บทที่ 156 ยมทูตดำขาว ขีดจำกัดของหานเจวี๋ย

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 156 ยมทูตดำขาว ขีดจำกัดของหานเจวี๋ย

การบุกโจมตีจี้เซียนเสิน ไม่ได้ทำให้หานเจวี๋ยดีใจเท่าไรนัก

จี้เซียนเสินสามารถปลีกตัวมาท้าประลองกับเขาได้ นั่นหมายความเคราะห์ภัยจากมารแท้ได้สิ้นสุดลงแล้ว

หานเจวี๋ยเข้าใจหลักการข้อหนึ่ง

ผู้ใดจากโลกไป วิถีเดิมก็ยังคงหมุนเวียนต่อไปได้!

“พิจารณาเช่นนี้แล้ว เผ่ามารแพ้ไม่เป็นท่า สายมารถูกควบคุม วังสวรรค์ก็คงยังไม่ต้องกวาดล้างโลกมนุษย์หรอกกระมัง”

หานเจวี๋ยครุ่นคิดอย่างเงียบๆ

ไม่ได้!

จะต้องมีแผนที่ครอบคลุมรอบด้านแน่!

จิตดั้งเดิมของหานเจวี๋ยพลันออกจากร่าง กระโจนสู่ยมโลกทันที

จากโลกมนุษย์กระโจนเข้าสู่ยมโลก รวดเร็วยิ่งกว่าตอนที่เขาเร่งรุดไปยังสุดหล้าฟ้าเขียวเสียอีก

หลังจากบรรลุเซียนอิสระวัฏจักร หานเจวี๋ยสามารถสัมผัสได้ถึงการมีอยู่ของยมโลกกับแดนเซียนอย่างชัดเจน เบื้องบนเป็นแดนเซียน เบื้องล่างเป็นยมโลก ส่วนฟ้าดินอื่นๆ ยามนี้เขายังเข้าไม่ถึง

“ท่านยายเมิ่ง!”

หานเจวี๋ยแหกปากตะโกนลั่น

สี่ทิศแปดทางล้วนเป็นหมอกภูตผี ฟ้าดินมิดสนิท ไม่มีสุริยันจันทรา ดุจดั่งก้นบึ้งสุดของหุบเหวลึก

“มีเรื่องใดรึ” เสียงของยายเมิ่งดังลอยเข้ามา

หานเจวี๋ยเอ่ยถามว่า “หากข้าต้องการนำคนจำนวนหนึ่งไปที่ยมโลก ท่านจะอนุญาตหรือไม่”

“คนเป็นห้ามเข้ายมโลก เจ้าสามารถฆ่าพวกเขาได้ เมื่อถึงยามนั้นข้าจะส่งวิญญาณของพวกเขามาอยู่ต่อหน้าเจ้า”

“…”

หานเจวี๋ยหัวเราะน้อยๆ พลางเอ่ยถามว่า “ท่านผู้อาวุโส นี่ท่านเอาจริงหรือ”

ยายเมิ่งกล่าวอย่างจนปัญญาว่า “ข้าก็เป็นเพียงยมทูต ตัดสินชี้ขาดเมืองยมบาลไม่ได้ วันหน้าหากเผ่าจอมเวทผงาดขึ้นมา ยังจะพอช่วยเหลือเจ้าในเรื่องนี้ได้”

“เช่นนั้นตอนนี้ผู้อาวุโสสามารถช่วยอะไรข้าได้บ้าง ท่านให้ข้ารับถูหลิงเอ๋อร์ข้าก็รับแล้ว แต่ท่านกลับไม่สามารถช่วยเหลือข้าได้เลย หรือท่านอยากจับหมาป่าขาว…ด้วยมือเปล่า[1]”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ ยายเมิ่งก็นิ่งเงียบ

หานเจวี๋ยเองก็นิ่งเงียบ

ยายเมิ่งคงไม่อับอายจนพาลโกรธ แล้วคิดอยากฆ่าเขาหรอกกระมัง

หากเป็นเช่นนี้ อย่างนั้นคนผู้นี้คงจะผูกสัมพันธ์ขั้นลึกซึ้งไม่ได้!

หานเจวี๋ยสับสนอยู่บ้าง

ผ่านไปครู่หนึ่ง

ยายเมิ่งทอดถอนใจกล่าวว่า “ข้ามอบตำแหน่งยมทูตให้เจ้าสองตำแหน่งเป็นอย่างไร”

หานเจวี๋ยกล่าวอย่างจนใจว่า “นั่นไม่ใช่ว่าต้องทำให้คนตายอีกรึ”

“ข้าจะมอบดอกพลับพลึงแดงให้เจ้าอีกหนึ่งช่อ สามารถเพิ่มพูนพลังวิญญาณ และสามารถผูกผลกรรมฟื้นคืนชีพจากความตายได้”

‘ดอกพลับพลึงแดงยังจะออกผลได้ด้วยหรือ’

หานเจวี๋ยเปิดโลกทัศน์แล้ว

“ตกลง ข้าจะได้ดอกพลับพลึงแดงได้อย่างไร” หานเจวี๋ยเอ่ยถาม

“ยามดึกดื่นเงียบสงัดไร้ผู้คน ข้าจะให้ยมทูตดำขาวส่งไปที่ถ้ำเทวาของเจ้า”

“ตกลง!”

“ถูหลิงเอ๋อร์ก็มอบให้เจ้าดูแลแล้ว”

“ไม่มีปัญหา”

หานเจวี๋ยประสานหมัดคารวะให้กับความว่างเปล่า จากนั้นจึงจากไป

ยามดึกสงัด

หานเจวี๋ยอดทนรอการมาถึงของยมทูตดำขาว

จะว่าไปแล้ว เขายังไม่เคยเห็นยมทูตเลย สำนักศักดิ์สิทธิ์หยกพิสุทธิ์ก็มีวิญญาณอยู่น้อยนัก อย่างไรเสียก็เป็นสำนักสายหลัก มีโชคชะตาคุ้มครอง หลังจากศิษย์ตายไป ดวงวิญญาณก็ถูกวัฏจักรดึงดูดเข้าสู่เมืองยมบาลทันที ไม่สามารถตกเป็นวิญญาณเร่ร่อนได้

เที่ยงคืน ลมหนาวสะท้านพัดโชยเข้าไปภายในถ้ำเทวาฟ้าประทาน เห็นเพียงวิญญาณสองตนทะลุผ่านประตูหินเข้ามา ตนหนึ่งดำตนหนึ่งขาว

พวกเขามีลักษณะท่าทางเหมือนยมทูตดำขาว สวมชุดคลุมผียาวเฟื้อย ใบหน้าบิดเบี้ยว ลิ้นห้อยยาวถึงหน้าอก ดูน่าเกลียดน่ากลัว ลักษณะรูปร่างของผีสองตนนี้เหมือนกันไม่มีผิดเพี้ยน สิ่งเดียวที่แตกต่างนั่นก็คือตนหนึ่งดำตนหนึ่งขาว

ผีผูกคอตาย?

หานเจวี๋ยลอบสบถกับตัวเอง

อู้เต้าเจี้ยนยังคงฝึกบำเพ็ญ เห็นได้ชัดว่าไม่รับรู้ถึงการมของยมทูตดำขาวเลย

ยมทูตดำมาหยุดลงต่อหน้าหานเจวี๋ย กล่าวด้วยความเคารพว่า “ยายเมิ่งให้ข้าสองคนนำสมบัตินี้มามอบให้ท่าน”

เขาโบกมือขวาคราหนึ่ง ดอกไม้ช่อหนึ่งปรากฏขึ้นบนโต๊ะ

ดอกพลับพลึงแดง กลีบดอกด้านนอกเป็นสีแดงสด กลีบดอกด้านในเรียวเล็ก ดูราวกับเส้นสีแดงนับพันที่ระเบิดออก ทั้งแปลกประหลาดและงามสะพรึง

หานเจวี๋ยรีบใช้แบบจำลองการทดสอบเพื่อตรวจสอบทันที

[ยมทูตดำขาว: ระดับเซียนอิสระขั้นห้า ยมทูตยมโลก]

เพิ่งระดับเซียนอิสระขั้นห้า?

หานเจวี๋ยยังคิดว่ายมทูตดำขาวจะแข็งแกร่งมากเสียอีก

เขาเอ่ยถามอย่างสงสัยว่า “เมืองยมบาลมีเพียงพวกท่านยมทูตดำขาวสองตนหรือ”

ยมทูตขาวกล่าวกลั้วหัวเราะว่า “ไม่ใช่เท่านี้หรอก พวกเราทั้งสองเพียงรับผิดชอบเรื่องผีหยินหยางของโลกมนุษย์เท่านั้น”

หนึ่งโลกมนุษย์ต่อยมทูตดำขาวหนึ่งคู่?

“ขอตัวลา”

ยมทูตดำประสานมือกล่าวยิ้มๆ หันกายเดินออกไปพร้อมกับยมทูตขาว ยังไม่ทันเดินไปถึงประตูหิน พวกเขาก็หายลับไปกลางอากาศ

หานเจวี๋ยหยัดกายหยิบดอกพลับพลึงแดงขึ้นมา อู้เต้าเจี้ยนเอ่ยถามอย่างสงสัยว่า “เมื่อครู่ท่านพูดกับใครหรือ”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ หานเจวี๋ยก็เอ่ยตอบออกไปง่ายๆ ว่า “ยมทูตสองตน”

ยมทูต?

อู้เต้าเจี้ยนขนพองสยองเกล้า

เหตุใดนางถึงมองไม่เห็น

หานเจวี๋ยมองสำรวจดอกพลับพลึงแดงอย่างถี่ถ้วน สามารถรับรู้ถึงพลังวิญญาณอันยิ่งใหญ่ที่อยู่ในดอกไม้นี้ ยังมีกลิ่นอายแห่งวัฏจักรอีก

สมกับเป็นดอกไม้ของยมโลก!

หานเจวี๋ยเองก็ไม่อาจจะประเมินมูลค่าของดอกพลับพลึงแดงได้ เขานำดอกพลับพลึงแดงไปปลูกไว้ในมุมหนึ่งของถ้ำเทวา

“หลังจากนี้ดอกไม้นี้ก็มอบให้เจ้าดูแลแล้ว” หานเจวี๋ยหันไปสั่งกับอู้เต้าเจี้ยน

อู้เต้าเจี้ยนรีบร้อนพยักหน้า จากนั้นก็จ้องมองหานเจวี๋ยที่นำดอกพลับพลึงแดงไปปลูกไว้ที่มุมถ้ำเทวา

หานเจวี๋ยกลับไปยังแท่นนอนอีกครั้ง เริ่มต้นฝึกบำเพ็ญ

ระดับเซียนอิสระวัฏจักรไม่ได้แบ่งเป็นระดับเล็กเก้าขั้น แต่แบ่งเป็นระยะต้น ระยะกลาง ระยะปลาย ระยะสมบูรณ์

หลังจากแบ่งเป็นสี่ขั้นแล้ว เวลาที่หานเจวี๋ยจะต้องทะลวงระดับเล็กในแต่ละครั้งก็ต้องยาวนานกว่าที่ผ่านมาอย่างแน่นอน

ยิ่งเป็นเช่นนี้ หานเจวี๋ยยิ่งต้องทุ่มเทพละกำลังในการฝึกบำเพ็ญมากขึ้นไปอีก

จะชะล่าใจไม่ได้!

เหนือทะเลเมฆชั้นแล้วชั้นเล่า ผืนฟ้าสีครามอ่อนปรากฏรอยแยกสีดำขึ้นมาสายหนึ่ง ประกายอสนีสว่างวูบวาบต่อเนื่อง ดุจดั่งงูอสนีที่สั่นโคลง

ท่ามกลางรอยแยกสีดำปรากฏเงาร่างสายหนึ่งเยื้องย่างออกมาช้าๆ

เขาก็คือนักพรตเต๋าเจวี๋ยเหยี่ยน!

นักพรตเต๋าเจวี๋ยเหยี่ยนกางแขนทั้งสองข้าง สูบพลังวิญญาณของโลกมนุษย์ กล่าวทอดถอนว่า “โลกมนุษย์ช่างดีนัก”

ท่ามกลางรอยแยกสีดำด้านหลังเขามีเงาร่างอีกสายเดินออกมา คราวนี้เป็นสตรีชุดดำนางหนึ่ง

สตรีชุดดำใบหน้าเย็นชา ผมงามสลวยม้วนขึ้นเป็นมวย ท่วงท่าสง่างาม เพียงแต่สีหน้าแววตาเย็นชามืดทะมึน

“เรื่องของโลกมนุษย์ ข้าไม่อาจแทรกแซง นอกเสียจากบังเอิญพบพวกที่อยู่เหนือกว่าโลกมนุษย์” สตรีชุดดำเอ่ยปากกล่าวขึ้น

นักพรตเต๋าเจวี๋ยเหยี่ยนรีบหันไปมองนางทันที ค้อมกายลงโค้งคารวะ กล่าวว่า “ขอบคุณผู้อาวุโสยิ่งนักที่ตามข้ามาในครั้งนี้”

สตรีชุดดำแค่นเสียงกล่าวว่า “ก็ไม่รู้ว่าเจ้ามีความสัมพันธ์ใดกับเขา ในเมื่อเขาเอ่ยปากออกมาด้วยตัวเอง เช่นนั้นข้าก็ได้แต่มุ่งหน้ามาช่วยเจ้า เจ้าไปเถิด ข้าจะถือโอกาสเดินเล่นในโลกมนุษย์เสียหน่อย”

นักพรตเต๋าเจวี๋ยเหยี่ยนยิ้มให้ตามมารยาท พยักหน้าค้อมกายลง

สตรีชุดดำหายลับไปจากจุดเดิม

นักพรตเต๋าเจวี๋ยเหยี่ยนถอนหายใจออกมายืดยาว ใบหน้าเขาปรากฏรอยยิ้ม

“จวนเซียนสวรรค์…อีกทั้งเจ้าคนที่ฆ่าสัตว์เลี้ยงปีศาจของข้า พวกเจ้าอย่าคิดหนีรอดแม้แต่คนเดียว!”

หลังจากปลูกดอกพลับพลึงแดงเสร็จแล้ว เวลาก็เคลื่อนคล้อยจนกระทั่งผ่านไปสิบปี

หานเจวี๋ยที่กำลังฝึกบำเพ็ญอยู่ลืมตาขึ้น มุ่นหัวคิ้วเล็กน้อย

ไม่รู้เพราะเหตุใด พักนี้จิตใจของเขามักจะไม่สงบ ความรู้สึกเช่นนี้นับวันยิ่งรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ

ครั้งก่อนเป็นเพราะมารแท้บุกรุก

หรือว่าเผ่ามารจะสร้างเรื่องอีกแล้ว

หานเจวี๋ยหยิบหนังสือแห่งความโชคร้ายออกมา เริ่มสาปแช่งจูเชวี่ยเป็นการระบายอารมณ์

เขาสาปแช่งไปพลาง ตรวจสอบค่าความสัมพันธ์ไปพลาง

ผ่านไปหลายปีเพียงนี้ เหล่าสหายของเขาล้วนมีพัฒนาการกันหมด

ที่ช้าที่สุดก็ยังเป็นเหล่าผู้อาวุโสใหญ่ของสำนักศักดิ์สิทธิ์หยกพิสุทธิ์แต่เดิม รวมถึงหลี่ชิงจื่อที่มีคุณสมบัติธรรมดาสามัญเกินไป

สำนักศักดิ์สิทธิ์หยกพิสุทธิ์ในยามนี้ถือว่าเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์แล้ว ศิษย์ที่รับเข้ามาไม่เพียงมาจากต้าเยี่ยนเท่านั้น แต่ยังมาจากเขตใกล้เคียงต่างๆ อีกด้วย คุณสมบัติล้วนเหนือชั้นกว่าศิษย์รุ่นก่อนๆ อยู่มาก

ในขณะที่สำนักศักดิ์สิทธิ์หยกพิสุทธิ์นับวันยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อยๆ เหล่าผู้อาวุโสก็ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไม่หยุด คนส่วนมากล้วนปลดตัวเอง พวกเขาก็ทนรับแรงกดดันไม่ไหวเช่นกัน

ยามที่ค่าตบะเฉลี่ยของศิษย์แกนหลักบรรลุถึงระดับปราณก่อกำเนิด ก็เห็นได้ชัดว่าผู้อาวุโสระดับปราณก่อกำเนิดก็กระอักกระอ่วนเป็นอย่างมากจริงๆ

‘ไม่ได้ ตบะไม่สามารถเพิ่มขึ้นในเวลาอันสั้นได้ ข้าต้องเสริมความแข็งแกร่งให้พลังวิเศษ อย่างไรเสียวังสวรรค์ก็สามารถบุกมาได้ทุกเมื่อ’

หานเจวี๋ยครุ่นคิดอย่างเงียบๆ

หกวันต่อมา เขาเริ่มหยั่งรู้ไตรวิสุทธิ์กำราบภูมิ

หนึ่งเดือนต่อมา เขาหยั่งรู้เมฆตีลังกาต่อ

จะเอาแต่คิดปลิดชีพฉับพลันไม่ได้ ยังต้องพัฒนาให้รอบด้าน!

หนึ่งปีต่อมา

หานเจวี๋ยหยั่งรู้พลังวิเศษและจิตกระบี่ของตนจนถึงขีดจำกัดสูงสุดทั้งหมดแล้ว

เขาถอนหายใจออกมาคราหนึ่ง ในที่สุดความไม่สงบในใจก็คลายลง

อย่างที่คิดไว้!

ความรู้สึกปลอดภัยก็ยังต้องพึ่งพาความแข็งแกร่งแห่งตน!

………………………………………………………………

[1] สำนวน หมายถึง การหลอกใช้ผลประโยชน์จากผู้อื่นแต่กลับไม่ลงทุนอะไรเลย ตรงกับสำนวนไทยที่ว่า จับเสือมือเปล่า