บทที่ 174 มีจิตสังหาร

หวางเฟยเสด็จ ท่านอ๋องหลีกไป

บทที่ 174 มีจิตสังหาร

“หากเป็นเช่นนี้ เขาจะมาที่นี่ทำไมกัน?เพราะต่อให้มาจริง ก็มาเพื่อที่สังหารเจ้า แล้วเขาจะเชิญเจ้าขึ้นเตียงคอยปรนนิบัติมอบของแสนอร่อยให้งั้นรึ?”

หลานเยาเยารู้สึกว่าถ้าเกิดเย่แจ๋หยิ่งโง่ ก็คงจะเป็นเพราะเขาอวดดีเกินไป

เพราะใช้หัวแม่เท้าคิดก็รู้ว่าคนที่อยากจะฆ่านาง จะมาช่วยนางได้อย่างไรกัน?

แต่แล้วเย่แจ๋หยิ่งกลับไม่ได้กล่าวต่อถึงสิ่งที่นางพูด เพียงปรากฏรอยยิ้มที่ยากเกินจะหยั่งรู้ขึ้นมา

แล้วเวลาก็ผ่านไปไม่นาน ชั้นดาดฟ้า เสาเข็มของเรือใหญ่ และของที่สามารถลอยได้ก็ถูกแยกเป็นส่วนๆ

พร้อมทั้งอาหารแห้งที่ถูกแจกจ่ายอย่างเท่าเทียม

แล้วหลานเยาเยาก็ได้เห็นถังอาบน้ำไม้สองถัง นางจึงพยายามอยู่นานในการกลิ้งมันมาตรงหน้าเย่แจ๋ห

“ไอ้ย๊า!เหนื่อยเสียงจริงๆ เพื่อเจ้าสองถังนี้ทำเอาเอวข้ากิ่วไปหมดแล้ว”

นางวางก้นนั่งลงกับพื้นพลางพิงตัวกับถังไม้แล้วมองไปยังเย่แจ๋หยิ่งด้วยสายตาละห้อย แต่ทันทีที่เย่แจ๋หยิ่งหันหลังกลับมาก็ไปที่ถังไม้ทั้งสองด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความรังเกียจ

“เจ้าอยากอาบน้ำกับข้างั้นรึ?”

“ใครอยากอาบน้ำกับท่านกันเล่า?นี่ใช้สำหรับเอาชีวิตรอด ยังจะมาทำเป็นรังเกียจอีก เดิมทีเจ้าถังไม้นี้มีชายร่างสูงสองเป็นเจ้าของอยู่แล้ว ข้าต้องใช้เงินถึงสองพันสองร้อยตำลึงถึงได้มันมาอยู่ในมือ เอาเป็น……สองพันสองตำลึงข้าขายให้ท่านถังหนึ่ง?”

ด้วยเหตุนี้ นางอุตส่าห์ไปต่อรองอยู่นานสองนาน เขาดันไม่ชอบใจเสียอย่างนั้น รู้เช่นนี้น่าจะซื้อมาเพียงถังเดียวปล่อยให้เขาไปหาเอาตัวรอดคนเดียว

หากเป็นเช่นนั้นนางก็จะสามารถเก็บเงินไว้ได้หนึ่งพันสองตำลึงแล้ว!

“เหอะ!”

เย่แจ๋หยิ่งที่ใบหน้านิ่งเฉยเมื่อเห็นท่าทางเห็นแก่เงินของนางก็ถึงกับยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้

“จะเอาไม่เอาก็แล้วแต่ท่าน”

เมื่อเห็นเย่แจ๋หยิ่งไม่มีทีท่าจะมอบเงินให้ สีหน้าของหลานเยาเยาก็ลดลง แล้วจึงรีบยืนขึ้นพลางกำลังจะกลิ้งถังไม้ทั้งสองออกไป

ใครจะรู้……

นางพยายามใช้แรงอย่างหนักแต่กลับดันไม่ขยับสักนิด เลยอดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นไปดู ก็เห็นแขนเรียงยาวกำลังกดถังไม้อยู่ ไม่ว่านางจะออกแรงเยอะขนาดไหนก็ไม่ขยับเลย

“นี่ท่านจะทำสิ่งใด?ยอมจ่ายเงินแล้วรึ?”

แท้จริงแล้ว!

ถ้าเกิดไม่ยอมที่จะจ่ายเงิน ท้ายที่สุดนางก็ยังทิ้งถังไม้ไว้ให้เขาอยู่ดี

“ขนาดข้ายังเป็นของเจ้า แล้วเจ้ายังต้องการสิ่งใดอีก?ฮืม?”

ทันทีขูดออกมา หูของหลานเยาเยาก็ร้อนวูบวาบขึ้นมา

ความหมายของเย่แจ๋หยิ่งก็คือ ตัวเขาเป็นของนาง ดังนั้นทุกอย่างของเขาก็เป็นของนางด้วย? รวมทั้งสมบัติ จวน นางเข้าใจเช่นนี้ถูกหรือไม่ ?

เมื่อคิดเช่นนี้ ใจของนางก็เต้นแรงขึ้นมา…….

“ท่านหมายถึงสิ่งที่ข้าเข้าใจใช่หรือไม่?”

“แน่นอน!”มุมปากของเย่แจ๋หยิ่งยกขึ้น ก่อนจะพูดต่อ“ในทางตรงกันข้าม เจ้าก็เช่นกัน!”

……เอ่อ!

ก็รู้อยู่แล้วว่าเขาจะใจกว้างขนาดนั้นได้อย่างไร เจ้าคนนี้เลวมากจริงๆ

“ห๊า?ท่านพูดอะไรนะ?อยู่ๆหูของข้าก็อื้อขึ้นมา เมื่อสักครู่นี้ท่านว่าอะไรนะ?”

ในขณะที่พูดหลานเยาเยาก็ใช้นิ้วชี้ที่หูพลันดึงเพื่ออธิบาย จากนั้นก็เดินจากไป

แล้วถิงเมี่ยนที่ยืนดูพวกเขาอย่างเงียบๆอยู่ข้างตลอด ก็เดินตามหลานเยาเยาด้วยความสงสัย ก่อนจะถามด้วยความงุนงง

“ความสัมพันธ์ของท่านกับอ๋องเย่นั้นช่างทำให้รู้สึกประหลาดใจเสียจริง”

พอได้ยิน!

หลานเยาเยาก็ไม่ได้หยุดฝีเท้า หลังจากที่เหลือบไปมองเขาด้วยสายตาที่เย็นชา ถึงได้พูด

“แปลกงั้นรึ”

“ก็ไม่ถึงกับแปลกหรอก เพียงแต่เป็นสิ่งที่เห็นแล้วกล่าวอธิบายไม่ได้ ก็เห็นชัดว่าพวกท่านเป็นสามีภรรยากัน แล้วอ๋องเย่เองก็ดีต่อท่านมาก ท่านกลับจงใจที่จะอยู่ต่อ แต่เขากลับไม่ได้ห้าม ราวกับว่า …..ราวกับ…….”

“เขาไม่ได้คิดจะให้ข้าไปก่อนอยู่แล้ว”

ไม่เช่นนั้น เด็กสาวที่หลงเหลืออยู่จะโผล่มาได้ตรงเวลาขนาดนั้นได้อย่างไร?

แม้จะไม่รู้ว่าเหตุใดเย่แจ๋หยิ่งถึงได้ทำเช่นนี้ แต่นางรู้ว่าเขาจะไม่ทำร้ายนางก็พอแล้ว

“ห๊า?”

แล้ว ถิงเมี่ยนก็นิ่งด้วยอาการไม่เข้าใจ หลานเยาเยาเองก็ไม่ได้กล่าวสิ่งใดต่อ

แล้วน้ำในตัวเรือก็ค่อยๆสูงขึ้น เรือใหญ่ที่ลอยอยู่เหนือทะเลก็ค่อยๆจมลงสู่ท้องทะเล……

แล้วทันใดนั้น !

เสียงอันตื่นตกใจของใครบางคนก็ตะโกนดังขึ้นมา

“เรือ……เรือผี…….เรือผีมาแล้ว……”

ทุกคนต่างเพ่งสายตาไปยังตัวของคนๆนั้น โดยที่เสียงของเขาก็ยังสั่นอยู่ หลังจากนั้นก็มองไปพื้นห่างออกไปที่ปลายนิ้วมือของเขากำลังชี้ไป

แล้วทุกคนก็ได้เห็นสัตว์ร้ยตัวใหญ่ที่กำลังแหวกกลุ่มหมอกเข้ามา เหล่าคนขี้ขลาดก็ตกใจจนตัวเกรงไปหมด

จากนั้นสัตว์ร้ายตัวนั้นก็ยิ่งใกล้เข้ามาทุกที เรือลำนั้นที่ใหญ่กว่าแล้วยังหรูหราเป็นอย่างมากก็ยิ่งเห็นได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น

“……คือเรือ มีเรือมาแล้ว พวกเรารอดแล้ว ……”หลังจากที่เสียงตื่นเต้นดังขึ้น ทุกคนยังไม่ทันได้ดีใจ เสียงนั้นก็ตะโกนออกมาด้วยความหวาดกลัว

“แย่แล้ว……แย่แล้ว……มันคือ คือเรือแห่งความสิ้นหวัง……”

หนึ่งในผู้โดยสารรู้ถึงรูปลักษณ์ของสัตว์ร้ายตัวใหญ่ทันที

สำหรับบางคนแล้ว เรือแห่งความสิ้นหวังเป็นที่ที่พวกเขาปรารถนาที่อยากขึ้นไป แต่สำหรับบางคนที่ยังไม่ได้เข้าใจถึงที่มาของเรือแห่งความสิ้นหวัง มันก็กลายเป็นราวกับหายนะอย่างไร้ข้อสงสัย

บางคนที่กลัวก็พากันไปหลบซ่อนตัว แต่ก็ยังมีบางคนที่ใจกล้าที่ยังยืนประจานห้าอยู่บนดาดฟ้าเรือ สายตาเพ่งไปยังเอแห่งความสิ้นหวังที่ค่อยๆเคลื่อนใกล้เข้ามาทุกที

“ดูท่าทางขี้ขลาดของพวกเขาแต่ละคนสิ เรือแห่งความสิ้นหวังมีอะไรน่ากลัว นั่นก็แค่เรือลำหนึ่ง! จะฆ่าเราอย่างไร้เหตุผลได้อย่างไรกัน?”

“ใช่แล้ว ข้าได้ยินมาว่าเป็นพาณิชย์ ก็แค่พ่อค้าหน่ะ!สิ่งที่เขาต้องการไม่ใช่เงินหรือยังไง?สิ่งที่ข้ามีก็คือเงิน เดี๋ยวรออีกสักครู่ให้เจ้าของเรือของเรือแห่งความสิ้นหวังมาแล้วได้เห็นเงินในมือของข้า ก็คงจะออกมาต้อนรับข้าเป็นอย่างดี”

“ช่างสมเหตุสมผล เช่นนั้นข้าก็จะเอากระดาษเงินออกมาให้เขาดูว่าข้านั้นเป็นผู้มีฐานะร่ำรวย ……อ๊า……”

เพียงแต่ว่า……

หนึ่งในพวกเขานั้น ยังพูดไม่ทันจบก็ถูกยิงด้วยลูกศรธนูอันแหลมที่ลอยมาจากกลางอากาศจนตาย

เมื่อเห็นว่าคนตาย พวกเขาไม่กี่คนที่อยู่ตรงนั้นก็ถึงกับเบิกตากว้างด้วยความหวาดกลัว อยากจะเข้าไปหาที่ซ่อนตัวก็ไม่ทันเสียแล้ว

เท้าที่ยังไม่ทันได้ก้าว ก็ถูกลูกธนูปักทะลุเข้าไปในร่างกาย ตายคาที่…….

“ฟิ้ว……”

“ฟิ้ว……”

“ฟิ้ว……”

……

ลูกธนูอันแหลมคมที่พุ่งทะลุอากาศจากเรือแห่งความสิ้นหวังได้พุ่งเข้าใส่เรือลำใหญ่ราวกับห่าฝนและจากนั้นก็หยุดลงหลังจากยิงเรือลำใหญ่จนกลายเป็นตัวเม่น

หลานเยาเยามองไปยังแขนเสื้อที่ถูกลูกธนูยิงเฉียดไป พร้อมกับถอนหายใจหนักๆออกมา พลางที่เช็ดเหงื่อบนหน้าผาก ยังโชคดีที่หลบทัน ไม่เช่นนั้นนางก็คงได้รับบาดเจ็บไปแล้ว

“ปัง……”

แล้วเกิดการกระทบกันอย่างรุนแรงจนนางล้มลงไปกับพื้น

นางจึงรีบลุกขึ้นมาแล้วชะเง้อหน้าออกไปดู

ก็เห็นเพียงเย่แจ๋หยิ่งที่ยืนอยู่กลางสายลมพร้อมกับชายเสื้อที่ปลิวไสว ราวกับกษัตริย์ที่ยืนอยู่ตรงนั้นกำลังยืนอยู่ต่อหน้าของเรือแห่งความสิ้นหวัง

ออร่าของกษัตริย์นั้นพ่นออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ ถึงแม้จะอยู่ต่อหน้าเรือลำใหญ่อย่างเรือแห่งความสิ้นหวังก็ตาม แต่กลับสร้างความรู้สึกที่ทำให้ผู้คนนั้นอยากเคารพ

บรรยากาศในตอนนี้ช่างรุนแรงจริงๆ …

“อ๋องเย่ ไม่ได้เจอกันนาน ยังจำข้าได้หรือไม่?”

เสียงทุ้มต่ำที่ดูเหมือนจะออกมาจากก้นบึ้งหัวใจ ทำให้ผู้ที่ได้ยินยิ่งรู้สึกสิ้นหวัง

ชายคนหนึ่งสวมเสื้อคลุมสีม่วงเข้มและหน้ากากสีเงิน ร่างกายที่ดูเหมือนจะมีวิญญาณชั่วร้ายแฝงอยู่ ทำให้ผู้คนที่ได้พบเห็นต้องจะล่าถอย

ดวงตาที่เศร้าหมองราวกับว่างเปล่า และดูเย็นชา พร้อมทั้งผมสีขาวที่ปลิวไสว ราวกับยมทูตที่มาที่นี่เพื่อรับวิญญาณ