ตอนที่ 92-1 เรียกพ่อสิ
เฉียวเวยคิดไม่ถึงอย่างสิ้นเชิงว่าเขาจะทำเช่นนี้ นางตะลึงจนนิ่งไปทั้งตัว

“ท่านลุงหมิง ท่านปิดตาข้าทำอะไร” จิ่งอวิ๋นถามอย่างมึนงง

เสียงของลูกชายทำเฉียวเวยตกใจจนคิ้วเลิกสูง เบิกตาโตอย่างหวาดผวา

ลูกชายนางยังอยู่ที่นี่ ใจกล้าเกินไปแล้วหรือไม่

จีหมิงซิวมองดูท่าทางเบิกสองตาโต ทั้งหวาดผวาทั้งไม่รู้จะทำอย่างไรของนาง แล้วดวงตาก็ยิ้มโค้ง ก่อนจะปล่อยนางออก

ในตอนนี้เอง สือชีก็อุ้มวั่งซูเหาะกลับมา เสื้อตัวน้อยของวั่งซูหอบเอาผลไม้ป่าเจ็ดแปดอย่างที่เฉียวเวยไม่รู้จักชื่อมาด้วย สีชมพูอมแดง ด้านนอกเหมือนแก้วมังกรนิดหน่อยแต่ไม่ใหญ่เท่าแก้วมังกร ผิวบางยิ่งนัก มีเมล็ดน้อยทรงรี รสชาติเปรี้ยวอมหวาน คลายความเลี่ยนของน้ำมันจากเนื้อย่างได้อย่างพอดิบพอดี

กินผลไม้เสร็จ ท้องฟ้าก็เริ่มมืดเล็กน้อยแล้ว เด็กๆ ยังไม่คิดจะกลับ พวกเขาหัวเราะเริงร่าวิ่งไว่จับกันตรงพื้นที่ว่าง สือชีนั่งขัดสมาธินิ่งสงบอยู่บนผืนหญ้า สายตามองตามวั่งซูตัวน้อย ตาไม่กะพริบ

จีหมิงซิวส่งถุงน้ำใบหนึ่งให้เฉียวเวย

เฉียวเวยไม่รู้สักนิดว่าเขาไปเสกมาจากที่ใด นางดึงจุกออก แล้วมองดูปากถุงสะอาดสะอ้าน ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็ดื่มลงไป

จีหมิงซิวรับถุงน้ำคืนมา แล้วยกขึ้นดื่ม จุดเดียวกับที่นางดื่มไป

เฉียวเวยลำบากนักกว่าจะทำให้สองแก้มแดงก่ำเย็นลงได้ นางลอบมองใบหน้าด้านข้างของเขา ต่อให้มีหน้ากากปิดบังครึ่งใบหน้าของเขาอยู่ เขาก็ยังเป็นบุรุษที่หล่อเหลาที่สุดเท่าที่นางเคยพบมาสองชาติอยู่ดี

แน่นอนว่า หน้าตาของยิ่นอ๋องก็ไม่ได้ด้อยกว่ากัน แต่น่าเสียดายคนนิสัยแย่เกินไปแล้วจนทำให้คะแนนในสายตาของเฉียวเวยติดลบลงไปหลายแต้ม

หากจะให้พูดว่าในด้านรูปลักษณ์ ผู้ใดสามารถเทียบชั้นกับเขาได้ก็น่าจะเป็นเด็กหนุ่มชุดแดงผู้นั้น แต่เด็กหนุ่มชุดแดงจะว่ารูปงามก็รูปงามอยู่ แต่ขาดความลึกลับ ไม่เหมือนหมิงซิว ที่มักจะทำให้คนหยั่งตื้นลึกหนาบางไม่ออก

ครั้งแรกที่พบกับเขา ยังคิดว่าเป็นยอดฝีมือผู้เย็นชาตัดขาดจากโลกสักคน แต่ความจริงกลับกลายเป็นคุณชายจากตระกูลขุนนางผู้สร้างความดีความชอบ ลูกคนรวย จอมอันธพาล!

ทว่าแม้แต่ตัวตนด้านเหล่านั้น เฉียวเวยก็ยังไม่กล้าพูดว่านั่นเป็นตัวตนที่แท้จริงของเขา

ระหว่างที่เฉียวเวยมองเขาอย่างเผลอไผลอยู่นั่นเอง จู่ๆ จีหมิงซิวก็ลุกพรวด

เฉียวเวยกะพริบตา “อะไรหรือ”

จีหมิงซิวเอ่ยว่า “ข้าทำของหายเสียแล้ว”

“อะไรหาย” เฉียวเวยถาม

“หนังสือหมั้นหมาย”

“หนังสือ…หมั้นหมายหรือ” เฉียวเวยกวาดสายตามองก็เหลือบเห็นจดหมายสีทองฉบับหนึ่งตกอยู่บนพื้น แน่นอนว่าคงจะตกตอนที่เขาจุมพิตนางเมื่อครู่ เฉียวเวยไม่ได้เอ่ยบอกเขาในทันที แต่ถามว่า “ไม่มีหนังสือหมั้นหมายแล้วจะเป็นอย่างไร”

จีหมิงซิวถอนหายใจ ทำท่าประหนึ่งเสียดายยิ่งนัก “ถ้าเช่นนั้นการแต่งงานระหว่างข้ากับจวนเอินปั๋วก็ได้แต่เป็นโมฆะ”

“ทำขึ้นใหม่มิได้หรือ” เฉียวเวยขยับไปอีกด้านหนึ่งโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า

“อดีตฮองเฮาสิ้นแล้ว จะไปหานางให้ทำสัญญาฉบับใหม่แล้วประทับตราหงส์ น่ากลัวว่าคงต้องไปจวนยมบาลที่ยมโลก” จีหมิงซิวถอนหายใจ

เฉียวเวยดวงตาเป็นประกาย แล้วยกกระโปรงขึ้นคลุมหนังสือหมั้นหมายไว้ใต้กระโปรง

จีหมิงซิวหันกลับมา “เจ้าเห็นบ้างหรือไม่”

“ไม่เห็น!” เฉียวเวยเอ่ยสีหน้าเคร่งขรึม

ตอนที่จีหมิงซิวไปค้นหาหนังสือหมั้นหมายบริเวณใกล้ๆ เฉียวเวยก็ยกชายประโปรงขึ้นอย่างว่องไว แล้วเก็บหนังสือหมั้นหมายบนพื้นขึ้นมาอย่างรวดเร็ว จากนั้นซ่อนไว้ในแขนเสื้ออย่างฉับไว หลังจากนั้นก็เอียงหัวน้อยๆ ฮัมเพลงเหมือนไม่มีเรื่องอันใด

จีหมิงซิวกดมุมปากที่กำลังจะยกโค้งขึ้นไว้ แล้วเอ่ยอย่างฉงนยิ่งนัก “คงมิใช่ว่าเมื่อครู่หล่นเข้าไปในกองไฟเสียกระมัง”

“ใช่จดหมายสีทองฉบับหนึ่งหรือไม่” เฉียวเวยถามหยั่งเชิง

“เจ้ารู้ได้อย่างไร” จีหมิงซิว ‘ขมวดคิ้ว’

ยามปกติเฉียวเวยนับว่าอ่านสีหน้าคนเก่งพอตัว แต่น่าเสียดายอีกฝ่ายเป็นเสนาบดีผู้ร้ายกาจอันอับหนึ่งแห่งต้าเหลียง เมื่อจะแสดงละครขึ้นมาจริงๆ สาวน้อยเช่นนางไฉนจะมองออก

ดวงตาของเฉียวเวยฉายแววซุกซนวูบหนึ่ง แต่ใบหน้ากลับทำหน้าจริงจังเอ่ยว่า “เมื่อครู่ข้าเห็นมันหล่นเข้ากองไฟไปแล้ว ข้ายังคิดอยู่ว่าท่านจงใจเผาทิ้งหรือเปล่า! เฮ้อ ท่านนี่นะจริงๆ เลย หนังสือหมั้นหมายของสำคัญเช่นนี้พกไปไหนมาไหนกับตัวได้อย่างไรเล่า สมควรหาตู้สักใบเก็บใส่กุญแจไว้ ไม่ให้ผู้ใดพบสิ!”

“เฮ้อ” จีหมิงซิวเสียดายยิ่งนัก

เฉียวเวยแค่นเสียงเหอะ “เหตุใดทำหน้าเศร้าเช่นนั้น ท่านไม่ชอบคุณหนูสูงศักดิ์จวนเอินปั๋วคนนั้นมิใช่หรือ การแต่งงานกับนางเป็นโมฆะไปแล้ว ท่านสมควรดีใจสิจึงจะถูก!”

จีหมิงซิวพลันเอ่ยว่า “ตระกูลพวกเขามิได้มีนางเป็นคุณหนูเพียงคนเดียวเสียหน่อย มิชอบนาง ก็ยังเลือกคนอื่นได้”

เฉียวเวยพองขนแล้ว

เดิมเพียงอยากล้อท่านเล่นแล้วคืนหนังสือหมั้นหมายให้ท่าน แต่ตอนนี้ แม่นางผู้นี้โมโหแล้ว! ผลที่ตามมาร้ายแรงนัก! อยากได้หนังสือหมั้นหมายคืนหรือ ฝันไปเถิด!

เฉียวเวยตัดสินใจจะซ่อนหนังสือหมั้นหมายไว้ให้มิด เมื่อแยกทางกับจีหมิงซิวและสือชีแล้ว นางก็โมโหฮึดฮัดพาลูกๆ ลงจากเขา ตอนที่ผ่านลานก่อสร้าง นายช่างทั้งหลายกำลังเติมหินลงไปในสระน้ำของนางอยู่ นางไม่หยุดคิดแม้แต่น้อย ขว้างหนังสือหมั้นหมายลงไปทันใด!

โยนหนังสือหมั้นเสร็จ เฉียวเวยก็อารมณ์ดียิ่งนัก จูงมือเจ้าซาลาเปาน้อยลงจากเขา

ป้าหลัวเห็นนางกลับมา ในที่สุดหัวใจที่หวาดหวั่นก็สงบลงเสียที “…เด็กคนนั้นเป็นผู้ใดกันแน่ เหตุไฉนจึงเหาะได้ด้วย จิ่งอวิ๋นกับวั่งซูบอกว่ารู้จักเขา ข้าพูดกับเขา เขาก็ไม่สนใจข้า อุ้มวั่งซูเหาะจากไปทันที! มีแต่จิ่งอวิ๋นว่องไวคว้าขาเขาไว้ได้…ข้าตกใจแทบแย่จริงๆ!”

เฉียวเวยเล่าเรื่องสือชีให้ป้าหลัวฟังสั้นๆ รอบหนึ่ง เมื่อได้ยินว่าสือชีเป็นคนคุ้มกันของคุณชายจี ใบหน้าของป้าหลัวก็บึ้งตึงในพริบตา “เจ้าหมอนั้นมาหาเจ้าอีกแล้วหรือ ครั้งก่อนขู่คุณชายโจวจนหวาดกลัวหนีไป ข้ายังไม่คิดบัญชีกับเขาเลยนะ! เขายังมีหน้ามาอีกหรือ เขาหมั้นหมายแล้วมิใช่หรือ”

เฉียวเวยกระแอมให้คอโล่ง “การแต่งงานล่มเสียแล้ว”

นางล่มเองกับมือ!

โฮะ โฮะ โฮะ…

ระหว่างกลับเมืองหลวง ตอนผ่านตัวเมือง จีหมิงซิวก็พบหลี่อวี้ที่กำลังกินอย่างไม่บันยะบันยังอยู่ที่หรงจี้

จีหมิงซิวให้เกียรติมานั่งเป็นเพื่อนหลี่อวี้กินกุ้งที่เขาเองกินไม่ได้สักตัวอีกครั้งอย่างหาได้ยาก

ครั้งนี้หลี่อวี้สั่งกุ้งตุ๋นน้ำมันกระทะหนึ่ง เผ็ดจน ‘เหงื่อเปียกซ่ก’ “ขออภัยพี่สี่ ปล่อยให้ท่านมองข้ากินอย่างเดียวอีกแล้ว ท่านวางใจเถิด ข้ากินเร็วยิ่งนัก!”

“ไม่เป็นอะไร เจ้าค่อยๆ กิน” จีหมิงซิวยกถ้วยชาขึ้นจิบคำน้อย

หลี่อวี้หยุดมือที่แกะเปลือกกุ้ง แล้วมองเขาประหนึ่งถูกสายฟ้าฟาด ตนมิได้ฟังผิดใช่หรือไม่ พี่สี่บอกให้เขาค่อยๆ กินหรือ

“พี่สี่ท่าน ท่านเป็นอะไรไป” เหมือนจะไม่ปกติอยู่นิดๆ นะ!

จีหมิงซิวสีหน้าเย็นชายิ่งนัก แต่ก็มีสีหน้าไม่ใส่ใจแฝงอยู่ด้วย หลี่อวี้สังเกตเห็นความแตกต่างได้

พี่สี่เหมือนจะ…อารมณ์ดี

“พี่สี่ ท่านว่าเถ้าแก่รองของหรงจี้เหตุใดจึงยังไม่มา ข้ามากินตั้งนานแล้ว หากนางจะจีบข้า อย่างน้อยก็ต้องเอาความจริงใจออกมาแสดงหน่อยสิ! ไม่เช่นนั้นข้าขีดนางออกจากรายชื่อได้ตลอดเวลา!”

หลี่อวี้เพิ่งเอ่ยจบก็พบว่าแววตาของพี่สี่เย็นชาขึ้นทันใด เย็นเฉียบดั่งมีดดาบ เหมือนจะตัดลิ้นเขาออกมา

เขารีบงับช้อนที่ตักโจ๊กเข้าปาก!

ไม่เสียทีเป็นพี่สี่ เปลี่ยนสีหน้าเร็วยิ่งกว่าพลิกหน้าหนังสือ!

หรงจี้คืนนี้ยังคึกคักเช่นเคย

หลังจากยิ่นอ๋องแยกจากเฉียวเวยอย่างไม่สบอารณ์นักก็ค้นหาในป่าบนภูเขาอีกพักหนึ่ง น่าเสียดายไม่พบสิ่งผิดปกติที่ชัดเจน ฟ้าเริ่มมืดแล้วจึงได้แต่เดินทางกลับจวน

ก่อนหน้านี้ไม่นานตัวหลัวจื่ออวี้ส่งกุ้งพริกหมาล่ามาให้เขาชุดหนึ่ง เริ่มแรกเขาไม่ได้กิน ต่อมาขันทีหลัวเกลี้ยกล่อมให้ลองชิมสักคำสองคำ รสชาติไม่เลวจริงๆ เขาจึงให้บ่าวนำโสมคนส่งไปตอบแทนจื่ออวี้หนึ่งต้น

ไม่กี่วันหลังจากนั้นจื่ออวี้ก็ให้คนเอากุ้งมาส่งที่จวนอ๋องทุกวัน แต่ละวันรสชาติเปลี่ยนไปทุกครั้ง แม้เขาไม่ทราบว่าซื้อกุ้งมาจากหรงจี้ แต่เมื่อเดินทางผ่านหรงจี้ กลิ่นหอมอันคุ้นเคยสายนั้นก็ยังล่อลวงเขาลงมาจนได้

เขาลงจากรถม้าก็เห็นหลี่อวี้กับจีหมิงซิวนั่งอยู่ในมุม

จีหมิงซิวย่อมมองเห็นเขาแล้ว ริมฝีปากผุดรอยยิ้มหยันจางๆ “หลี่อวี้ พี่เจ็ดของเจ้ามา”

“เอ๋ พี่เจ็ดหรือ เสด็จพี่เจ็ดน่ะนะ” ดวงตาหงส์ของหลี่อวี้เบิกจนกลมดิกมองไปทางยิ่นอ๋องที่กำลังก้าวช้าๆ เดินมาทางด้านนี้ กุ้งในมือร่วงตกพื้นดัง แปะ!

“น้องเก้า” ยิ่นอ๋องเอ่ยทักทาย

หลี่อวี้ลุกขึ้นยืนอย่างหวั่นใจ ผู้ใดมิรู้บ้างว่าเสด็จพี่เจ็ดของเขากับพี่สี่เป็นศัตรูคู่อาฆาตกัน เขาเป็นคนตระกูลหลี่ สมควรช่วยเสด็จพี่เจ็ดของตนถึงจะถูก แต่เขาดันชอบพี่สี่มากกว่า…

ออกมากินอะไรกับพี่สี่ แต่ถูกเสด็จพี่เจ็ดบังเอิญพบเข้า กระอักกระอ่วนเกินไปแล้วจริงๆ

ยิ่นอ๋องตบหัวไหล่เขาด้วยสีหน้าเบิกบาน “มีของอร่อย เหตุใดจึงไม่เรียกเสด็จพี่เล่า”

หลี่อวี้อึกอักเอ่ยว่า “ข้า…ข้า…ข้าคิดว่าท่านยุ่งมาก จึงไม่ได้เรียกท่านมา ข้ากับพี่สี่…ใต้ ใต้เท้าอัครมหาเสนาบดีบังเอิญพบกัน ไม่ได้นัดกันไว้” วันนี้ไม่ใช่จริงๆ นะ!

ยิ่นอ๋องจึงเอ่ยว่า “นัดกันไว้ก็ไม่เห็นเป็นอะไร ญาติกันกินข้าวกันมื้อหนึ่ง เสด็จพี่จะตำหนิเจ้าหรือไร”

ทั้งหน้าท่านเขียนไว้ว่าท่านกำลังตำหนิข้า!

หลี่อวี้มองไปทางจีหมิงซิวอย่างขอความช่วยเหลือ

จีหมิงซิวเอ่ยเสียงราบเรียบ “ยิ่นอ๋องจะกินอะไร มื้อนี้ข้าเลี้ยงเอง”

ยิ่นอ๋องตอบโดยไม่เปลี่ยนสีหน้าสักนิด “จะให้อัครมหาเสนาบดีจ่ายได้อย่างไรเล่า ข้าเลี้ยงเองดีกว่า”

จีหมิงซิวยกริมฝีปากบางเฉียบขึ้น “หายากที่ยิ่นอ๋องจะมีสำนึกเช่นนี้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็จะไม่แย่งชิงกับยิ่นอ๋อง”

เขาเน้นเสียงที่คำว่าสำนึก สีหน้าของยิ่นอ๋องพลันกลายเป็นสีหน้าน่าดูชม

หลี่อวี้อยากแปลงร่างเป็นกุ้งตุ๋นน้ำมันเข้าไปซ่อนในกระทะเสียเหลือเกิน จิตสังหารรุนแรงนักเชียว เขากลัวยิ่งนักว่าสองคนนี้จะตีกัน! ถึงเวลาเขาจะช่วยผู้ใดดีเล่า ช่วยพี่สี่ ท่านแม่คงด่าเขาตาย ช่วยยิ่นอ๋องก็ผิดต่อมิตรภาพระหว่างตนกับพี่สี่…

โฮๆ สับสนนัก

ฝั่งนั้นยิ่นอ๋องกับจีหมิงซิวเริ่มลงมือกินอย่างสำราญ

ไม่มีสิ่งใดที่กุ้งมื้อหนึ่งคลี่คลายไม่ได้ หากไม่ได้ก็สองมื้อ

ยิ่นอ๋องสั่งกุ้งสิบสามสุคนธ์มากระทะหนึ่ง เขาพบว่าระหว่างการกินกุ้ง ตนเองลืมเลือนไปชั่วคราวว่าจีหมิงซิวเป็นศัตรูของเขา

ส่วนจีหมิงซิวแม้จะกินกุ้งไม่ได้ แต่วันนี้เขาได้ลองลิ้มของหวานไปเล็กน้อยจึงอารมณ์ดีอย่างยิ่ง คร้านจะถือสาเรื่องเล็กน้อยกับใครบางคน

สงครามที่อัดแน่นด้วยเปลวเพลิงกับควันดินปืนที่มองไม่เห็นจึงสงบลงอย่างน่าประหลาดใจเช่นนี้

วันต่อมา ท่านน้าตระกูลจางกับสะใภ้ตระกูลเหอต่างนำอาหารเล็กน้อยจากบ้านของแต่ละคนมาให้…ฟักทองลูกโตลูกหนึ่งกับแตงกวาหนึ่งตะกร้า

แตงกวาถูกอินเตอร์เน็ตสมัยปัจจุบันทำให้เสียภาพพจน์แล้ว ตอนที่เห็นขนาดอันน่าตกตะลึงของแตงกวาตะกร้านั้น เฉียวเวยเกือบจะเข้าใจเจตนาของสะใภ้บ้านเหอผิด!

ซิ่วไฉเฒ่ากินปลาแล้วติดใจ ตอนกลางวันจึงให้ลูกศิษย์เขียนเรียงความโดยมีคำว่าปลาเป็นหัวข้อ จิ่งอวิ๋นเขียนได้ยอดเยี่ยมที่สุด ตั้งแต่เรื่องการจับปลาไปถึงตอนกินปลา เขียนได้ยอดเยี่ยม เพียงแค่ฟังเขาอ่านก็ได้กลิ่นหอมของปลาทอดลอยคลุ้งอยู่ในจมูก ดังนั้นหลายวันต่อมาปลาน้อยในลำธารต่างพบหายนะ

กิจการขายกุ้งก้ามแดงเข้ารูปเข้ารอยแล้ว เฉียวเวยรู้สึกว่าตัวเองไม่จำเป็นต้องเฝ้าดูทางนั้นตลอดเวลาแล้ว แน่นอนว่าสาเหตุสำคัญเป็นเพราะนางเอาเงินส่วนตัวของเถ้าแก่ไปโปรยจนเกลี้ยง เถ้าแก่หรงกำลังโมโหโกรธา นางจึงจะหลบอยู่ข้างนอกสักหลายวันรอให้เขาคลายโกรธจึงจะดีที่สุด

เฉียวเวยผู้ ‘หลบ’ อยู่ในบ้านมิได้นั่งว่าง นับตั้งแต่หัวหน้าหมู่บ้านได้วิธีปรับปรุงดินเค็มไปก็เหมือนได้ฉีดเลือดไก่เข้าร่าง เที่ยวตามหาที่ดินรกร้างไปทั่วหมู่บ้าน ในหมู่บ้านไม่มีก็ออกไปหานอกหมู่บ้าน แปดหมู่บ้านในระยะสิบลี้ใกล้จะถูกเขาหาจนครบแล้ว ในที่สุดก็หาที่ดินร้างที่ทั้งใหญ่โตและอายุมากได้แห่งหนึ่งในหมู่บ้านข้างเคียง แล้วเชิญเฉียวเวยไปทันที

“ตาแก่หยาง ผู้นี้คือเสี่ยวเฉียวมารดาของทั่นฮวา[1]น้อยของพวกเรา!” ตอนที่แนะนำเฉียวเวย หัวหน้าหมู่บ้านก็ไม่ลืมเอาเรื่องจิ่งอวิ๋นมาคุยโวด้วย

หัวหน้าหมู่บ้านหยางตกตะลึง “ทั่นฮวาหรือ เด็กคนนั้น…เฉียวจิ่งอวิ๋นสินะ”

หัวหน้าหมู่บ้านหัวเราะลั่น “ใช่แล้วๆ! ที่แท้เจ้าก็เคยได้ยินเรื่องจิ่งอวิ๋นของพวกเรามาแล้ว!”

จะไม่เคยได้ยินได้หรือ อันดับสามของการสอบเสินถงเพิ่งจะอายุห้าปี ผู้เข้าสอบที่อายุน้อยที่สุดเท่าที่เคยมีมา แต่กลับมีผลการสอบที่น่าภาคกูมิเช่นนี้แล้ว

“ข้าได้ยินว่าน้องสาวของเขาก็ได้รางวัลด้วย” หัวหน้าหมู่บ้านหยางเอ่ยขึ้นมา

กล้าให้เด็กผู้หญิงวิ่งไปขันแข่งกับเด็กผู้ชาย สตรีผู้นี้ไม่ธรรมดาจริงเชียว

“ฮ่าๆ ใช่แล้ว วั่งซูของพวกเรานับเลขเก่งนักล่ะ!” หัวหน้าหมู่บ้านหัวเราะ

หัวหน้าหมู่บ้านหยางเอ่ยพลางทอดถอนใจ “ที่แท้ก็เป็นมารดาของทั่นฮวากับเทพคำนวณน้อย มิน่าจึงเก่งกาจเช่นนี้ ก่อนหน้านี้ตาแก่อู๋บอกข้าว่ามีสตรีนางหนึ่งบุกเบิกที่ดินร้างทำนา ข้ายังไม่เชื่ออยู่เลย! ขออภัย! ขออภัย!”

เฉียวเวยแย้มรอยยิ้ม “หัวหน้าหมู่บ้านกล่าวชมเกินไปแล้ว”

หัวหน้าหมู่บ้านรีบเอ่ยว่า “ไม่เลย ข้าพูดความจริงทั้งสิ้น! เจ้าน่ะเก่งกาจนักจริงๆ!”

พวกเขาเอ่ยถ้อยคำเกรงอกเกรงใจกันอีกพักหนึ่ง หัวหน้าหมู่บ้านหยางก็พาทั้งสองคนมาถึงที่ดินรกร้างของหมู่บ้านตน ที่ผืนนี้ใหญ่กว่าที่ของเฉียวเวยเสียอีก กะประมาณแวบแรกน่าจะขนาดมากกว่ายี่สิบหมู่ มันไม่ได้อยู่ติดเขื่อน จะใช่ดินเค็มหรือไม่ยังต้องรอการตรวจสอบ

“ที่ผืนนี้ปลูกสิ่งใดไม่ขึ้นมานานแล้ว เสี่ยวเฉียวเจ้าลองดูหน่อยสิว่าเหมือนกับที่ผืนนั้นของเจ้าหรือไม่” หัวหน้าหมู่บ้านหยางถาม

ผืนดินที่ดินเปรี้ยวโดยปกติแล้วจะมีสีค่อนข้างเข้ม ส่วนมาเป็นสีน้ำตาลดำ แต่ผืนดินที่ดินเค็มเพราะมีสัดส่วนเกลืออยู่มาก และบางครั้งยังมีเกลือปรากฏออกมาด้านนอก ที่ดินจำนวนไม่น้อยจึงเป็นสีอ่อนเช่นสีขาวหรือสีเหลือง ผิวดินมักจะมีคุณสมบัติความเป็นด่างปรากฏเป็นฝุ่นผงสีขาวชั้นหนึ่ง

ดูจากสภาพของดินเพียงอย่างเดียว ที่ผืนนี้ไม่มีลักษณะของดินเค็มชัดเจนนัก

เฉียวเวยขอน้ำหนึ่งกระบวยจากหัวหน้าหมู่บ้านหยาง

หัวหน้าหมู่บ้านของตนมองนางอย่างไม่เข้าใจ “เสี่ยวเฉียว นี่จะทำสิ่งใด”

เฉียวเวยรดน้ำลงดิน แล้วอธิบายว่า “ดินเปรี้ยวจะค่อนข้างร่วน หลังจากรดน้ำ น้ำจะซึมผ่านค่อนข้างเร็ว ไม่เกิดฟองสีขาว ผิวน้ำค่อนข้างขุ่น แต่ดินเค็มจะค่อนข้างแข็ง หลังรดน้ำ น้ำจะซึมลงไปค่อนข้างช้า ผิวน้ำจะมีฟองขาวเกิดเป็นฟองขึ้นมา”

หัวหน้าหมู่บ้านมองดู น้ำซึมลงไปในดินช้ากว่าที่ดินบ้านของตนมาก แล้วยังเห็นด้านข้างของบริเวณที่มันซึมมีฟองสีขาวเกิดขึ้นมาอีก ในใจก็ทราบว่ามันเป็นดินเค็มที่เสี่ยวเฉียวว่ามากกว่าแปดส่วนแล้ว

ตอนแรกที่เฉียวเวยพิจารณาที่ดินของบ้านตนไม่ได้ยุ่งยากเช่นนี้ ที่ดินบ้านตนมีต้นเจี่ยนเผิง[2] ขึ้นอยู่หนา เมื่อรวมกับข้อมูลที่ว่าซิ่วไฉเฒ่าเคยปลูกต้นข้าวโพดขึ้นสองสามต้นก็ตัดสินคุณสมบัติของดินในที่นาได้อย่างง่ายดายยิ่งนัก แต่ที่ผืนนี้ ‘เจ้าเล่ห์’ กว่าหน่อย มันไม่เผยลักษณะเด่นออกมาข้างนอกมากนัก แต่คุณสมบัติของดินที่อยู่ในนั้นย่อมไม่โกหก

“มันจะยังปลูกพืชได้จริงหรือ” หัวหน้าหมู่บ้านหยางถามอย่างไม่อยากเชื่อ

[1] ทั่นฮวา ชื่อเรียกผู้ที่ได้ลำดับที่สามของการสอบขุนนาง

[2] ต้นเจี่ยนเผิง พืชตระกูลหญ้าที่มักขึ้นบริเวณดินเค็ม