บทที่ 174 สายลับ

ถังหลี่มองไปที่เว่ยฉิงอย่างเหนือกว่า

“ข้าบอกแล้วว่าเป็นเฉาฮัว สายตาข้าไม่ผิดแน่นอน”

“ช่วงเวลาแค่หนึ่งถ้วยชา รองแม่ทัพเฉาไม่ออกมาเร็วไปหน่อยหรือ?”

ถังหลี่ : “….”

ถังหลี่รู้สึกเหมือนม้าวิ่งผ่านย่ำใบหน้านางไปอย่างรวดเร็ว

นี่สามีของนางแปลกใจกับเรื่องนี้แบบนี้หรือ?

อย่างไรก็ตามสรุปได้ว่า ไม่สามารถมองคนจากรูปลักษณ์ภายนอกได้จริง ๆ เฉาฮัวชายหนุ่มที่ดูสุภาพและจริงจังก็รู้จักที่จะไปเที่ยวหอนางโลมได้

ให้ตายสิ!

….

ตกดึก

เว่ยฉิงกำลังนอนหลับพร้อมกับภรรยาที่อยู่ในอ้อมแขน จู่ ๆ เขาได้ยินเสียงเคลื่อนไหวจากชั้นล่างของโรงเตี๊ยม หน้าต่างถูกเปิดออก มีคนกระโดดวิ่งออกไปจากห้องนั้น นั่นคือห้องของเถ้าแก่เนี้ยฮวา

วันนี้ฮูหยินบอกเขาว่าฮวาเหนียงจื่อมีท่าทีแปลกไป อาจจะมีคนหลบซ่อนอยู่ในห้อง ถังหลี่เองก็สงสัยว่าน่าจะเป็นเด็กหนุ่มที่ช่วยมาในวันก่อน แต่หญิงสาวไม่เข้าใจว่าฮวาเหนียงจื่อจะเก็บเป็นความลับด้วยเหตุใด?

เด็กหนุ่มคนนั้นซ่อนอยู่ในห้องนอนของเถ้าแก่เนี้ยฮวาจริงหรือ?

แล้วที่วิ่งออกไปคือเด็กคนนั้น?

หรือว่าเด็กคนนี้จะเป็นคนที่พวกเจ้าหน้าที่กำลังหาตัวอยู่ มีความเกี่ยวข้องกับสายลับงั้นหรือ?

ไม่น่าแปลกที่เว่ยฉิงจะคิดมากในช่วงนี้ เขาควรระมัดระวังให้มากขึ้นกว่าปกติ ชายหนุ่มลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว สวมเสื้อคลุมก่อนจะหยิบคันธนูกับหน้าไม้ที่พกติดตัวไปด้วย เว่ยฉิงกระโดดออกนอกหน้าต่างทันที

ชายหนุ่มจำทิศทางที่คนผู้นั้นมุ่งหน้าไปได้ หลังจากที่เขาไปโผล่ที่ตรอกหนึ่งไม่นานก็พบตัวเด็กหนุ่ม เขาสะกดรอยตามไปอย่างระมัดระวัง ชายคนนี้มีทักษะที่ดี แต่เป็นเพราะอาการบาดเจ็บทำให้เขาเคลื่อนไหวได้ไม่ได้ดีนัก เว่ยฉิงจึงสะกดรอยตามเขาไปได้อย่างง่ายดาย

เขาตามคนไปจนถึงที่รกร้าง ก่อนจะลอบมองอีกฝ่ายเดินหายเข้าไปในกระท่อมมุงจาก กระท่อมหลังนั้นเป็นสีดำสนิทหลังจากนั้นไม่นานก็มีเสียงดังออกมาจากด้านในมันคือภาษาฮันที่พวกซยงหนูใช้นั่นเอง

ตั้งแต่เว่ยฉิงอายุได้แปดขวบ เขาก็ได้ซานเหล่าเว่ยรับมาอุปการะและศึกษาวิธีล่าสัตว์อยู่ในหมู่บ้านลี่เจีย เว่ยฉิงไม่เคยออกไปไกลจากเมืองเหยาสุ่ยเลยแม้แต่น้อยมาเป็นนับเวลาสิบปี แล้วนับประสาอะไรกับภาษาซยงหนู

แต่เมื่อครู่เขารู้ได้ทันทีว่ามันคือภาษาฮัน มันคงจะเป็นความทรงจำในช่วงแปดปีของเขาที่สูญหายไป ถึงแม้เขาจะจดจำอะไรไม่ได้ แต่ความรู้บางอย่างน่าจะฝังลึกอยู่ในหัวของเขา แต่ถึงแม้ว่าเว่ยฉิงจะรู้ว่าพวกเขาคุยกันเป็นภาษาฮัน แต่ชายหนุ่มก็ไม่เข้าใจถึงบทสนทนาเหล่านั้น เว่ยฉิงซ่อนตัวอยู่นอกกระท่อมแอบฟังอยู่พักหนึ่งจนกระทั่งพวกเขาคุยกันจบ

เมื่อประตูกระท่อมเปิดออกร่างนั้นจึงออกมาอีกครั้ง เว่ยฉิงตัดสินใจเดินตามเขาไปอย่างเงียบเชียบ หลังจากที่สะกดรอยอยู่พักหนึ่งก็พบว่ามันคือทางเดินกลับโรงเตี๊ยม เมื่อเดินไปยังตรอกที่มืดมิดเว่ยฉิงก็เริ่มโจมตีอีกฝ่าย เงาดำทั้งสองต่อสู้กันอย่างรุนแรง ราวกับการต่อสู้ของหมาป่าดุร้าย ทั้งสองคนตะลุมบอนกันไม่ลดละ เมื่ออีกฝ่ายโจมตีมาก็โต้กลับด้วยความรุนแรงที่มากกว่า

ชายคนนี้เก่งศิลปะการต่อสู้มาก แต่เพราะเขาได้รับบาดเจ็บอยู่เว่ยฉิงจึงเอาชนะได้ในเวลาอันสั้น เว่ยฉิงกดอีกฝ่ายติดกำแพงยกมือขึ้นบีบคอคนผู้นั้นไว้ ภายใต้แสงจันทร์ที่สาดส่องเมื่อเว่ยฉิงพิจารณาใบหน้าของอีกฝ่ายก็รู้ได้ทันทีว่าเขาคือเด็กหนุ่มที่ตัวเองช่วยไว้!

คนที่เขาชวยไว้คือพวกซยงหนูจริง ๆ หรือ?

คนผู้นี้เกี่ยวอะไรกับสายลับหรือไม่?

ถ้าคนที่เขาช่วยเหลือด้วยเจตนาดีเป็นคนที่เปิดประตูเมืองและเข่นฆ่าชาวบ้าน ภรรยาของเขาจะต้องโทษตัวเองอย่างแน่นอน! ทันใดนั้นดวงตาของเว่ยฉิงก็เย็นชาขึ้น เขาจ้องมองไปยังเด็กหนุ่มด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยรังสีอำมหิต

“อย่า…ฆ่า…ข้า…” เด็กหนุ่มพูดด้วยความยากลำบาก ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นสีคล้ำเพราะขาดอากาศหายใจ

“เจ้าเป็นพวกซยงหนู”

“ข้า…ไม่มีเจตนาร้าย” เด็กหนุ่มกล่าว

เว่ยฉิงมองไปยังดวงตาเศร้าหมองของเขา ตรวจสอบให้แน่ใจก่อนจะปล่อยมือตัวเองลง

“บอกข้ามาว่าเจ้าเป็นใคร ต้องการจะทำอะไร?”

เด็กหนุ่มอ่อนปวกเปียกไปทั้งตัว เขาทรุดตัวลงกับพื้นหอบหายใจอย่างหนักก่อนจะสัมผัสได้ถึงความเย็นเยียบที่ด้านหลัง ชั่วอึดใจต่อมาคมมีดก็มาจ่ออยู่ที่ลำคอของเขา

เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นและมองไปยังเว่ยฉิง

เขารู้จักชายคนนี้

ในตอนที่เขาฟื้นคืนสติแม้จะไม่เคยพบเว่ยฉิง แต่เถ้าแก่เนี้ยฮวาก็บอกว่าคนที่ช่วยเขาไว้คือชายหนุ่มตรงหน้าเช่นเดียวกับแม่นางถัง เด็กหนุ่มซ่อนตัวอยู่ในห้องลอบสังเกตเว่ยฉิงเงียบ ๆ เขารู้สึกว่าบุรุษตรงหน้าเป็นคนแข็งแกร่ง เว่ยฉิงมีจิตใจที่เรียบง่ายและร่างกายที่เปี่ยมไปด้วยพละกำลัง เขาไม่เคยคิดเลยว่าอีกฝ่ายจะมีด้านนี้อยู่ ดวงตาของเว่ยฉิงในตอนนี้ราวกับสัตว์ร้ายเต็มไปด้วยรังสีฆ่าฟัน เขาเป็นบุคคลอันตราย!

“ข้ามีนามว่าพั่วหนู องค์ชายแปดแห่งแคว้นซยงหนู ข้าไม่มีมีเจตนาร้าย ข้าเพียงแค่ต้องการออกจากต้าโจวเท่านั้น” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง

องค์ชายของซยงหนู!?

นี่พวกเขาช่วยองค์ชายมาโดยไม่รู้ตัวหรือ?

เว่ยฉิงรู้สึกประหลาดใจ ชายหนุ่มขมวดคิ้วก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“แล้วเหตุใดเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่ เจ้าต้องการอะไร?”

“ข้าเป็นตัวประกันของต้าโจว สงครามครั้งนี้ของซยงหนูและต้าโจวกำลังจะเกิดขึ้น พวกเขาจึงส่งข้ามายังเมืองฉินโจวเพื่อจะใช้เป็นตัวประกันข่มขู่ชาวซยงหนู แต่ทว่ากลับไม่ได้ผลเพราะคนที่นำทัพมาคือพี่ชายคนที่สองของข้า เขาไม่ชอบข้าจึงไม่ได้สนใจว่าตัวข้าจะเป็นหรือตายอย่างไร ข้าเลยหนี…” พั่วหนูพูด

ในความเป็นจริงแล้วต่อให้เขาตายไปก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร

ต้าโจวไม่ได้จริงจังกับการส่งเขามาที่นี่ แต่พี่รองของเขานั้นเกลียดชังเขามาก ต้องการให้เขาตาย แต่พั่วหนูต้องการที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป

“ข้าหนีจากเจ้าหน้าที่และทหารของต้าโจว พร้อมทั้งถูกคนของพี่รองตามล่า ระหว่างทางที่หนีข้าถูกแทงจนเกือบตาย แต่ได้ท่านช่วยไว้ ข้ารู้ว่าเจ้าหน้าที่กับทหารจะต้องมาค้นหาตัว ข้าจึงลอบออกจากโรงเตี๊ยมไปและกลับมาเมื่อการค้นหาสิ้นสุดลง”

“ยิ่งคนไม่รู้จักตัวตนของข้าก็ยิ่งดี ข้าเลยขอร้องไม่ให้พี่ฮวาบอกใคร”

“เจ้ากำลังหลอกใช้นาง เพราะคิดว่านางนั้นล่อลวงได้ง่ายหรือ? ไม่ช้าก็เร็วพวกข้าก็จะรู้ตัวตนของเจ้า ถึงตอนนั้นเจ้าจะทำอย่างไร?” เว่ยฉิงไม่เชื่อ

พั่วหนูถูกปลายมีดของเว่ยฉิงกดลงทำให้ต้องเชิดหน้าขึ้นมากกว่าเดิม

“ข้าแค่อยากมีชีวิตอยู่เท่านั้น ท่านช่วยข้าไว้บุญคุณครั้งนี้ข้าจะไม่มีวันลืม ในตอนที่ข้านอนรอความตายอยู่ตรงนั้น ข้าร้องให้คนช่วยทั้งวันแต่ก็ไม่มีใครเหลียวแล มีแต่ท่านเท่านั้นที่ช่วยข้าไว้”

เว่ยฉิงเป็นคนฉลาด เขาจะไม่ถูกหลอกด้วยคำพูดขอบคุณเพียงไม่กี่คำของคนผู้นี้ ใครเล่าจะรู้ถึงสิ่งที่อยู่ภายในของจิตใจคนอื่นได้

พั่วหนูรู้ว่าอีกฝ่ายไม่เชื่อ ดังนั้นเขาจึงพูดต่อ

“ข้าแค่ต้องการไปจากต้าโจวเท่านั้น ข้าเพิ่งได้คุยกับคนของข้า พรุ่งนี้พวกข้าจะแอบลอบออกจากเมืองไม่สร้างปัญหาให้พวกท่าน”

“ถ้าข้าได้กลับไปมันจะดีกับพวกท่านเอง” พั่วหนูกล่าวอีกครั้ง

“ดีอย่างไร?” เว่ยฉิงเหลือบมองเขา

“พี่รองเป็นคนทะเยอทะยานมาก ไม่มีใครสามารถเทียบเขาได้ บัลลังก์จึงเป็นของเขาอย่างชอบธรรม เขาจะได้ขึ้นเป็นข่านและทำสงครามกับต้าโจว สงครามระหว่างแคว้นจะทำให้ประชาชนมีความเป็นอยู่อย่างยากลำบาก แต่หากข้าได้กลับไปยังแคว้น ตัวข้าซึ่งเป็นที่โปรดปรานของบิดาจะสามารถแย่งชิงบัลลังก์มาจากพี่รองได้ หากมีสงครามภายในแคว้นฮันย่อมเป็นเรื่องที่ดีกับต้าโจว ยิ่งไปกว่านั้นหากข้าได้ขึ้นครองบัลลังก์เมื่อใด ข้าจะสนับสนุนความสัมพันธ์อันดีของทั้งสองแคว้น” พั่วหนูกล่าวอย่างมีเหตุผล

มันเป็นเรื่องดีสำหรับต้าโจวหากเขาได้เดินทางกลับไปยังแคว้นฮัน

“นั่นเป็นเรื่องดีของต้าโจว แล้วเกี่ยวอะไรกับข้าด้วย?” เว่ยฉิงกล่าวอย่างเฉยเมย

พั่วหนู : “….”

“ข้าเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดา เรื่องบ้านเมืองไม่เกี่ยวอะไรกับข้า เอาล่ะเรามาพูดกันตรง ๆ ดีกว่า” เว่ยฉิงพูดด้วยน้ำเสียงกรรโชก

พั่วหนูมองไปยังมีดที่จ่อคอตัวเอง

“ข้ามีของบางอย่างติดมาด้วย ไม่ทราบว่าท่านสนใจหรือไม่….”