กู้ฉังชิงทำสีหน้าเย็นชายกชามยาขึ้นมาป้อนให้กู้เหยี่ยนเบาๆ
กู้ฉังชิงเป็นพี่ใหญ่ เขายังมีน้องชายอีกสองคน ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้โตกว่าพวกเขาเท่าใดนัก ทว่าใครให้แม่เขาจากโลกนี้ไปเร็วกันล่ะ แม่เลี้ยงจึงได้เข้าจวนมาแล้วในสายตาพ่อมีเพียงแม่เลี้ยงกับเด็กแฝดสองคนนี้
ของบางอย่างคนรับใช้ก็ให้ไม่ได้ ดังนั้นจึงเรียกได้ว่าเขายังพอมีประสบการณ์ดูแลน้องชายสองคนอยู่บ้าง
แน่นอนว่ากู้เหยี่ยนแตกต่างกันกับกู้เฉิงเฟิงและกู้เฉิงหลิน เขาอ่อนแอยิ่งนัก ต้องระมัดระวังมาก เหมือนดูแลแมวน้อยที่เพิ่งเกิดมาลืมตาดูโลกได้ไม่นาน
กู้เหยี่ยนสติเลอะเลือนอยู่ พอได้รสยาก็ใช้ลิ้นดันช้อนออกอย่างรังเกียจ
ยากระเด็นหกใส่หลังมือของกู้ฉังชิงสองสามหยด
กู้ฉังชิงกลับไม่ได้โกรธเลยสักนิด เขานั่งอยู่ข้างเตียง ประคองกู้เหยี่ยนลุกขึ้นพร้อมกับหยิบหมอนมารองท้ายทอยเขา
เขาตักยาป้อนกู้เหยี่ยนอีกช้อน
กู้เหยี่ยนเบือนหน้าหนีซุกหมอน ไม่ดื่มต่อแล้ว
แต่กู้ฉังชิงจัดการกับเจ้าหนูน้อยคนนี้กลับไม่ต้องมีประสบการณ์มากมายเพียงนั้น บนโต๊ะมีผลไม้เชื่อมอยู่ เขาหยิบผลไม้เชื่อมมาลูกหนึ่งป้อนให้กู้เหยี่ยน
กู้เหยี่ยนลองเลียดู หวานนี่นา เขาจึงอ้าปากจะกิน ผลสุดท้ายกู้ฉังชิงยื่นช้อนมาหา ป้อนยาเข้าไปให้เขา
กู้เหยี่ยนที่โดนป้อนยาโดยไม่ทันตั้งตัวเบิกตาโพรง สีหน้ามึนงงยิ่ง!
ตอนกู้เฉิงหลินเด็กๆ กู้ฉังชิงก็เคยป้อนยาให้เขาเช่นนี้ และเขาก็มีสีหน้าเช่นนี้เหมือนกัน ทว่าหากว่ากันจากใจ กู้เฉิงหลินไม่น่ารักเท่ากู้เหยี่ยน
กู้เหยี่ยนมีไข้สูง แก้มแดงแจ๋ บนศีรษะมีปอยผมเล็กๆ กระดกขึ้น
กู้ฉังชิงอดนึกถึงตอนไปล่าสัตว์แล้วเจอกวางน้อยซื่อเซ่อขึ้นมาไม่ได้
เกรงว่าต่อไปนี้จะมองสัตว์ที่โดนล่าอย่างเจ้ากวางซื่อเซ่อตรงๆ ไม่ได้อีกแล้ว
กู้เหยี่ยนมึนงงอยู่เล็กน้อย เห็นกู้ฉังชิงเข้าก็ยังเรียกสติขึ้นมาไม่ได้ แถมยังนึกว่าฝันเสียด้วยซ้ำ จากนั้นก็ถูกกู้ฉังชิงป้อนยาจนหมดอย่างมึนๆ งงๆ แบบนั้น
กู้ฉังชิงให้รางวัลเขาด้วยผลไม้เชื่อมหนึ่งลูก
เขาไม่ได้กินมันแต่ถือไว้ในมือแทน
กู้ฉังชิงสงสัย “เหตุใดจึงไม่กินล่ะ”
กู้เหยี่ยนเอ่ยอ่ยางน้อยอกน้อยใจ “หากข้าตื่นขึ้นแล้วผลไม้เชื่อมยังอยู่ ข้าก็จะได้รู้ว่าไม่ได้ฝันไป”
เขาไอหนักมาก ลำคอแหบแห้งไปหมด ประโยคนี้ที่เอ่ยออกมาจากปากเขาไม่ต้องมองตาก็สามารถรู้ได้ว่าเขาน้อยอกน้อยใจ
เป็นเพราะหมู่นี้ตนไม่ได้มาหาเขาหรือ
กู้ฉังชิงอ้ำอึ้งอยู่เนิ่นนาน
เจ้ายังไม่รู้อะไรอีกหรือ
หากวันใดเจ้ารู้ว่าข้าก็เป็นพี่ใหญ่ที่เย็นชาใส่เจ้าตอนเด็กๆ ไม่ชอบเจ้า ปล่อยให้เจ้าโดนคนอื่นรังแก เจ้าก็จะไม่พูดเช่นนี้อีกแล้วล่ะ
แล้วเจ้าก็จะไม่อยากเจอหน้าข้า
และยิ่งไม่อยากที่จะรอข้า
กู้ฉังชิงมองไปยังกู้เหยี่ยนอีกหน กู้เหยี่ยนเอนหลังนอนหลับปุ๋ยอยู่บนหมอนไปแล้ว
เขาดึงผ้าห่มมาห่มให้น้อง กะว่าจะกลับเลย ทว่าเพิ่งขยับก็พบว่ามือกู้เหยี่ยนดึงแขนเสื้อเขาไว้เสียแน่น
กู้ฉังชิงจ้องมือข้างนั้นอยู่เนิ่นนาน ก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้ แล้วนั่งกลับลงไปบนตั่งอีกครั้ง
พอกู้เหยี่ยนได้นอนก็ไข้ขึ้นหนักเลย เขาเป็นโรคหัวใจอยู่จะกินยาลดไข้สุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้
กู้เจียวจึงโปะห่อน้ำแข็งบนหน้าผากเขาแล้วเอาผ้าห่มสองผืนออกไปตากข้างนอกให้เย็นเฉียบ รอให้ผ้าห่มเย็นจนแข็งกลายเป็นผ้าน้ำแข็งแล้วก็เอามาห่มคลุมให้กู้เหยี่ยน
กู้เหยี่ยนไม่ยอมห่มผ้าเย็นให้ดีๆ กู้ฉังชิงจึงกอดเขาเอาไว้ในอ้อมอกทั้งคนทั้งผ้าห่มมันเสียเลย
อุณหภูมินี้สำหรับกู้เหยี่ยนกำลังพอดี สำหรับคนปกติแล้วไม่ต่างอะไรกับการกอดก้อนน้ำแข็งยักษ์ กู้ฉังชิงหนาวเสียจนริมฝีปากซีดขาวไปหมด
ยามฟากฟ้าสว่างขึ้น ในที่สุดกู้เหยี่ยนก็ไข้ลดลงจนหายไม่กลับมาสูงอีกแล้ว
กู้ฉังชิงลากสังขารที่หนาวเหน็บจนชาหนึบกลับไปที่จวน
กู้เหยี่ยนเป็นคนที่ต้องเฝ้าระวังที่สุดในบรรดาเด็กสามคน เขาไม่เป็นไร โดยพื้นฐานแล้วทุกคนก็จะไม่เป็นไร
แม่นางเหยาเคยมาหาอยู่ครั้งหนึ่ง เมื่อรู้ว่าเด็กทั้งสามคนป่วยเข้าใจนางก็ร้อนดั้งไฟสุม จนใจที่นางยังไม่เคยเป็นอีสุกอีใส กู้เจียวจึงไม่ให้นางเข้าบ้าน
วันนี้กู้เจียวเก็บกวาดเรียบร้อยก็ตัดสินใจไปจวนโหวเพื่อรายงานแม่นางเหยาว่าสุขสบายกันดี
วันนี้อากาศดีทีเดียว ไม่มีลมหนาว แสงแดดก็เจิดจ้า สาดกระทบลงบนร่างนางแล้วอบอุ่นอ่อนโยน
คนรับใช้ในจวนพอจะรู้ถึงตัวตนที่แท้จริงของนางแล้ว จึงไม่กล้าขวางนางไว้ นางเข้าประตูหลักไปอย่างสง่าผ่าเผย
เรือนของแม่นางเหยาค่อนข้างห่างไกล ต้องผ่านประตูรองเข้าไปแล้วก็ผ่านสวนริมน้ำ แถมยังต้องอ้อมเรือนครึ่งหลังนั่นไปอีก
เมื่อกู้เจียวมาถึงสวนริมน้ำมาก็ได้ยินเสียงพิณลอยมาไพเราะน่าฟัง นางฟังแล้วเหมือนว่าจะเป็นบทเพลงที่รบกวนนางตลอดบ่ายที่โรงหมอวันนั้น
เพียงแต่ค่อนข้างไพเราะเลยทีเดียว คุณภาพเสียงของพิณก็ใสบริสุทธิ์กว่าอยู่เล็กน้อย
“พี่จิ่นอวี๋ เจ้าดีดเพราะเสียจริง”
เด็กสาวอาภรณ์ชมพูนางหนึ่งที่อยู่ในศาลารับลมประดับม่านมุ้งมองกู้จิ่นอวี๋อย่างชื่นชมออกมาจากใจจริง
กู้จิ่นอวี๋เกาสายพิณไปมาพลางมองเด็กสาวนางนั้นอย่างอ่อนโยน “พอเจ้าดีดเป็นแล้วก็จะดีดได้เพราะเช่นนี้เหมือนกัน”
เด็กสาวคนนั้นสะทกสะท้อนใจ “แต่ว่าข้าจะต้องทำเช่นไรจึงจะดีดเป็นเล่า”
กู้จิ่นอวี๋หัวเราะเสียงอ่อนโยน “รอให้เจ้าสอบเข้าสำนักศึกษาสตรีให้ได้ก่อนก็จะดีดเป็นเอง อาจารย์ในสำนักศึกษาสตรีล้วนเป็นอาจารย์ยอดฝีมือของแคว้นเจาทั้งนั้นเลย ดีกว่าเชิญอาจารย์ซีสีมาสอนเองที่บ้านเป็นไหนๆ”
เด็กสาวคนนั้นดึงแขนกู้จิ่นอวี๋ไว้ ก่อนเอ่ยอย่างสนิทสนม “เช่นนั้นพี่ต้องช่วยข้านะ!”
เมื่อครู่ยังเป็นพี่จิ่นอวี๋อยู่เลย ยามนี้เปลี่ยนคำเรียกเสียแล้ว
กู้จิ่นอวี๋ตบหลังมือนางเบาๆ “เจ้าวางใจได้ ขอแค่เจ้าอยากเรียนข้าจะตั้งใจสอนเจ้าอย่างดีเลย”
กู้เจียวแอบได้ยินบทสนทนาของทั้งสองคนเข้าโดยบังเอิญ ความจริงคือ…ตรงนี้มันเงียบสงัดเกินไป แถมบทสนทนาของทั้งคู่ก็ไม่ลดเสียงลงกันเลยสักนิด
กู้เจียวรู้จักเด็กสาวคนนี้ นางชื่อหลิงสุ่ยเซียน เป็นหลานสาวสายตรงของเหล่าฮูหยินหลิง อายุอ่อนกว่านางกับกู้เหยี่ยนหนึ่งเดือน
ที่นางกลับจวนมาครานี้กะว่าจะพักอยู่ยาวๆ ประการแรกเพื่อแสดงความกตัญญูต่อเหล่าฮูหยินกู้ ประการที่สองจะขอให้กู้จิ่นอวี๋สอนสั่ง หวังว่านางจะสามารถช่วยให้ตนผ่านการสอบเข้าสำนักบัณฑิตสตรีหลังปีใหม่นี้ได้
เหล่าฮูหยินกู้รักใคร่เอ็นดูหลานสาวสายตรงนางนี้มาก ซ้ำยังเกิดความคิดจะแนะนำนางให้กับกู้ฉังชิงด้วย จึงได้อนุญาตให้นางมาพักที่จวน
ส่วนนางจะสอบเข้าสำนักบัณฑิตสตรีได้หรือไม่กลับไม่ได้อยู่ในความกังวลของเหล่าฮูหยินกู้
ทว่ากู้จิ่นอวี๋ตั้งใจชี้แนะนางก็เพราะเห็นแก่หน้าเหล่าฮูหยินเหล่าฮูหยินกู้มีประโยชน์มาก และยิ่งชอบกู้จิ่นอวี๋มากขึ้นเรื่อยๆ
“เอ๋ นั่นใครน่ะ”
กู้เจียวสบตาเข้ากับหลิงสุ่ยเซียนไปโดยไม่ทันตั้งตัว ช่วยไม่ได้ที่หลิงสุ่ยเซียนจะเหลือบมาสังเกตเห็นกู้เจียวเข้า
ช่วยไม่ได้ ต่อให้กู้เจียวไม่ใช้ใบหน้าดวงนี้ กลิ่นอายบริสุทธิ์ไร้มลทินทั่วร่างก็ช่างเตะตาเสียเหลือเกิน
กู้จิ่นอวี๋ให้คนไปเลิกม่านขึ้น มองกู้เจียวแวบหนึ่งแล้วเอ่ย “นั่นพี่สาวข้าเอง”
“พี่สาวเจ้ารึ” หลิงสุ่ยเซียนขมวดคิ้ว “พี่สาวคนไหนของเจ้ากัน เหตุใดข้าจึงไม่รู้จัก”
กู้จิ่นอวี๋ยิ้มอย่างขมขื่น “พี่สาวฝาแฝดของเหยี่ยนเอ๋อร์น่ะ”
“นางนี่เอง” หลิงสุ่ยเซียนกระจ่างแจ้งทันใด ในฐานะลูกพี่ลูกน้องหญิงของจวนอันโหว ข่าวซุบซิบที่สำคัญเพียงนี้แน่นอนว่านางก็เคยได้ยินมาก่อนอยู่แล้ว
นางอยากจะรู้ตั้งนานแล้วว่าลูกพี่ลูกน้องหญิงที่โตในชนบทคนนั้นจะรูปร่างหน้าตาเป็นเช่นไร วันนี้ได้มาเห็นแล้วช่างไม่ผิดหวังเลยจริงๆ!
“ช่างไม่มีมารยาทเอาเสียเลย ออกจากบ้านแม้แต่ผ้าก็ยังไม่รู้จักคลุมหน้าไว้ เผยหน้าเผยตาเช่นนี้ไม่กลัวจวนโหวจะขายขี้บ้างหรือไร!”
คุณหนูตระกูลสูงศักดิ์อย่างพวกนางเช่นนี้พิถีพิถันกันมากนัก อย่างเช่นนางมาบ้านของลุงเขย นั่งอยู่ในศาลารับลมแบบนี้ก็จะมีคนมาปล่อยม่านลงให้ ทำเช่นนี้จึงจะไม่เสื่อมเสียชื่อเสียง
กู้จิ่นอวี๋แย้มยิ้ม “น้องอย่าได้เอ่ยเช่นนี้ พี่สาวลำบากลำบนอยู่ในชนบทมาไม่น้อย เผยหน้าเผยตาออกมาก็เพราะวิถีชีวิตบีบบังคับทั้งนั้น”
จู่ๆ หลิงสุ่ยเซียนก็โพล่งถามขึ้น “นางเคยป้อนข้าวหมูจริงหรือไม่”
“หา” กู้จิ่นอวี๋ตกตะลึง
หลิงสุ่ยเซียนเอ่ยอย่างรังเกียจว่า “สกปรกเสียจริง!”
ทว่าหลิงสุ่ยเซียนไม่ได้ไม่ชอบกู้เจียว นางดูถูกดูแคลนกู้เจียวโดยเฉพาะ เดิมทีนางก็ดูถูกแม่นางเหยาอยู่แล้ว ลูกแท้ๆ ของแม่นางเหยาโดนเลี้ยงดูอยู่ในชนบทมาอีกตั้งสิบกว่าปี ใครจะไปรู้ว่าจะโดนเลี้ยงดูจนกลายเป็นตัวไม่เอาไหนแบบใด
ไหนจะใบหน้าดวงนี้อีก สวรรค์ ปานใหญ่เป็นปื้นเลย!
อัปลักษณ์จะตายชัก!
หลิงสุ่ยยังเหน็บแนมอีก “ข้าได้ยินมาว่าเมื่อก่อนนางเป็นปัญญาอ่อน ยามนี้นางยังปัญญาอ่อนอยู่หรือไม่”
กู้จิ่นอวี้แย้มยิ้ม “โรคปัญญาอ่อนของพี่สาวหายดีแล้ว ต่อไปน้องอย่าได้พูดอะไรเช่นนี้อีก พวกเราไปทักทายพี่สาวกันดีกว่า”
หลิงสุ่ยเซียนเอ่ยอย่างรังเกียจ “ข้าไม่ไปหรอก หากจะไปเจ้าก็ไปเองสิ!”
กู้จิ่นอวี๋ย่อมต้องไปอยู่แล้ว คนรับใช้หลายคนดูอยู่เช่นนี้ นางจะไร้มารยาทกับพี่สาวตัวเองไม่ได้
นางเดินออกจากศาลารับลมมาหยุดตรงหน้ากู้เจียว แล้วเรียกพี่สาวอย่างสนิทสนม จากนั้นก็แนะนำต่อ “…ทางด้านโน้นคือลูกพี่ลูกน้องหญิงสุ่ยเซียน พี่สาวจะไปนั่งกับพวกเราหรือไม่”
“ไม่ดีกว่า” กู้เจียวปฏิเสธ
กู้จิ่นอวี๋ไม่แปลกใจเลยสักนิด ทว่ายังคงแย้มยิ้มจับแขนนางเอาไว้ “นั่งครู่เดียวก็ได้นี่นา”
“ไม่ไป” กู้เจียวยังคงปฏิเสธ
กู้จิ่นอวี๋หลบสายตาลงแล้วกระซิบเสียงเบา “เช่นนั้นพี่สาวก็ไปทำธุระเถิด จิ่นอวี๋ไม่รบกวนพี่สาวแล้ว”
กู้เจียวสาวเท้าเดินจากไป
เดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็ไม่รู้ว่านึกอะไรได้จึงหันกลับมามองกู้จิ่นอวี๋ “ข้าจะไปดูฮูหยิน เจ้าจะไปด้วยกันหรือไม่”
นี่เป็นคำเชิญแรกที่กู้เจียวเชิญกู้จิ่นอวี๋ก่อน
กู้จิ่นอวี๋ชะงักไป
ฮูหยินที่นางเอ่ยถึงคงเป็นท่านแม่แน่ๆ
จนป่านนี้แล้วนางยังเรียกท่านแม่เช่นนี้อยู่อีกรึ
อีกอย่าง เหตุใดจู่ๆ นางจึงชวนตนให้ไปด้วยกันเล่า
ยากที่จะเห็นนางเอ่ยชวนและบอกกู้จิ่นอวี๋ก่อนอย่างมีเหตุผล นี่เป็นโอกาสทองที่จะได้ฟื้นความสัมพันธ์กับนาง หากท่านแม่ได้เห็นว่านางกับพี่สาวอยู่ด้วยกันต้องมีความสุขมากแน่
ทว่าทำเช่นนี้ก็หมายความว่านางต้องทิ้งหลิงสุ่ยเซียนไว้
หลิงสุ่ยเซียนเป็นหลานสาวหัวแก้วหัวแหวนของเหล่าฮูหยินกู้ พี่ชายทั้งสามคนในจวนก็รักเอ็นดูนางกันหมด หากตนผูกมิตรกับนาง เช่นนั้นเหล่าฮูหยินกู้กับพี่ชายก็จะมองตนใหม่
สุดท้ายกู้จิ่นอวี๋ก็เลือกหลิงสุ่ยเซียนแทนแม่นางเหยา
ไม่ว่าจะเอาอกเอาใจท่านแม่หรือไม่ท่านแม่ก็ยังคงรักนาง แต่ทางพวกพี่ชายกลับต้องใช้ความพยายามของนางไม่จบไม่สิ้น
“ขอโทษนะเจ้าคะท่านพี่ เมื่อครู่ข้ารับปากสุ่ยเซียนไว้แล้วว่าจะสอนเสริมให้นาง รอให้ข้าสอนนางเสร็จแล้วจะไปหาเจ้ากับท่านแม่นะ” นางเอ่ยอย่างจริงใจเต็มสีหน้า
กู้เจียวไม่ได้เอ่ยอะไรก่อนจะหันหลังเดินจากไป
กู้จิ่นอวี๋กลับมาที่ศาลารับลม
หลิงสุ่ยเซียนถาม “เจ้ากับนางพูดคุยอะไรรึจึงได้นานเพียงนี้”
กู้จิ่นอวี๋เอ่ยเสียงนุ่ม “นางเรียกให้ข้าไปหาท่านแม่ ข้าคิดดูแล้ว มาสอนเจ้าให้เสร็จก่อนค่อยไปดีกว่า”
หลิงสุ่ยเซียนพอใจอย่างมากที่กู้จิ่นอวี๋เลือกตน
บังเอิญเหลือเกินที่ในขณะนี้แม่บ้านคนสนิทของเหล่าฮูหยินกู้ถือกล่องอาหารออกมาจากเรือนเหล่าฮูหยินกู้พอดี นางคำนับให้ทั้งคู่ “คุณหนูหลิงเจ้าคะ นี่เป็นยาที่ท่านกำชับให้คนรับใช้ต้มให้ซื่อจื่อ ท่านดูสิ…จะให้บ่าวนำไปส่งให้แทนท่านหรือว่าท่านจะเอาไปส่งด้วยตัวเองเจ้าคะ”
กู้ฉังชิงล้มป่วยเสียแล้ว
เขาร่างกายแข็งแรงมาโดยตลอด ทว่าเมื่อสามวันก่อนไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น กลับมาก็ป่วยเสียแล้ว
เหล่าฮูหยินกู้รีบแจ้งบ้านเดิมให้ทราบแล้วให้หลิงสุ่ยเซียนมาพักในจวน บอกว่ามาแสดงความกตัญญูให้แก่นาง แต่ความจริงแล้วจะให้หาโอกาสแสดงไมตรีจิตแก่กู้ฉังชิง
ยานี้หาใช่คุณหนูหลิงเป็นคนสั่งคนรับใช้ให้ต้มไม่ แต่เป็นเหล่าฮูหยินกู้ที่เตรียมเอาไว้ให้ และความนัยในถ้อยคำของแม่บ้านคนสนิทล้วนกำลังเตือนหลิงสุ่ยเซียนให้รีบเอายาไปดูแลซื่อจื่อเสีย!
หลิงสุ่ยเซียนชอบพี่ชายใหญ่คนนี้มาก ไหนเลยจะไม่เข้าใจการกระทำของเหล่าฮูหยินกู้
“เอามาให้ข้าดีกว่า ข้าจะเอาไปให้เอง!”
นางรับกล่องอาหารมา
ครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วเอ่ยกับกู้จิ่นอวี๋ “เจ้าจะไปหาพี่ใหญ่กับข้าหรือไม่”
กู้จิ่นอวี๋ดวงตาพลันเป็นประกายขึ้นมา
พี่ใหญ่ป่วยมาหลายวันแล้ว นางอยากไปเยี่ยมตั้งนานแล้ว แต่นางเข้าเรือนพี่ใหญ่ไม่ได้
ตนปฏิเสธกู้เจียวไปเมื่อครู่นั้นมันถูกต้องจริงๆ ด้วย โอกาสที่จะได้เอาอกเอาใจพี่ใหญ่มาถึงเพียงนี้เชียวรึ!
ทั้งสองคนไปเรือนของกู้ฉังชิงด้วยกัน
เสียดายที่กู้ฉังชิงไปฝึกกระบี่หลังเขาโน่นแล้ว
ตอนที่ท่านโหวคนก่อนยังอยู่ที่จวน ไม่เคยอนุญาตให้เขาอู้เพราะเขาป่วยมาก่อน
เขาเป็นเด็กที่ซวยที่แม้จะมีไข้สูงก็ต้องฝึกวรยุทธ์กระบวนท่าขาม้า ฝึกกระบี่
หลิงสุ่ยเซียนตัดสินใจจะรอเขาในเรือน
รออยู่เนิ่นนานก็ไม่เห็นกู้ฉังชิงกลับมาเสียที หลิงสุ่ยเซียนจึงเริ่มนั่งไม่สุขเสียแล้ว นางเดินพล่านไปทั่วเรือน
นางเป็นลูกพี่ลูกน้องของจวนโหว เหล่าฮูหยินกับคุณชายทั้งสามต่างรักเอ็นดูนาง พวกคนรับใช้จึงต่างไม่กล้าว่าอะไรนาง เพียงแค่เอ่ยเตือนว่าอย่าไปห้องหนังสือของเขาแค่คำเดียวเท่านั้น
ทว่าไม่สู้เขาไม่เตือนจะดีกว่า
เพราะหลิงสุ่ยเซียนดันอยากจะไปเสียนี่
นางเพิ่งจะเข้าไป เสียงดังกัมปนาถก็ลอยมาจากห้องหนังสือ
กู้จิ่นอวี๋สีหน้าพลันเปลี่ยน เร่งฝีเท้าไปห้องหนังสือทันที “น้องสาว! เจ้าไม่เป็นไรกระมัง”
…
ภายในเรือน แม่นางเหยาเห็นลูกสาวเข้า
นางจับมือลูกสาวไปนั่งบนหัวเตียงเตาในเรือนอุ่น
“เจ้าผอมลง” นางเอ่ยอย่างสงสาร
กู้เจียวดูแลคนป่วยสามคน กินไม่อิ่ม นอนไม่พอ นางผอมลงไปจริงๆ
“พวกเขาหายดีแล้วกระมัง” แม่นางเหยาถาม
“ไม่เป็นไรแล้วล่ะ” กู้เจียวบอก
คนป่วยทั้งสามคนต่างกระโดดโลดเต้นได้แล้ว เพียงแต่ยังคงแพร่เชื้อได้อยู่ ดังนั้นกู้เจียวจึงให้พวกเขาพักอยู่ที่บ้านต่อ
แม่นางเหยาวางใจลง “โชคดีนักที่มีเจ้า มิฉะนั้นจากร่างกายของเหยี่ยนเอ๋อร์ การป่วยครานี้เกรงว่าจะฝืนเอาชนะไม่ไหวแน่”
ร่างกายกู้เหยี่ยนนั้นแม้แต่เจ็บป่วยเล็กน้อยยังแทบตาย จึงยิ่งไม่ต้องพูดถึงโรคอีสุกอีใสเลย
แม่นางเหยารู้ดีว่าลูกสาวพยายามนับครั้งไม่ถ้วนในจุดที่ตนไม่ได้เห็น จึงทำให้ลูกชายมีร่างกายที่แข็งแรงกว่าเมื่อก่อนถึงสิบเท่า
ครานี้ก็ต้องเป็นเพราะลูกสาวทุ่มทั้งจิตทั้งใจจึงทำให้ลูกชายหายได้เร็วเพียงนี้
กู้เจียวอยากจะเอ่ยบางอย่างแต่ยั้งไว้
ในขณะที่สองแม่ลูกสนทนากันนั้น จู่ๆ สาวใช้นางหนึ่งก็วิ่งเข้ามาอย่างรีบร้อน “ฮูหยิน คุณหนูใหญ่ แย่แล้วเจ้าค่ะ! เกิดเรื่องขึ้นกับคุณหนูรองแล้ว!”