ตอนที่ 206 ห้วงนภาไพศาล

พลังกล้าแกร่งขุมนั้นทันทีที่พุ่งเข้ามา ขนบนตัวอีกาก็กระจาย เปลี่ยนเป็นเลือดเนื้อก้อนหนึ่ง แม้แต่พิสุทธิ์ไพศาลยังไม่อาจต้านรับ

คลื่นสัตว์อสูรบุกตะลุยเข้ามาเหมือนเครื่องบดเนื้อที่ไม่มีวันหยุดพัก เหยียบย่ำอุปสรรคขวางหน้าทุกอย่างจนราบเป็นหน้ากลอง

คลื่นสัตว์อสูรไหลเชี่ยว พริบตาก็บรรลุระยะร้อยเมตร สุดที่จะต้านทาน “อย่าถอย!” มู่เหล่าออกสั่งการณ์เสียงก้อง ระเบิดพลังกลั่นดวงธาตุ

“ฆ่า!” มู่เหล่ายกมือ มหาดวงธาตุทองคำไร้ผู้ต้านเคลื่อนออก บดขยี้สัตว์อสูรแถวหน้าจนเป็นผุยผงไป

หลายคนหวาดหวั่นจนต้องล่าถอยไปหลายก้าว ริมฝีปากเดี๋ยวม่วงเดี๋ยวขาว ไม่ทราบควรทำอย่างไร

พยัคฆ์ทลายเมฆาหลายตัวไต่ขึ้นหอประตูเมือง ย่อตัวกู่ร้องเสียงสูง

ฉินจิ่วเกอหน้าไม่เปลี่ยนสี เพียงบุกเข้าไปอย่างเหี้ยมหาญ บรรทัดตารางนิ้ววาดออกอย่างดุดัน บรรทัดฟาดกับศีรษะแคบๆ ของพยัคฆ์ทลายเมฆาอย่างถนัดถนี่

เกิดเสียงดังโพล๊ะขึ้นคราหนึ่ง พยัคฆ์ทลายเมฆายังไม่ทันกรีดร้อง สมองของมันก็แหลกเละ ร่างตกหล่นลงไปนอกกำแพงเมือง

พริบตาต่อมา เสียงกู่ของอาชานับไม่ถ้วนก็ดังกระหึ่ม เหยียบย่ำศพซากอสูรตามพื้นดินอันเกลื่อนล้น ไม่เหลือแม้แต่ซากกระดูก

ตลอดทั้งเมืองซวนอู่ตกอยู่ในคลื่นสัตว์อสูร ราวกับจะถูกถอนรากถอนโคนอยู่แล้ว

ความยิ่งใหญ่มหาศาลของคลื่นสัตว์อสูรนี้สุดที่ผู้คนจะจินตนาการได้

เสมือนยืนอยู่บนชายหาด เผชิญหน้ากับคลื่นลูกยักษ์เพียงลำพัง

ไร้กำลัง ไร้หนทาง ไร้ที่พึ่งพิง!

“ฆ่าฆ่าฆ่า!”

มีแต่กลั่นดวงธาตุที่ถือครองไอวิญญาณข้นเหลวจากมหาวิถีทองคำ ช่วยให้เคลื่อนไหวไปมาท่ามกลางคลื่นสัตว์อสูรมหาศาลได้สะดวกขึ้น

หมวกบนศีรษะของมู่เหล่าไม่ทราบตกหล่นไปอยู่ที่ใดแล้ว ผมเผ้าของมันปลิวสยาย เสื้อผ้าหลุดลุ่ย กระนั้นก็ยังระเบิดพลังกวาดล้างศัตรูที่พุ่งเข้ามาอย่างไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย

บุปผาโลหิตดอกแล้วดอกเล่าบานปะทุออกอย่างน่าตกตะลึง จากนั้นถูกอาบย้อมชโลมด้วยกลิ่นเหล็กของโลหิต ถูกเหยียบย่ำราวหญ้าแห้งไม้เหี่ยวริมข้างทาง

ฉินจิ่วเกอไม่อาจบอกได้ว่าตอนนั้นตัวมันรอดมาได้อย่างไร

เพียงจำได้ว่าข้างหูมีแต่เสียงฆ่าฟันไม่หยุดหย่อน เสียงกรีดร้องเวทนาดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง

เศษเนื้อเศษเลือดปลิวกระจายเต็มน่านฟ้า ไม่ทราบอันไหนเป็นของสหายร่วมรบ อันไหนเป็นของสัตว์อสูรหน้าขนพวกนั้น

ณ ตอนนั้น สัตว์อสูรคลั่ง คนเองก็คลั่ง

การฆ่าล้างไร้สิ้นสุด กระทั่งไม่รู้ว่าฟ้าอยู่บน ดินอยู่ล่างอีกหรือไม่

ตรงหน้ามีเงาดำวาบผ่านไปมาจนตาลาย ไม่ทราบนั่นคือสัตว์อสูร หรือเป็นวิญญาณของผู้วายชนม์กันแน่ เพียงรู้สึกว่าขอบเขตระหว่างกาลเวลาและมิติถูกยืดออก จนกระทั่งเหน็ดเหนื่อยสุดล้า จนแม้แต่บรรทัดตารางนิ้วในมือก็ไม่อาจยกขึ้นมาได้อีก

“ถอยแล้ว ถอยแล้ว!” ซ่งเล่อแววตาหม่นแห้ง หน้าเปียกปอนชุ่มเหงื่อ ชี้ไปยังล่างกำแพง

กำแพงสูงหลายสิบเมตร กลับปรากฏกองเนื้อทับถมจนแทบจะสูงไล่เลี่ยกัน

สุดท้าย สัตว์อสูรก็ตะกายเนินศพจนมาถึงหอเฝ้าระวัง ไม่มีก้อนอิฐก้อนใดที่ไม่แปดเปื้อนด้วยโลหิตแดงฉาน

เหลืองเขียว แดงขาว โลหิตหลากหลายปะปนกันไป กระดูกบ้างแหลกละเอียด บ้างแตกหักกระจัดกระจายอยู่ทุกแห่งหน

คลื่นสัตว์อสูรถอยทัพแล้ว นี่เป็นเพียงการบุกโจมตีครั้งแรกเท่านั้น

เสียงคร่ำหวนระงมทั่วสนามรบ อีกาสภาพร่อแร่ไม่กี่ตัวที่เหลืออยู่ส่งเสียงกู่ร้องอย่างยินดีขึ้นฟ้า

จากนั้นก็กระพือปีกบินเข้าหากองอาหารอันโอชะตรงหน้า จะงอยปากแหลมคมจิกกินอย่างลืมเป็นลืมตาย เลือดสดๆ ทะลักพรั่งพรู ปะปนไปกับเสียงร้องอันสดใสกังวาน

ฉินจิ่วเกอตอนนี้หน้าตาไร้ความรู้สึกไปแล้ว ปัดคราบเลือดตามตัวออก

จากอาภรณ์สีขาวสะอาด ตอนนี้กลับกลายเป็นอาภรณ์ชุ่มเลือด และยังคงไหลหยดลงพื้นอยู่ตลอดเวลา

บริเวณหางตาปรากฏร่องรอยโลหิตพาดทับกันไปมาอย่างน่าใจหาย

ฉินจิ่วเกอจ้องมองตะวันที่จมขอบฟ้าไปครึ่งดวง ความยินดีที่รอดชีวิตมาได้แล่นพล่านไปทุกสรรพางค์กาย ส่งกระแสความเจ็บแปลบไปทั่วร่างที่แทบจะหลับใหลไม่ได้สติ

“พวกมันถอยไปแล้ว พวกมันถอยไปแล้ว”

บรรทัดตารางนิ้วจากที่เคยเป็นสีทอง ตอนนี้ถูกย้อมจนเป็นสีแดงเถือก บนนั้นยังมีเศษเนื้อติดอยู่ ฉินจิ่วเกอยกมือรำพึงรำพันกับตัวเองสองประโยค จากนั้นรู้สึกโลกหมุนคว้าง คนล้มทั้งยืน ไม่เหลือเรี่ยวแรงติดตัวอีกแม้แต่หยดเดียว

ลมหายใจแผ่ว ส่งเสียงครวญครางเหมือนสัตว์อสูรที่รับบาดเจ็บหนัก

นี่เป็นครั้งแรกที่ฉินจิ่วเกอรู้สึกถึงความเหนื่อยล้าแทบพรากชีวิต เหน็ดเหนื่อยจนสามารถตายได้

ลั่วเฉินในอาภรณ์แดงโชกยืนตัวสั่นระริกอยู่กลางสายลม ใบหน้ายังคงนิ่งเฉยและเย็นชา ตาจ้องมองไปยังซากศพกองสุมใกล้กำแพงเมือง มุมปากวาดออกเป็นรอยยิ้มที่มองไม่ออกว่ากำลังเยาะเย้ยอยู่หรือไม่

รอจนฉินจิ่วเกอได้สติคืน ถึงค่อยพบว่าตัวเองได้มานอนอยู่ในห้องแล้ว ความอบอุ่นได้ดึงมันให้หลุดจากขุมนรกโชกเลือดอันเย็นเยียบ

“ศิษย์พี่ ท่านว่าหอมหรือไม่?”

ตงฟางฉิงอวี่เดินถือดอกไม้ป่าเข้ามาจากด้านนอก กลิ่นหอมของบุปผาลอยล่องอยู่ในอากาศ นางเอามาวางไว้ใกล้กับหมอน ข้างใบหน้าของฉินจิ่วเกอ

“หอมไม่เบา” ฉินจิ่วเกอสูดลมหายใจเข้าปอด พยายามขับไล่กลิ่นคาวเลือดติดจมูกออกไป

“นี่ ฉินจิ่วเกอ เจ้าไม่เป็นอะไรใช่ไหม?” อันติงหลันพุ่งพรวดเข้ามาจากด้านนอก ได้ยินเสียงปงคราหนึ่ง ประตูที่น่าสงสารก็พลันได้รับบาดเจ็บ ก่อนจะทิ้งตัวลงกับพื้นราวกับจะประท้วง

คิ้วดกเข้มดุจมังกรท่องเวหาของฉินจิ่วเกอขมวดเข้าหากัน กล่าวแบบกึ่งเป็นกึ่งตาย “ตอนนี้ตายหรือไม่ ข้าบอกไม่ได้ ส่วนที่ว่าในอนาคตจะตายหรือไม่ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของโชคชะตาเถอะ”

“ฮ่าฮ่า วางใจเถอะน้องพี่ พี่ฉินมีแรงพอจะพูดปาวๆ ได้เช่นนี้ก็แปลว่าหมดห่วงแล้ว” อันหยางส่งเสียงหัวเราะนำมาก่อน จากนั้นคนก็เดินเข้ามา พอคิดถึงน้องเขยที่เมื่อคืนค่อนข้างฮึกเหิมห้าวหาญได้ใจ มันยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกถูกชะตา

ฉินจิ่วเกอใจอยากจะลุกขึ้นนั่ง แต่ความนุ่มนิ่มของฟูกปูที่นอนทำให้มันราวกับกำลังหลับใหลอยู่บนปุยเมฆอันเนียนนุ่ม ร่างที่ไม่เหลือเรี่ยวแรงสักหยด จึงยิ่งทิ้งตัวลงกับความหยุ่นสบายนี้มากกว่าเดิม

“เมื่อคืนเพราะสถานการณ์พาไป จึงเข่นฆ่าไม่ลืมหูลืมตา ยามนี้มานึกดู กลับน่าสยองอยู่บ้าง” มันนวดขมับที่พองโต ในหัวมีแต่ภาพการต่อสู้น่าขนลุกฉายสลับไปมาไม่จบสิ้น

“ทำได้ดีมาก!” อันหยางตบบ่าปลอบใจ

เมื่อคืน ประตูอีกสามด้านของเมืองซวนอู่เองก็สาหัสไม่เบา

สี่กลั่นดวงธาตุที่มีอยู่กระจายกันออกไปประจำการในแต่ละทิศ

ทางฝั่งสัตว์อสูรไม่ทราบตายกันไปเท่าไหร่ แต่ทางฝั่งตนเองนั้น พิสุทธิ์ไพศาลตายไปกว่าสามส่วน ปราณสุริยันตายไปเกินกว่าครึ่ง การสูญเสียนี้นับว่าหนักหนาสาหัสยิ่ง

“อย่างที่ข้าบอกไป เมืองซวนอู่มิอาจต้านรับได้นาน” ฉินจิ่วเกอหนุนศีรษะกับหมอนนุ่ม ปิดตาลง กลิ่นอายหอมบริสุทธิ์ของบุปผาช่วยชะล้างความป่าเถื่อนรุนแรงในใจ นัยน์ตาที่เคยแดงก่ำเริ่มกลับมาเป็นสีเดิม

อันหยางผงกศีรษะอย่างกระอักกระอ่วนใจ “ดูจากสถานการณ์ ระดับคลื่นสัตว์อสูรครั้งนี้เหนือกว่าที่คาดกันไว้ห้าเท่า นี่ก็ไม่รู้ว่าพรรคโลหิตนภาใช้วิธีการใดกันแน่ สัตว์อสูรทั้งหมดในเผ่ามนุษย์ถึงก่อการจลาจลออกมา”

“เมืองซวนอู่ยังมีอีกสามหัวเมือง สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง?” ตอนแรกว่าจะไม่ใส่ใจ แต่พอเห็นอันหยางเข้ามาด้วยกลิ่นอายโลหิตคละคลุ้ง ฉินจิ่วเกอจึงมิอาจไม่ถามไถ่ดู

ศิษย์น้องเล็กและอันติงหลันขอตัวออกจากห้องไปแล้วโดยที่ไม่ต้องเปิดประตู

เพราะบานประตูที่ถูกลูกถีบของอันติงหลันนั้น ได้จบหน้าที่ของมันอย่างสมเกียรติไปแล้ว

“อีกสามเมืองที่เหลือ สถานการณ์ไม่ค่อยจะสู้ดีนัก น่ากลัวว่าจะต้านรับได้อีกไม่นาน เมื่อครู่ข้าลองสำรวจในเมืองซวนอู่ หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป อย่างมากอีกแค่สองครั้ง พวกเราหากไม่ใช่ถูกสัตว์อสูรบุกโจมตีจมราบคาบ ก็คงร่อแร่ตายกันไปเองก่อน”

เมืองซวนอู่มีรากฐานไม่มั่นคง ขาดแคลนทรัพยากรมรดก ด้วยขนาดของคลื่นสัตว์อสูรที่ยิ่งใหญ่ปานนี้ จำนวนคนในเมืองก็ดันมีไม่พอต่อความต้องการอีก

“งั้นก็ใช่แล้ว ครั้งนี้พรรคโลหิตนภาเดินหมากได้ดี ทำให้สี่พรรคใหญ่วุ่นวายจนไม่มีเวลามาดูแลจัดการ ส่วนทางฝั่งเขตร้างทางใต้นี้ กว่าพวกมันจะส่งกำลังเสริมมาช่วย น่ากลัวว่าแผ่นดินแถบนี้คงตกไปอยู่ในมือของพวกผู้ฝึกวิชาปีศาจนั้นแล้ว”

เมื่อไม่ได้รับข่าวคราวจากทางฝั่งท่านอาจารย์ ฉินจิ่วเกอเดาว่าพวกอาวุโสใหญ่คงจะถูกพรรคโลหิตนภายื้อตัวเอาไว้

เท่าที่ดูจากตอนนี้ อย่างน้อยภายในชั่วสั้นๆ ให้ลืมเรื่องกำลังเสริมไปได้เลย

อาศัยเพียงกำลังรบอันเปราะบางของเมืองซวนอู่ ก็ชวนให้ต้องปวดศีรษะขึ้นมาทันที ในใจรู้สึกหดหู่ไร้ทางระบาย

อันหยางใคร่ครวญอยู่พักหนึ่ง บนเกราะอ่อนที่มันสวมอยู่ยังเหลือคราบเลือดติดกรังอยู่ประปราย “เมืองซวนอู่ต้านไม่อยู่อย่างที่พี่ฉินว่าจริงๆ เป็นพวกเราคิดอะไรตื้นเขินเกินไป พี่ฉิน ถ้าทำตามที่ท่านว่า แปลว่าพวกเราต้องบุกฝ่าและโยกย้ายผู้คนไปยังเมืองข้างเคียง แต่นี่จะเป็นไปได้หรือ?”

ฉินจิ่วเกอยกมือกุมศีรษะ เผยให้เห็นเพียงดั้งจมูกที่ตั้งตรงและจังหวะหายใจสั้นห้วน “ตอนนี้เป็นไปไม่ได้แล้ว ทุกที่ทางล้วนมีแต่สัตว์อสูรชุกชุม ซ้ำร้ายช่องทางติดต่อสื่อสารยังถูกตัดขาด”

“ข้าที่เป็นกลั่นดวงธาตุสามารถเคลื่อนย้ายข้ามมิติ ไม่ใช่สามารถออกไปได้หรอกหรือ?” อันหยางถามต่อ

ฉินจิ่วเกอคลายมือ หรี่ตาลง ประกายแววตาดุจสายฟ้า “ทำเช่นนั้นเจ้าก็ได้ตกเป็นเป้าหมายของพวกมันทันที!พรรคโลหิตนภาไม่กล้าปรากฏตัวอย่างโจ่งแจ้ง แต่ถ้าต้องการเล่นสกปรกซ่อนตัวอยู่ในเงามืด เจ้าคงได้ตกเป็นเหยื่อ และไม่มีโอกาสรอดชีวิตกลับมาอีก”

“งั้นจะทำยังไงกันดี?” อันหยางร้อนรนจนต้องลุกขึ้นเดินไปเดินมา

แค่ต้านรับคลื่นสัตว์อสูรเพียงคืนเดียว กำลังรบของเมืองซวนอู่ก็อ่อนโทรมลงไปถึงสามส่วนแล้ว นี่เป็นแค่การเริ่มต้นเท่านั้น ช่วงหลัง พลังรบของพวกมันมีแต่จะยิ่งน่าหวาดหวั่นพรั่นพรึงมากขึ้นไปอีก

หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป มากที่สุดห้าวัน เมืองซวนอู่คงไม่พ้นล่มสลาย

“ตอนนี้ช่องทางข่าวสารระหว่างกองกำลังและหัวเมืองของมนุษย์ต่างก็ถูกตัดขาด หากต้องการติดต่อขอความช่วยเหลือ น้ำไกลย่อมไม่อาจดับไฟใกล้” ฉินจิ่วเกอประสานมือไว้บนหน้าท้อง

“พี่ฉิน ข้าเชื่อว่าท่านต้องมีวิธี ใช่หรือไม่?” อันหยางจ้องมองฉินจิ่วเกอด้วยแววตาคาดหวัง อีกฝ่ายมีความคิดฉีกแนวอยู่บ่อยครั้ง ทั้งยังวิเคราะห์สถานการณ์ได้ตรงจุดอีกด้วย

“รอไปก่อน ข้าจะให้คำตอบเจ้าก่อนฟ้ามืด”

ตอนนี้ฉินจิ่วเกอแค่อยากจะใช้ความอบอุ่นหยุ่นสบายนี้พักผ่อนเอาแรงสักงีบ มันรู้สึกเหนื่อยล้าเกินไปจริงๆ

ไม่ใช่ร่างกายที่ไร้แรง แต่เป็นจิตใจที่เหี่ยวเฉาใกล้ตายของมันต่างหาก

ฉินจิ่วเกอตะแคงตัว ลากผ้าห่มมาคลุมโปง ไม่นานก็ม่อยหลับไป อันหยางเกาหน้าแกร่กๆ พอเดินเข้ามาดูและเห็นว่าฉินจิ่วเกอไร้ท่าทีตอบสนอง มันจึงได้แต่เดินจากมาด้วยความกังวลไม่สร่าง

คนอย่างพวกมันนั้น หากให้ถกเรื่องการฝึกวิชา การฝึกฝีมือ พวกมันถือว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญ แต่ถ้าให้ถกกันเรื่องกลยุทธ์ มองทะลุถึงยุทธการต่างๆ อย่างหมดจด พวกมันกลับไร้ประสบการณ์ ดังนั้นจึงร้อนรนกระวนกระวายอย่างที่เห็น

มู่เหล่าและเหมียนเหล่าต่างก็หาทางแก้ไม่ได้ ถึงสมาคมทั้งสองจะมีสินทรัพย์มหาศาล แต่ในเมืองซวนอู่กลับไม่ได้มีอำนาจมากมาย แถมตอนนี้พวกมันก็แจกจ่ายศิลาวิญญาณและโอสถอย่างไม่เก็บรั้ง แต่ประเด็นสำคัญคือมันไม่มีคนต่างหากเล่า!

หลังจากที่มู่หยวนได้ฟังความจากอันหยางที่กลับมาแล้ว นอกจากเสริมค่ายกลของเมืองซวนอู่เพิ่มอีกเล็กน้อย มันก็ไม่มีแนวคิดดีๆ อะไรอีก

ตะวันลาลับอย่างรวดเร็ว ราวกับไม่ยินยอมที่จะดูการเข่นฆ่าเจิ่งนองในครั้งนี้

บนยอดเขาตะวันตก พระอาทิตย์ค่อยแปรเปลี่ยนเป็นเส้นด้ายสีทอง ชอนไชผ่านบานหน้าต่างเข้ามาอย่างซุกซน สุดท้ายก็ทาบทับลงบนเปลือกตาของฉินจิ่วเกออย่างสม่ำเสมอกัน

ขนตาแต่ละเส้นแตกต่างไม่เหมือนกัน เหมือนคลื่นสีน้ำหมึกที่กระเพื่อมสั่นไหว

มองเผินๆ นึกว่าบนแพขนตาคือหยาดน้ำค้างสีทองชั้นหนึ่ง ปลุกให้ฉินจิ่วเกอตื่นจากการหลับใหลด้วยความงัวเงีย

เลิกผ้าห่มออกอย่างไม่สบอารมณ์เท่าใด ฉินจิ่วเกอยกมือถูจมูก ได้ยินเสียงดังมาจากข้างนอก คล้ายมีคนกำลังโต้เถียงกันอยู่

มือพิงอยู่กับกรอบประตู ถดตัวออกจากห้อง ทันใดนั้นภายในเมืองก็ปรากฏทหารบาดเจ็บเพิ่มเข้ามา กลิ่นคาวเลือดที่เพิ่งจางหายไปจากอากาศพลันกลับมาค้นคลั่กติดจมูกอีกครั้ง

ความเศร้าหมองคั่งแค้นเริ่มก่อตัว ขัดแย้งปะทะไม่จบสิ้น

“เกิดอะไรขึ้น?” ฉินจิ่วเกอถามซ่งเล่อที่กำลังแจกจ่ายทรัพยากร

ซ่งเล่อในชุดเกราะแหว่งๆ ดูคล้ายหุ่นทหารที่เพิ่งถูกขุดออกจากสุสานเก่าแก่ มันหันมากล่าวอธิบายว่า “สามเมืองถูกตีแตกแล้วเมื่อคืน คนพวกนั้นถูกคลื่นสัตว์อสูรไล่ต้อนจนต้องมาขอกบดานในเมืองซวนอู่”