บทที่ 176 ไม่ได้มาเพื่อกิน

หวางเฟยเสด็จ ท่านอ๋องหลีกไป

บทที่ 176 ไม่ได้มาเพื่อกิน

“ไสหัวไป!”

คำพูดนั้นเข้ามากระทบยังหูของป่ายเม่ยเซิง จนทำให้ใจของเขาเย็นยะเยือก ตามด้วยเหงื่อที่ไหลออกมาตามแผ่นหลัง

เขารู้ดีว่าคำนี้เจ้าของเรือพูดให้กับเขา และคำพูดนั้นก็มีพลังทำลายล้างที่รุนแรงเสียด้วย

“ขอรับ!”

เขากุมมือคาราวะชายผมเขาอย่างสั่นเทา แล้วรีบเดินจากไปอย่างรวดเร็ว

แล้วคนที่อยู่ข้างหลังของชายผมขาวอย่างซาหมั่นเฉิงหมุ่นชายชุดเขียว บุคลิกของทั้งสองนั้นนั้นแบ่งแยกได้อย่างชัดเจน คนหนึ่งก็มีท่าทางที่ไม่สนใจกับเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับตนเอง ส่วนอีกคนก็กลับรู้สึกสะใจกับความโชคร้ายของผู้อื่นพร้อมทั้งสายตาที่เต็มไปด้วยการเหยียดหยาม

ใครจะรู้ว่าวินาทีต่อมา······

“ไสหัวออกไปให้หมด!”

พวกเขาถึงกับชะงักไปชั่วขณะ ด้วยท่าทางที่นิ่งเกรง พอตั้งตัวได้ทั้งสองก็ออกไปทันทีอย่างคอตก

ความเร็วนั้นราวกับผีหายตัวก็ไม่ปาน

ดูมันสิ!

หลานเยาเยาสมน้ำหน้าอยู่ในใจ อีกนิดเดียวก็เกือบจะปรบมือร้องออกมาแล้ว

เมื่อเห็นสีหน้าของชายผมขาวไม่สู้ดีนัก หลานเยาเยาก็ไม่ได้แสดงอะไรมากมาย เพียงก้มหน้าลงแล้วเล่นกับนิ้วมือของตัวเอง

บางครั้งการมีความสุขในยามโชคร้าย หรือไม่ต้องทำสิ่งใดตรงไปตรงมาก็ถือว่าดีเช่นกัน

หลังจากเงียบไปชั่วครู่

เสียงก็ดังขึ้นมาจากโต๊ะฝั่งตรงข้าม คาดว่าคงจะเป็นชายผมขาวที่ลุกขึ้นแล้ว

แต่ทว่า!

นางที่ยังไม่ทันได้เงยหน้าขึ้นมาดู ร่างกายก็เบาลง เพียงพริบตาเดียว ร่างของนางก็ถูกผลักไปยังประตูด้วยพลังภายใน แล้วคนทั้งสองในห้องก็เริ่มทำการต่อสู้กัน 

ทั้งโต๊ะเก้าอี้หรือแม้แต่ถ้วย ตะเกียบที่อยู่บนโต๊ะ ที่ตกอยู่ภายใต้พลังภายในของทั้งสอง ทั้งหมดแตกกลายเป็นผุยผง

แต่หลานเยาเยาก็เห็นจนชินแล้ว ยิ่งยอดฝีมือปะทะกับยอดฝีมือจะมีพลังทำลายมากขนาดไหน

แต่สิ่งที่ทำให้นางประหลาดใจมากกว่านั้น ก็คือเห็นชัดอยู่ว่าทั้งสองกำลังต่อสู้กันอยู่ตรงหน้า แต่กลับเห็นเพียงแต่ภาพเงาต่อสู้กันเท่านั้น

นี่ไม่ใช่พลังความเร็วที่คนข้ามเวลาอย่างนางจะมีได้ แล้วเท่าที่นางคาดการณ์ พลังภายในและกระบวนการต่อสู้ของทั้งสองคงจะถึงขีดสุดแล้ว  

ถึงแม้จะรู้ว่าเย่แจ๋หยิ่งจะมีพลังภายในที่ล้ำลึก และการต่อสู้ที่สุดยอด

แต่ว่า!

นางเคยเห็นมากับตาว่าชายผมขาวใช้มือเดียวทำให้หญิงสาวกลายเป็นกระดูก จึงทำให้นางอดไม่ได้ที่เหงื่อตกแทนเย่แจ๋หยิ่งไม่ได้

หลังจากนั้นไม่นาน!

ทันใดนั้นด้วยฝ่ามือเดียวชายผมขาวก็ล้มลงมา ถึงแม้จะไม่ล้มลงไปบนพื้น แต่เขาก็ชันเขาข้างหนึ่งไว้ ร่างกายที่ทุลักทุเล ผมที่ยุ่งเหยิงเล็กน้อย และดวงตาแดงก่ำที่เต็มไปด้วยความคับแค้นและไม่พอใจ

“เป็นไปได้อย่างไรกัน·····เจ็ดปีแล้ว เจ็ดปีเต็มแล้ว······”

ราวกับชายผมขาวพ่นมันออกมาจากปากอย่างทนไม่ได้ ทำให้หลานเยาเยาที่กำลังกังวลอยู่ ก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก

ดูแล้วเหมือนชายผมขาวจะแพ้แล้ว

โอ้เย่!

หลังจากที่เสียงของชายผมขาวลดลง ร่างของเย่แจ๋หยิ่งก็ปรากฎมาอยู่ต่อหน้าหลานเยาเยา

ออร่าที่กระจ่ายมาอย่างเป็นธรรมชาติของกษัตริย์ถาโถมลงบนใบหน้าของนางจนทำให้รู้สึกถึงความกดดันอย่างหนัก

“เจ็ดปีแล้วจะยังไง?”

น้ำเสียงเปร่งออกมาอย่างเฉื่อยชา น้ำเสียงราวกับพูดว่า

‘ต่อให้ให้เวลาท่านอีกเจ็ดปี ก็ยังคงสู้กับข้าไม่ได้เหมือนเดิม’

ทันใดนั้นชายผมขาวก็กำหมัดแน่น

ใช่!

เจ็ดปีแล้วจะยังไง?

ต่อให้เขาจะไปพยายามฝึกฝนพลังภายในมากเพียงใด เขาก็ไม่มีทางชนะหรอก

เหอะ!

แต่เขาไม่เคยเป็นคนที่เที่ยงธรรม ในเมื่อต่อสู้อย่างตรงไปตรงมาไม่ชนะ เช่นนั้นเขาจึงใช้วิธีการสกปรก ไม่คิดว่าจะยังสู้ไม่ได้อีกงั้นรึ?

เพียงช่วงเวลาสั้นๆ จิตใจของเขาได้เปลี่ยนไปเป็นพันๆครั้ง ด้วยยาพิษที่หยั่งรากลึกเข้าไปในใจของเขา…..

ดังนั้น!

ชายผมขาวจึงลุกขึ้นยืน พร้อมุมปากที่ยกยิ้มขึ้นอย่างไม่อาจอธิบาย

“ใช่สิ!เจ็ดปีแล้วจะเป็นยังไง ?มันไม่สามารถบอกสิ่งใดได้”

เขาจัดเสื้อคลุมของตัวเอง ก่อนจะกล่าวต่อ

” ยังมีเวลาอีกสองสามวันก่อนที่เรือลำถัดไปจะเทียบท่า หวังว่าพวกท่านจะหลับฝันดี แต่ข้าจะไม่อยู่กับพวกท่านหรอก”

หลังจากพูดเสร็จเขาก็สะบัดแขนเสื้อและเดินไปที่ประตู

หลานเยาเยาที่เห็นแบบนี้ก็หลบทางให้ พร้อมกับในเวลาก็ระวังมากขึ้น

นางกลัวว่าเขาจะไม่เดินตามทาง หากเย่แจ๋หยิ่งไม่ทันระวังตัวแล้วเขาจับนางขึ้นมาจะทำอย่างไร?

นางไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาหรอกนะ

แม้ชายผมขาวจะไม่ได้มีการเคลื่อนไหวอื่นใด แต่ในตอนที่เขาเดินผ่านไหล่นางไป เขาก็เพ่งสายตามามองนางอย่างลึกล้ำ ด้วยท่าทางที่อยากจะพูดได้

แต่นางก็สังเกตเห็นรอยยิ้มที่ดูเหมือนจะคลุมเครือของเขา

แม่เจ้า!

เขาไม่ได้ชอบนางหรอกนะ?

ที่จริงนางก็เป็นคนที่เวลาใครเห็นก็หลงรัก เจอดอกไม้ดอกไม้ก็เบิกบานนี่หน่า !

“ยังยืนดูสิ่งใดอีก?”

เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นข้างหู จนทำให้นางตื่นตกใจ จนเรียกเก็บเรื่องที่กำลังคิดอยู่เอาไว้

“เปล่า ไม่ได้ดูอะไร ข้าเพียงแค่คิด……”

“ดีที่สุดคือห้ามคิด มิเช่นนั้นหากเจ้าตายไป ข้าคร้านที่จะเก็บศพเจ้า ฮื้ม ! ”

เย่แจ๋หยิ่งมองไปยังทิศทางที่หลานเยาเยากำลังมองไปนั่นก็คือทางที่ชายปมเขากำลังเดินจากไป แล้วเขาก็ค่อยๆหรี่ตาลง……

——

เรือแห่งความสิ้นหวังแล่นอยู่กลางทะเลเป็นเวลาทั้งวันทั้งคืน ถึงแม้เรือแห่งความสิ้นหวังจะใหญ่เทียบเท่ากับเรือที่ใช้ทำสงคราม

แต่เมื่อลอยอยู่ในทะเล มันก็เหมือนเรือเล็กลำหนึ่ง ที่ยากจะมองเห็น

หลังจากเกิดภัยธรรมชาติ ท้องทะเลก็เงียบสงบ ก็เหมือนบนเรือในตอนนี้ที่เงียบสงบจนทำให้รู้สึกไม่สุขใจ

ในยามค่ำคืน หลานเยาเยานอนลงบนเตียงในใจก็กำลังคิดถึงว่านอกจากนางและเย่แจ๋หยิ่งแล้ว ผู้คนที่อยู่บนเรือใหญ่ที่กำลังจะจมได้รับการช่วยเหลือไม่?

ทันใดนั้น !

“ฟิ้ว”

มีดอันแหลมคมด้ามหนึ่งบินพุ่งมาจากกลางอากาศ ที่พุ่งมายังประตูหน้า แต่ก่อนที่มีดนั้นจะไปปักยังประตูมันก็บินผ่านหน้านางไปโดยตรง

ดูแล้วผู้จู่โจมไม่ได้หวังจะเอาชีวิตนาง

เพียงแต่ว่า……

หลานเยาเยาหรี่ตาลง พร้อมกับแสงของความอันตรายประกายผ่านเข้ามา

เมื่อเห็นว่าบนมีดนั้นมีกระดาษติดอยู่ นางจึงหยิบขึ้นมาดู สีหน้าของนางก็มืดมนลงทันใด

โฉมงามมิรู้จักรักใคร่ สุภาพบุรุษจะเกิดอารมณ์รักได้อย่าง ?

เป็ดน้อยยังถูกจับเป็นคู่

โฉมงามมิรู้จักรักใคร่ สุภาพบุรุษจะเกิดอารมณ์รักได้อย่าง ?

เป็ดน้อยยังถูกจับเป็นคู่ พร่ำรักอยู่นานจนมิอาจหลับไหล

นี่คือ······บทกวีลามก?

ป่ายเม่ยเซิงจอมทะลึ่งนั่น คิดว่าเขาไม่ลงนามไว้แล้วนางจะไม่รู้ว่าเป็นเขางั้นรึ?

เขียนกระดาษมาแผ่นเดียวจะใช้ประโยชน์อะไรได้?

ยังไม่เท่ากับส่งของกินเข้ามา หรือไม่ส่งเงินมาก็ได้ ยังจะทำลับลับล่อล่อมาของที่กินแล้วก็ใช้จ่ายไม่ได้มาอีก

หลานเยาเยาที่โมโหฉีกกระดาษจนเป็นชิ้นๆ ก่อนจะออกจากห้องไปหาป่ายเม่ยเซิงเพื่อคุยเรื่องนี้

แต่ก่อนที่จะไปหาป่ายเม่ยเซิง นางก็ยังตั้งใจไปยังห้องของเย่แจ๋หยิ่งเสียก่อน เดิมทีที่จะไปหาเขาเพื่อจะให้เขาช่วยรวบรวมความกล้าหาญ กลับกลายเป็นว่าเขานั้นไม่ได้อยู่ในห้อง

จึงทำได้เพียงจัดการด้วยตัวเองจนมาถึงห้องพักสุดอันหรูหราในเขตดูแลของซาหมั่นเฉิง เพราะว่าตอนนี้เรือแห่งความสิ้นหวังกำลังแล่นอยู่ ป่ายเม่ยเซิงจึงไม่ต้องไปทำการต้อนรับลูกค้า

ฉะนั้น!

นางจึงไม่รู้ว่าเขาไปอยู่ที่ไหน

แล้วซาหมั่นเฉิงเองก็รู้จักกับป่ายเม่ยเซิง นางหาซาหมั่นเฉิงเจอก็เหมือนกับเจอป่ายเม่ยเซิง

และแล้ว!

ก็หาซาหมั่นเฉิงเจอ แต่ดูเหมือนเขาจะไม่ค่อยต้อนรับนางเสียเท่าไหร่

เพราะพอเห็นหน้านาง เขาก็ทำหน้าบึ้งทันที ราวกับว่านางไปติดหนี้เขาเป็นล้านตำลึงอย่างนั้น

“นี่ ตาทึ่ม ข้ากินได้อาหารของเจ้า ใส่เสื้อผ้า หรือใช้ของที่เป็นของท่านแล้วหรือไง? หรือจะให้กล่าวอีก ข้าก็เป็นเหมือนกับแขก ซึ่งแขกก็คือพระเจ้า ท่านต้องปฏิบัติดีๆกับพระเจ้าสักหน่อย แล้วจะอีกอย่างถึงแม้ข้าจะชอบกิน แต่วันนี้ไม่ได้มาให้ท่านทำอะไรให้ข้ากินหรอกนะ มืออันเลอค่าของท่าน จะให้มาทำอาหารให้ข้ามั่วซั่วได้อย่างไร! ท่านว่าถูกหรือไม่ ?