บทที่ 204 ให้เสด็จพ่อเป็นผู้ตัดสินพระทัย
บทที่ 204 ให้เสด็จพ่อเป็นผู้ตัดสินพระทัย
“ท่านพี่ พรุ่งนี้ข้าอยากมาอีก มีลูกพลับเหลืออีกเยอะแยะเลยนะ!”
นางถึงขั้นคิดอยากจะพักอยู่ที่นาหลวงเลยทีเดียว พอฟ้าสางจะได้วิ่งขึ้นเขาและนำทุกอย่างที่กินได้กลับมากักตุนไว้เยอะ ๆ เหมือนกับพวกกระรอกตัวน้อย
“เจ้าไปทูลขอเสด็จพ่อ หากว่าพรุ่งนี้อยากขึ้นเขาก็มาหาข้า” หนานกงฉีซิวรับลูกพลับอ่อนที่นางยื่นให้ เป็นลูกพลับลูกเล็กสีสวยแปลกตา
เสี่ยวเป่าพยักหน้า “เพคะ เสี่ยวเป่าจะไปขอท่านพ่อ”
เสี่ยวเป่านำลูกพลับและซู่เหมยออกจากนาหลวงไปด้วย นางใช้ความพยายามหอบหิ้วลูกพลับอ่อนและซู่เหมยกองใหญ่ไปที่บ้านของท่านอาเจ็ด
ใบหน้าจิ้มลิ้มของเจ้าก้อนแป้งถูกเหล่าญาติผู้พี่กอดรัดฟัดเหวี่ยงและบีมแก้มไปมา ไม่ง่ายเลยกว่าที่เสี่ยวเป่าจะแทรกตัวออกมาจากวงล้อมได้
นางทุบหน้าอกน้อย ๆ ด้วยสีหน้าตื่นกลัว “มีพี่ชายเยอะแยะไปหมด เสี่ยวเป่ากลัวแล้ว!”
เจ้าตัวเล็กถูใบหน้ารูปไข่ที่นุ่มนิ่มเหมือนเต้าหู้ หน้านิ่วคิ้วขมวดพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่
“หน้าตาดีก็เป็นทุกข์เหมือนกันนะ”
หนานกงหลีที่เผอิญมาได้ยินประโยคนี้เข้าพอดีถึงกลับหัวเราะดังลั่น
“ใช่หรือไม่เล่า อาเจ็ดของเจ้าออกไปข้างนอกทีไรก็ถูกสาว ๆ พากันรุมปาถุงหอมใส่เพราะหล่อเหลาเกินไปอยู่เรื่อย”
พระชายาเซียวเหยาอ๋องกลอกตาพลางยื่นสำรับของว่างให้เสี่ยวเป่า
“นี่เป็นของว่างที่ห้องเครื่องของจวนอ๋องทำไว้ เสี่ยวเป่ารับไปกินนะ”
“ขอบพระคุณท่านอาสะใภ้เพคะ~”
“เสี่ยวเป่าขอบคุณอาเจ็ดด้วยสิ มาให้อาหอมแก้มหนึ่งที”
พูดจบก็พลางอุ้มเจ้าตัวน้อยขึ้นมา จากนั้นก็เริ่มแทะก้อนนิ่มบนแก้มของนาง
เสี่ยวเป่าลูบแก้มพลางถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย ถูกจับถูกหอมแก้มอยู่เรื่อย หน้าของเสี่ยวเป่าทำงานหนักจริง ๆ!
เมื่อออกจากจวนเซียวเหยาอ๋องและบอกลาพี่ใหญ่แล้ว ทั้งสองก็กลับเข้าวังไปเข้าเฝ้าหนานกงสือเยวียน
เจ้าก้อนแป้งยื่นลูกพลับและซู่เหมยให้ท่านพ่อของตนราวกับถวายเครื่องราชบรรณาการก็ไม่ปาน ดวงตาสุกใสเป็นประกายจ้องมองเขา ปากก็ร้องเรียกท่านพ่ออย่างออดอ้อน
แค่เห็นท่าทางของนาง หนานกงสือเยวียนก็รู้แล้วว่าเจ้าตัวน้อยต้องอ้อนขอสิ่งใดเป็นแน่
“ว่ามาสิ อยากได้อันใด”
เสี่ยวเป่าใช้มือน้อย ๆ ที่ไม่ค่อยจะมีเรี่ยวมีแรงนวดแขนให้บิดา หนานกงสือเยวียนไม่รู้สึกอะไรเลย แต่กล้ามเนื้อแขนเป็นมัดทำให้เด็กน้อยรู้สึกเจ็บที่นิ้ว
นางเป่านิ้วมือตัวเองสองสามที จากนั้นก็เอ่ยถามด้วยเสียงอ่อนหวาน
“ลูกพลับกับซู่เหมยอร่อยมากใช่หรือไม่เพคะท่านพ่อ ท่านพ่ออยากกินอีกหรือไม่?”
หนานกงสือเยวียน “ไม่อยาก”
เสี่ยวเป่า: …
ท่านพ่อพูดเช่นนี้ จะให้เสี่ยวเป่าตอบเช่นไรเล่า
“ท่านพ่อ บนภูเขายังมีของกินให้เก็บอีกเยอะแยะเลยเพคะ หากปล่อยให้เน่าเสียคงน่าเสียดายแย่”
ท่านพ่อมองเสี่ยวเป่า ดูแววตาของเสี่ยวเป่าสิเพคะว่าอยากไปขนาดไหน…
หนานกงสือเยวียนแค่ส่งเสียง “อืม” ราวกับว่าไม่ได้ยินสิ่งที่นางพูด
เสี่ยวเป่า “…ท่านพ่อ~~ พรุ่งนี้เสี่ยวเป่าไปอีกได้หรือไม่”
“ถ้าหากเจ้า…”
“ไม่มีถ้าหากเพคะ หากท่านพ่อไม่ให้ไป เสี่ยวเป่าจะโกรธแล้วนะ”
ถึงขั้นแย่งพูดเชียวหรือนี่
หนานกงสือเยวียนบีบจมูกของลูกสาว “จะโกรธอย่างไร หืม”
เสี่ยวเป่าพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นไม่ยอมแพ้ “เสี่ยวเป่าจะหอบหมอนแล้วหนีออกจากบ้าน!”
หุหุ นางพูดเสียน่ากลัวขนาดนั้น ท่านพ่อต้องกลัวแน่ ๆ
“หึ…”
ทั้งหนานกงสือเยวียนและหนานกงฉีโม่ต่างพากันหัวเราะออกมา
“พระราชวังแห่งนี้เป็นของบิดาเจ้า แล้วเจ้าจะหนีไปที่ใดเล่า?”
จักรพรรดิตรัสถามเสียงต่ำพร้อมรอยยิ้มบาง ทั้ง ๆ ที่เป็นคนเลือดเย็นอำมหิต แต่บัดนี้กลับมีความอดทนมากทีเดียว
เสี่ยวเป่า “เสี่ยวเป่าจะไปนอนกับท่านพี่”
หนานกงสือเยวียนแค่นหัวเราะในลำคอ “รู้จักข่มขู่บิดาแล้วหรือ?”
เสี่ยวเป่าเห็นดวงตาลุ่มลึกของท่านพ่อก็รู้สึกวุ่นวายใจพลางหดคอน้อย ๆ
“เปล่านะเพคะ เสี่ยวเป่าไม่ได้ขู่ท่านพ่อเสียหน่อย”
ด้วยความออดอ้อนอย่างดื้อรั้นและการให้ท้ายของบิดา ในที่สุดนางก็ได้รับอนุญาตให้ออกจากวังในวันพรุ่งนี้ เสี่ยวเป่ากระโดดกอดและหอมแก้มท่านพ่อหลายต่อหลายที
หนานกงฉีโม่ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ “…”
ช่างเถิด เสด็จพ่อสูญสิ้นภาพลักษณ์เย็นชาเมื่ออยู่ต่อหน้าน้องสาวตัวน้อยไปจนหมด เขาชินกับมันแล้ว
เสี่ยวเป่าบอกลาท่านพ่อและพี่ชายอย่างมีความสุข แทบรอไม่ไหวที่จะจัดการกับลูกพลับพวกนั้น
ทำลูกพลับอบแห้ง แล้วก็บ่มเหล้าลูกพลับ!
ของอร่อยทั้งนั้นเลย!
สองพ่อลูกยิ้มบาง ๆ ที่มุมปากขณะมองดูเสี่ยวเป่าจากไป จนกระทั่งนางลับสายตา รอยยิ้มบนใบหน้าของหนานกงสือเยวียนก็พลันหายไปโดยสิ้นเชิง
ฮ่องเต้ผู้เย็นชาไร้หัวใจได้กลับมาแล้ว
หนานกงฉีโม่ไม่ได้รู้สึกแปลกใจเลยสักนิด
“เจ้าไปที่จวนเซวียนผิงโหวแล้ว คิดเห็นเช่นไร”
มีแค่ธุระสำคัญและงานราชการที่จะทำให้สองพ่อลูกอยู่ด้วยกันได้
รอยยิ้มในดวงตาของหนานกงฉีโม่ก็พลันหายไปด้วยเช่นกัน “ขอเพียงไม่ตาย ที่เหลือให้เสด็จพ่อเป็นผู้ตัดสินพระทัยพ่ะย่ะค่ะ”
นัยน์ตาสีดำขลับเจือความเย็นชาจ้องมองเขา “หากข้าต้องการให้พวกเขาตายเล่า?”
หนานกงฉีโม่รีบคุกเข่าลง “เสด็จพ่อ โปรดเมตตาด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
แม้ชายหนุ่มจะคุกเข่า แต่แผ่นหลังยังคงเหยียดตรง น้ำเสียงหนักแน่นไร้ซึ่งความหวาดกลัว
เป็นเวลาครู่หนึ่งที่หนานกงสือเยวียนมิได้พูดอันใด บรรยากาศรอบข้างเงียบสงัดชวนให้อึดอัดใจ
สถานการณ์เช่นนี้สร้างความกดดันให้ผู้คนได้อย่างง่ายดาย หากจิตใจไม่เข้มแข็งพอ ยามนี้คงหวาดกลัวแข้งขาสั่นและคุกเข่าอ้อนวอนไปแล้ว
ทว่าร่างของหนานกงฉีโม่แน่นิ่งไม่ไหวติง ดวงตาเรียวงามที่มักแต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้ม บัดนี้มองเสด็จพ่อของตนด้วยประกายมุ่งมั่นและจริงจัง
“บางครั้งความตายก็ง่ายกว่าการมีชีวิตอยู่มากนัก”
ในที่สุด หนานกงสือเยวียนก็เอ่ยประโยคลึกซึ้งออกมา
หนานกงฉีโม่รู้ว่านี่คือการรับปากจากเสด็จพ่อ เขาลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก
“มดปลวกมันยังรักชีวิต เสด็จพ่อให้โอกาสพวกเขาได้มีชีวิตต่อไป ส่วนจะอยู่รอดได้หรือไม่นั้นก็ขึ้นอยู่กับตัวของพวกเขาเองพ่ะย่ะค่ะ”
หนานกงสือเยวียนยิ้มเยาะ จากชีวิตอดออมสู่ชีวิตฟุ้งเฟ้อนั้นนับเป็นเรื่องง่ายดาย แต่จากชีวิตที่มั่งมีกลับต้องอยู่อย่างมัธยัสถ์นั้นยากยิ่งนัก กลัวก็แต่ว่าพวกจวนเซวียนผิงโหวที่ไม่เคยต้องขัดสนข้นแค้นจะยอมรับโทษทัณฑ์ของตนไม่ได้
เขาโยนจดหมายลับให้แก่บุตรชาย
“ดูเอาเองเถิด”
หนานกงฉีโม่คลี่จดหมายออก เพียงกวาดสายตาอ่านก็ต้องตกใจสุดขีดกับเนื้อความในนั้น
“เหตุใดถึง…”
องค์หญิงไท่จ่างมิได้สิ้นพระชนม์เพราะอาการประชวรอย่างนั้นหรือ
“ข้าจะให้เสด็จแม่ของเจ้าออกจากวังและใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ในสำนักชี ส่วนสองสามีภรรยาเซวียนผิงโหว ลำพังแค่วางยาสังหารองค์หญิงไท่จ่างก็มีโทษตายแล้ว เจ้ายังคิดจะขอความเมตตาให้พวกเขาอยู่หรือไม่?”
รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าหนานกงฉีโม่ เพียงแต่นั่นเป็นรอยยิ้มที่แฝงความเย้ยหยัน
เหตุใดเขาถึงคิดไม่ออก องค์หญิงไท่จ่างที่แข็งแกร่งมาเกือบทั้งชีวิตจะตายอย่างไร้ค่าเช่นนี้ได้อย่างไร
ชายหนุ่มหลับตาลง ประกายแข็งกร้าวปรากฏยามที่ลืมตาขึ้นอีกครั้ง “ตามที่เสด็จพ่อเห็นสมควรพ่ะย่ะค่ะ”
แม้ว่าเขาจะไม่ชอบองค์หญิงไท่จ่าง แต่สามีภรรยาเซวียนผิงโหวก็ไม่คู่ควรให้เขาขอความเมตตากับเสด็จพ่อแม้แต่สักนิด