอยู่ไปเลยไป
ไหหม่า(海馬)