บทที่ 172 ถ้าเป็นห่วงผมจริง ๆ

Top Star ระบบปั้นเธอให้เป็นดาว

บทที่ 172 ถ้าเป็นห่วงผมจริง ๆ

บทที่ 172 ถ้าเป็นห่วงผมจริง ๆ

เมื่อเธอได้เป็นไป่หลี่ก็ต้องมีศิลปะการต่อสู่ที่ยอดเยี่ยม จนสามารถล่องลอยไปกับสายลมได้ในขณะหนึ่ง

นั่นคือการลอยอยู่ในอากาศจริง ๆ!

ตอนนี้เธอเหมือนกับนกที่มองลงมายังพื้นดิน ไม่ต้องพูดเลยว่ามันสุดยอดมากแค่ไหน

ตั้งแต่นั้นมาซูโย่วอี๋เลือกสวมบทบาทเป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านศิลปะการต่อสู้ เพื่อที่จะ… เล่นสนุก

จนเจ้าสุนัขจิ้งจอกยอมแพ้ต่อซู่จู่ [คุณเล่นสนุกไปเถอะ แล้วคุณจะต้องเสียใจเมื่อต้องถ่ายละคร]

ซูโย่วอี๋ไม่สนใจ “นายอย่าคิดว่าฉันกำลังเล่นอยู่สิ ฉันกำลังทำความเข้าใจในโลกที่ฮั่วเสวียนอาศัยอยู่ต่างหาก”

ตอนนี้ต่อให้ผู้กำกับสวียืนอยู่ต่อหน้าเธอ เธอก็กล้าพูดเลยว่าตัวเธอเองเป็นผู้ที่เข้าใจเนื้อหาและยุคสมัยในนิยายมากที่สุด

ไม่ใช่ว่าตัวเธอเองก็เป็นผู้กำกับได้เลยเหรอ

ฮ่าฮ่า

ความรู้สึกตื่นเต้นแบบนี้คืออะไรกัน

สุ่ยเวยแจ้งวันที่เธอต้องเข้าร่วมถ่ายละคร ซูโย่วอี๋พึ่งเล่นเป็นปรมาจารย์ศิลปะการต่อสู้อันดับหนึ่ง ต่อสู้กับลัทธิปีศาจจนตัวตาย ชนะมาได้อย่างหวุดหวิด ร่างกายบาดเจ็บสาหัส

เธอถูกลูกศิษย์ส่งกลับไปยังประตูภูเขา และกำลังนอนอยู่บนเตียงอย่างจะเป็นจะตายเพื่อพักฟื้น

“สิ่งที่ไม่ดีของระบบนี้คือมันสมจริงมากเกินไปแล้ว”

บาดแผลทำเธอเจ็บปวดจนต้องร้องเรียกหาแม่ แต่เพื่อรักษาบุคลิกภาพของตัวละคร จึงทำได้เพียงอดทนและข่มไม่ให้ส่งเสียงร้องออกมา

เมื่อทำการบันทึกแล้วเธอก็ออกมาจากเกม เป็นครั้งแรกที่ซูโย่วอี๋รู้สึกอยากวิ่งหนีเพื่อเอาชีวิตรอด

ในตอนนั้นเองสุ่ยเวยก็โทรมา

[ใช่ พรุ่งนี้เข้าร่วมทีมละคร]

[ละครของผู้กำกับสวีถ่ายทำจากสถานที่จริงทั้งหมด ที่แรกของคุณคือแถบชายแดนมองโกเลีย บริษัทได้ซื้อตั๋วเครื่องบินรอบบ่ายไว้ให้คุณแล้ว ฉันจะให้เหมยเหมยไปช่วยคุณเก็บกระเป๋า ใกล้ถึงเวลาแล้วรีบไปเถอะ]

อ่า

กะทันหันจัง

ซูโย่วอี๋ตอบตกลงไปอย่างมึนงง

จะว่าไปก็ไม่กะทันหันหรอก ฮันเจ๋อหยางและอวิ๋นเหมี่ยวเองก็เริ่มถ่ายละครกันตั้งแต่ครึ่งเดือนที่แล้ว ที่ซูโย่วอี๋มีเวลามาถึงตอนนี้ก็เป็นเพราะบทของเธออยู่ช่วงหลัง ๆ

ตอนก่อนหน้าเป็นการถ่ายนักแสดงนำหลายคนในตอนเด็ก รวมถึงเรื่องราวของพระเอกนางเอกที่เกิดขึ้นในเมืองหลวง

ต่อมาเป็นตอนที่พระเอกมาพบกับฮั่วเสวียนที่ชายแดน เดิมทีซูหยินกำลังถ่ายโฆษณาอยู่ เมื่อได้ยินว่าเธอจะต้องไปแล้ว ก็รีบถ่ายงานจนเสร็จและไปส่งเธอที่สนามบิน

แล้วยังให้พวกผลิตภัณฑ์กันแดดและของใช้สำหรับนักเดินทางมาด้วย แม้แต่กาต้มน้ำก็ยังมี

“รังสีอัลตราไวโอเลตที่ชายแดนมองโกเลียแรงมาก ถ่ายละครเป็นเวลานานจะถูกแดดเผาเอาได้ อย่าขี้เกียจทาครีมกันแดดล่ะ เหมยเหมยคุณช่วยฉันกำชับเธอด้วย”

และเรื่องเล็กเรื่องน้อยอีกมากมาย

พูดจนหมดแล้วเหมยเหมยดูไม่มีทางเลือก “พี่หยิน พี่ไม่มาทำงานเป็นผู้ดูแลล่ะ เสียดายนะเนี่ย แต่พี่วางใจเถอะ ฉันจะดูแลพี่ซูให้ดี ถ้ากลับมาแล้วขนพี่เขาหายไปแม้แต่เส้นเดียว พี่มาตีฉันได้เลย ตกลงไหม?”

ซูหยินปัดผมของเธอไปทัดไว้ที่หลังใบหู “ฉันมั่นใจในความสามารถของเธออยู่แล้ว”

แต่ว่านี่คือซูโย่วอี๋ เธอเลยอดห่วงไม่ได้

อย่างไรก็ตาม การไปครั้งนี้ไม่ได้ไปนานถึงสิบวันหรือครึ่งเดือนจนไม่ได้กลับมาเลยเสียหน่อย

เครื่องบินจอดลงที่ชายแดนมองโกเลียตอนหกโมง

ทีมงานของทีมละครมารอรับที่สนามบินแล้ว พวกเธอนั่งรถประมาณสองชั่วโมงก็มาถึงเมืองเล็ก ๆ และไปส่งเธอสองคนที่โรงแรม

“พวกผู้กำกับไปสำรวจสถานที่ถ่ายทำแล้ว กว่าจะกลับมาก็ดึก ๆ ฉันจะให้คนเอาอาหารเย็นไปส่งให้ที่ห้องของพวกคุณนะคะ”

ซูโย่วอี๋ไม่ได้ว่าอะไร เธอลากกระเป๋าของตัวเองเพื่อไปห้องพักพร้อมกับเหมยเหมย ทีมละครเปิดห้องส่วนตัวให้ซูโย่วอี๋ ส่วนผู้ช่วยอยู่ห้องแบบธรรมดาทั่วไป

พวกทีมงานแนะนำแบบง่าย ๆ “ชั้นนี้เป็นชั้นที่ศิลปินพัก ผู้ช่วยอยู่ชั้นล่าง”

ถัดไปจากห้องของซูโย่วอี๋สองห้องก็คือห้องของฮันเจ๋อหยาง

แต่เขามีธุระ พรุ่งนี้เช้าจึงจะนั่งเครื่องบินตามมาถึง

สภาพโรงแรมในเมืองเล็ก ๆ แม้จะไม่หรูหรานัก สิ่งอำนวยความสะดวกภายในห้องก็ดูเรียบง่าย แต่ยังดีที่สะอาด ไม่มีกลิ่นอะไรแปลก ๆ

ซูโย่วอี๋เปลี่ยนผ้าปูที่นอนและปลอกผ้านวมที่เธอเอามาด้วย หลังจากอาบน้ำเสร็จก็นอนเล่นอยู่บนเตียง เหม่อลอยมองขึ้นไปบนเพดาน

เธออยู่เป่ยสืออี้ผินจนชิน พอมาพักที่โรงแรมเล็ก ๆ กลับรู้สึกไม่ค่อยคุ้นเคย

ซูโย่วอี๋อดที่จะยิ้มไม่ได้ การเปลี่ยนจากความมัธยัสถ์ไปสู่ความหรูหราเป็นเรื่องง่าย แต่การเปลี่ยนจากความหรูหราไปสู่ความธรรมดาดูจะเป็นเรื่องยาก

เธอกอดผ้านวมแล้วกลิ้งไปมาสองรอบก่อนจะวิดีโอคอลหาลู่เฉิน

หลังจากลู่เฉินรับสาย ภาพพื้นหลังคือห้องทำงานที่เทียนฉีเอนเทอร์เทนเมนต์

[ยังไม่เลิกงานอีกเหรอคะ]

ลู่เฉินตอบกลับแค่อืมและถามต่อ [ถึงแล้วเหรอ?]

ซูโย่วอี๋หมุนกล้องถ่ายไปรอบ ๆ ห้องพัก [ต้องพักอยู่ที่นี่ไปอีกสักระยะ]

ลู่เฉินสังเกตเห็นว่าเธอดูอารมณ์ไม่ค่อยดี จึงวางปากกาในมือลง [ทำไมดูไม่มีความสุขเลยล่ะ? มีใครแกล้งคุณหรือเปล่า?]

[เปล่า พอต้องเริ่มทำงานในฐานะนักแสดง ก็พบว่าไม่ค่อยเหมือนกับที่คิดเอาไว้สักเท่าไหร่]

ลู่เฉินจ้องมองเธอด้วยดวงตาลึกซึ้ง [คุณลองทำไปก่อน ถ้าเกิดว่าไม่ชอบจริง ๆ พวกเราก็ไม่ต้องถ่ายแล้ว]

[จะเป็นอย่างนั้นได้ไงล่ะ?]

ซูโย่วอี๋จ้อง [ฉันเซ็นสัญญาไปแล้ว ฉันมีจรรยาบรรณต่อวิชาชีพอยู่ เข้าใจไหม? ฉันก็แค่บอกคุณว่ารู้สึกยังไง ไม่ได้จะยอมแพ้สักหน่อย]

[งั้นคุณโทรมาหาผมเพราะอยากจะอ้อนผมเหรอ?]

มีรอยยิ้มปรากฏขึ้นในดวงตาของลู่เฉิน [หรือจะบอกว่าคุณคิดถึงผมแล้ว?]

ซูโย่วอี๋พึมพำ [แล้วคุณไม่คิดถึงฉันหรือไง?]

[ผมถามคุณก่อนนะ คุณตอบก่อน]

ซูโย่วอี๋เป็นเหมือนลูกบอลที่ถูกปล่อยลมออก [ลู่เฉิน ฉันคิดถึงคุณมาก คุณมันใจร้าย ไม่เคยคิดถึงฉันเลย ตอนที่ฉันไปคุณก็ไม่มาส่ง]

คำพูดตลกแบบเด็ก ๆ ของเธอทำให้ลู่เฉินยิ้ม [เจ้าแมวจอมขี้เกียจ ใครบอกว่าไม่คิดถึง ผมแทบอดใจไม่ไหวอยากพาคุณมาอยู่ข้าง ๆ ทุกวันเลย]

[รอผมเสร็จธุระผมจะไปเยี่ยม รอผมก่อนนะ]

เมื่อหลับไปถึงตอนกลางดึก ซูโย่วอี๋กำลังสะลึมสะลือพลันรับรู้ได้ว่ามีคนเปิดประตูห้องของเธอ

ชั้นนี้มีแค่ทีมละครรักในฝัน ซูโย่วอี๋จึงสงสัยว่าตัวเองน่าจะหูฝาดไป และตอนที่กำลังพลิกตัวเพื่อนอนต่อนั้น เสียงประตูห้องก็ดังขึ้นอีกครั้ง

เดิมทีเป็นเพียงเสียงเบา ๆ แต่กลับเป็นเหมือนเสียงฟ้าผ่าในหัวของซูโย่วอี๋

มีคนเข้ามา…

ตัวของเธอแข็งทื่อไม่กล้าขยับ อยากจะหยิบโทรศัพท์เพื่อขอความช่วยเหลือ แต่เธอจำได้ว่าตอนนอนเธอชาร์จโทรศัพท์ไว้ที่หัวเตียง

เสียงฝีเท้ายิ่งเข้าใกล้เตียงมากขึ้นเรื่อย ๆ

ซูโย่วอี๋บังคับให้ตัวเองใจเย็นลงและแกล้งหลับไปก่อน รอดูท่าทีของคนที่เข้ามาแล้วค่อยว่ากัน

คน ๆ นั้นถอดรองเท้าออก

เขาถอดเสื้อผ้าออก…

ขึ้นเตียงมาแล้ว…

ซูโย่วอี๋รู้สึกชาไปทั้งตัว!

คนคนนี้จะทำอะไรกันแน่

เธอนึกถึงผังของห้อง วางแผนเส้นทางที่จะวิ่งหนี

ในขณะที่คนที่เข้ามากำลังนอนลง ซูโย่วอี๋เป็นเหมือนปลาที่โดนน้ำร้อนลวก เธอรีบลุกขึ้นจากเตียง วิ่งออกจากประตูด้วยความเร็วปานสายฟ้าแลบ

แต่คน ๆ นี้เร็วกว่า คว้าเธอเข้ามาไว้ในอ้อมแขนจนขยับไปไหนไม่ได้

ซูโย่วอี๋ตะโกนร้องอย่างบ้าคลั่ง “ช่วยด้วย…”

เสียงทุ้มต่ำของผู้ชายดังขึ้นที่ข้างหู “อย่าร้อง ผมเอง”

หืม?

รู้สึกคุ้น ๆ แฮะ?

ซูโย่วอี๋เห็นใบหน้าของผู้ชายคนนั้นอย่างชัดเจนผ่านแสงอ่อน ๆ ถ้าไม่ใช่เขา ก็คงจะร้องไห้ไปแล้ว “ลู่เฉิน ทำไมคุณถึงมาอยู่ที่นี่ได้?”

ลู่เฉินเองก็รู้ว่าเขาทำให้เธอตกใจ เลยจูบลงไปที่หน้าผากของซูโย่วอี๋ “ขอโทษที่ไม่ได้บอกคุณก่อน ผมแค่อยากเซอร์ไพรส์คุณ”

เซอร์ไพรส์

นี่มันทำให้ตกใจมากกว่านะ

ซูโย่วอี๋โกรธมากจนต่อยเขาไปสองที รอให้รู้สึกผ่อนคลายขึ้นก็ดีใจมากที่เขาอยู่ที่นี่ “คุณมาได้ไงเนี่ย?”

ลู่เฉินเอาหัววางไว้บนไหล่ของเธออย่างเหนื่อยล้า “ไม่ใช่ว่าคุณคิดถึงผมเหรอ?”

ซูโย่วอี๋หมุนตัวไปกอดลู่เฉินและได้กลิ่มหอมจากตัวเขา “อืม”

ลู่เฉินก้มหัวลงและจูบไปยังคอเรียวบางของเธอ “ได้เจอผมแล้วมีความสุขไหม?”

“มีความสุข”

ลู่เฉินอุ้มซูโย่วอี๋ขึ้นและวางเธอลงบนเตียง เขาเองก็นอนลงไปด้วย

“คุณจะกลับไปตอนไหน?”

“พรุ่งนี้เช้า”

รีบขนาดนั้นเลยเหรอ

ซูโย่วอี๋เสียใจเล็กน้อย

ลู่เฉินหันไปด้านข้าง มือสัมผัสไปยังกระดุมชุดนอนของซูโย่วอี๋ ซูโย่วอี๋คว้ามือของเขาไว้ “ลู่เฉิน ดึกมากแล้วคุณไม่เหนื่อยเหรอ?”

“เหนื่อย”

เขายุ่งมาตลอดทั้งวัน ดึกดื่นก็ยังนั่งเครื่องบินมา เขาไม่ได้พักผ่อนมากว่าสิบชั่วโมงแล้ว

“ถ้าคุณเป็นห่วงผมจริง ๆ ก็ช่วยทำให้ผมหน่อย ได้ไหม?”

ซูโย่วอี๋หน้าแดง แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ