ตอนที่ 189 ไม่ใส่ใจงานหลัก

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

ตอนที่ 189 ไม่ใส่ใจงานหลัก

ภาพนี้ มีเพียงพื้นที่ตรงกลางที่มีตัวคนเป็นจุดศูนย์กลางที่เก็บรายละเอียดจนค่อนข้างเหมือนจริง ส่วนองค์ประกอบรอบข้างเพียงวาดออกมาอย่างง่ายๆ พอสังเขป

กระทั่งวาดเสร็จเรียบร้อย หานปิงจุ๊ปากพลางอุทานชื่นชม “ฝีมือยอดเยี่ยมจริงๆ!”

สาวใช้หลายคนที่แอบมองอยู่ด้านข้างพากันนึกอิจฉา ปกติก็เป็นเพียงกำแพงบุปผาที่ไม่ได้มีความพิเศษใดๆ เวลาท่านประมุขยืนอยู่ตรงนั้นก็ดูคล้ายไม่มีอะไร แต่เหตุใดพอวาดออกมาถึงได้ให้ความรู้สึกงดงามเช่นนั้นได้ ราวกับกำแพงบุปผาจะตามติดท่านประมุขไปด้วยตลอดกาล

งดงามนัก! งามเหลือเกิน! เสี่ยวหรงที่สามารถเข้าไปมองใกล้ๆ ได้ยิ่งมีแววตาตื่นตะลึง นางเองก็อยากได้ภาพแบบนี้เช่นกัน ถ้าได้ไปแขวนไว้ในห้องและเฝ้ามองทุกวันคงจะดียิ่ง แต่ด้วยราคาแสนเหรียญทองต่อหนึ่งภาพ ทำให้นางเอื้อมไม่ถึงจริงๆ

นอกจากเพียงแค่คิดๆ แล้ว นางก็ทำได้เพียงคร่ำครวญอยู่ในใจเท่านั้น ชะตาคนเราแตกต่างกัน เมื่อเทียบกับท่านประมุขแล้ว ชะตาของตนไม่ได้ดีปานนั้น

เสวี่ยลั่วเอ๋อร์ที่ถูกเชิญเข้ามาดูยืนจ้องมองอยู่หน้าภาพพักใหญ่

ผ่านไปพักหนึ่ง หานปิงเอ่ยถามอีกครั้ง “คุณหนู ภาพเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ?”

“ดี!” เสวี่ยลั่วเอ๋อร์พยักหน้าตอบอย่างเยือกเย็นอีกครั้ง

“รีบไปยกภาพขึ้นมา เก็บไว้ให้ดี!” หานปิงโบกมือสั่งสาวใช้เหล่านั้นอย่างมีความสุข

“เจ้าค่ะ!” มีสาวใช้สองคนเข้าไปจัดการอีกครั้ง

สถานที่วาดภาพแห่งต่อไปคือประตูวงเดือนแห่งหนึ่ง ด้านหลังประตูวงเดือนมีศาลาพลับพลาตั้งเรียงราย เสวี่ยลั่วเอ๋อร์ยืนอยู่ตรงประตูวงเดือนที่เป็นทรงกลม ท่าทางคล้ายจะเดินผ่านประตูวงเดือนจากฝั่งนั้นข้ามมาฝั่งนี้

เมื่อวาดเสร็จเรียบร้อย ศาลาพลับพลางามงด สวนทอดตัวลึกเข้าไป ขับเน้นให้โฉมงามนางหนึ่งที่เดินออกมาจากประตูวงเดือนยิ่งดูงดงาม

เป็นอีกสถานที่หนึ่งที่ปกติแล้วไม่เห็นมีความน่าอัศจรรย์อันใด แต่องค์ประกอบภายในภาพกลับทำให้คนต้องลอบถอนใจซ้ำแล้วซ้ำอีก หานปิงพยักหน้าพลางเอ่ยขึ้นว่า “ท่านเซวียนหยวนมีฝีมือในการเลือกภาพพื้นหลังจริงๆ”

ครั้งนี้นางรู้สึกจริงๆ แล้วว่าล้านเหรียญทองที่จ่ายไปช่างคุ้มค่ายิ่งนัก ความสามารถเป็นสิ่งที่ไม่อาจประเมินค่าได้

หนิวโหย่วเต้ากล่าวอย่างถ่อมตัว “ท่านแม่บ้านชมเกินไปแล้ว ข้าค่อยๆ ไตร่ตรองออกมา เมื่อคืนครุ่นคิดอยู่นานกว่าจะตัดสินใจได้”

สำหรับเขาแล้ว ความจริงเรื่องนี้ไม่ได้ยากลำบากอะไรเลย ถึงไม่เคยกินหมูต้องเคยเห็นหมูบ้างหรือเปล่า? เขาก็แค่นำรูปแบบจากผลงานภาพถ่ายในชาติก่อนมาใช้เท่านั้น

หานปิงเอ่ยว่า “ลำบากท่านเซวียนหยวนแล้ว”

เสวี่ยลั่วเอ๋อร์รู้สึกว่าคนในภาพต้องการทำลายพันธนาการของสวนที่ทอดตัวลึกเข้าไป คล้ายว่าอยากก้าวออกมาจากในสวนเพื่อรู้จักโลกใบใหม่ หลังจ้องมองภาพอยู่เป็นเวลานาน นางก็เอ่ยขึ้นมาว่า “เก็บให้ดี!”

หานปิงได้ฟังก็ทราบว่าคุณหนูชอบภาพนี้มาก รีบโบกมือสั่ง “รีบเก็บให้ดี!”

สถานที่ที่ใช้วาดภาพต่อไปคือศาลาแห่งหนึ่ง หนิวโหย่วเต้าให้คนจัดวางตั่งเอาไว้ตัวหนึ่ง ให้เสวี่ยลั่วเอ๋อร์นอนตะแคงอยู่บนตั่ง ขาข้างหนึ่งงอเล็กน้อย มือข้างหนึ่งเท้าศีรษะไว้ มืออีกข้างถือหนังสือเล่มหนึ่งเปิดอ่าน ด้านหลังตั่งคือหน้าต่างทรงกลมบานหนึ่ง นอกหน้าต่างมีเงาพฤกษาไหวเอน

เสวี่ยลั่วเอ๋อร์นอนตะแคงเช่นนี้ ทำให้สัดส่วนโค้งเว้าที่ในเวลาปกติไม่เคยเผยให้เห็นปรากฏออกมา ลายเส้นโค้งเว้าอันงดงามตั้งแต่ช่วงเอวจนมาถึงช่วงขาที่เรียวยาวล้วนปรากฏออกมาให้เห็นจนหมด

ถ้าเปลี่ยนเป็นเวลาปกติ หากชายใดกล้าสั่งให้เสวี่ยลั่วเอ๋อร์ทำเช่นนี้ล่ะก็ นั่นนับว่าเขาผู้นั้นกำลังดูหมิ่นประมุขหอหิมะเหมันต์อยู่ จะต้องถูกทุบตีจนตายทั้งเป็นอย่างแน่นอน

แต่ในวันนี้สตรีเหล่านี้ล้วนฟั่นเฟือนไปหมดแล้ว ตั้งแต่เบื้องบนอย่างหานปิงจนถึงระดับล่างอย่างเหล่าสาวใช้ คิดไม่ถึงว่าจะไม่มีใครนึกสงสัยเลยแม้แต่คนเดียว กลับกลายเป็นว่าหนิวโหย่วเต้าพูดอย่างไรก็ว่ากันไปตามนั้น ให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่

หนิวโหย่วเต้ายืนชี้นั่นชี้นี่อยู่หน้ากระดานวาดภาพ สั่งให้ทางนี้ยกเตามาจุดกำยาน สั่งให้ทางนั้นจัดวางตู้ใบหนึ่งไว้

ทั้งกลุ่มยุ่งง่วน หนิวโหย่วเต้ามองสตรีที่นอนตะแคงอยู่บนตั่ง แอบหัวเราะในใจ รูปร่างของผู้หญิงคนนี้ไม่เลวเลย ถ้าไม่กลัวว่าจะมีปัญหา เขาคงจะหลอกล่อนางวาดภาพเปลือยไปแล้ว ถ้าหากไม่ได้ อย่างนั้นก็ยอมถอยให้ก้าวหนึ่ง เอาแบบเสื้อผ้าหลุดวับๆ แวมๆ ก็ได้

ก็อย่างที่บอกไปก่อนหน้านี้ เมื่ออยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ สมองของผู้หญิงจะไม่สามารถครุ่นคิดถึงปัญหาตามปกติได้ เป็นประมุขหอหิมะเหมันต์แล้วยังไงเล่า?

แต่เขาไม่กล้าทำเช่นนั้นน่ะสิ อีกประเดี๋ยวหากคนกลุ่มนี้ได้สติกลับคืนมา บุรุษที่ได้เห็นประมุขหอหิมะเหมันต์ในสภาพเสื้อผ้าหลุดลุ่ยจะรอดชีวิตออกไปได้หรือ

แต่แน่นอน ยังคงมีคนที่รู้สึกว่าท่านประมุขที่อยู่ในท่านี้คล้ายจะวาบหวิวไปเสียหน่อย จึงไล่บุรุษที่ไม่เกี่ยวข้องออกไป อีกทั้งที่นี่ไม่มีพระอาทิตย์ ไม่ต้องกางร่ม ฉู่อันโหลวย่อมต้องถูกไล่ออกไปด้วย

หยวนกังที่ถูกเชิญออกไปด้วยบ่นอยู่ในใจ เต้าเหยี่ยไม่ใส่ใจงานหลักเลย!

อันที่จริงบางครั้งหยวนกังก็รับหนิวโหย่วเต้าไม่ได้เช่นกัน ปากมักจะชอบบอกว่าไม่ชอบต่อสู้ฆ่าฟัน แต่ในความเป็นจริงเรื่องต่อสู้ฆ่าฟันกลับเคยทำมาไม่น้อย ทำเรื่องต่อสู้ฆ่าฟันแต่ก็ชอบทำเรื่องที่ดูสูงส่งสง่างามด้วย เช่นคัดอักษร วาดภาพ ดีดพิณ สีซอ ร้องงิ้วอะไรทำนองนั้น ใช้คำพูดสวยหรูบอกว่าเพื่อบ่มเพาะฟูมฟักจิตใจ

แต่หยวนกังมองว่านั่นเป็นแค่การอาศัยศิลปะบังหน้าเท่านั้น ต่อให้เล่นพิณหมากตำราภาพอันใด คนอื่นเขาก็คิดว่าคุณเป็นหัวหน้ากลุ่มอันธพาลอยู่ดี!

พอวาดภาพออกมา เหล่าสาวใช้จ้องมองภาพวาดด้วยความอิจฉาอย่างยิ่ง

ด้านนอกหน้าต่างมีเงาไม้ไหวเอน โฉมงามนอนตะแคงอยู่ด้านในหน้าต่าง ในมือถือตำรา ควันกำยานลอยอ้อยอิ่ง

ท่านประมุขที่ถูกขับเน้นด้วยบรรยากาศและกลิ่นอายเหล่านั้นช่างดูสูงส่งงามสง่า อีกทั้งในความสง่างามยังแฝงไว้ด้วยความเกียจคร้านเล็กน้อย เมื่อประกอบเข้ากับบุคลิกเย็นชาของท่านประมุขแล้ว ความรู้สึกนั้นยิ่งเด่นชัด ทำให้เหล่าสาวใช้รู้สึกอิจฉาเป็นอย่างมากจริงๆ

หานปิงอดหันมองไปทางหนิวโหย่วเต้าไม่ได้ พบว่าคนผู้นี้มีความสามารถในการจัดวางองค์ประกอบโดยแท้ หรือจะเคยเห็นภาพเช่นนี้มาก่อน ไม่อย่างนั้นจะรู้ได้อย่างไรว่าจัดวางเช่นนี้แล้วจะงดงาม?

แม้แต่ตัวเสวี่ยลั่วเอ๋อร์ที่ลุกเดินเข้ามาดูภาพก็ตกตะลึงไปเล็กน้อย คิดไม่ถึงเลยว่าตนจะมีอีกด้านหนึ่งที่แตกต่างออกไปเช่นนี้ด้วย

ภาพวาดย่อมถูกนำไปเก็บไว้อีกครั้ง

พอวาดภาพนี้เสร็จก็เป็นเวลาเที่ยงตรงพอดี ด้วยเงื่อนไขเรื่องแสงแดด หากไปที่ยอดเขาด้านหลังหอหิมะเหมันต์ก็จะเป็นเวลาเหมาะพอดี นี่คือแผนที่คำนวณไว้เรียบร้อยแล้วตั้งแต่ช่วงเช้า

กลุ่มคนจากหอหิมะเหมันต์ตื่นเต้นยิ่งนัก อยากเห็นว่าจะมีภาพวาดใหม่ๆ ที่งดงามราวกับความฝันอันใดออกมาอีก

ยามที่ทั้งกลุ่มเก็บข้าวของและกำลังจะออกจากวิมานอันงามวิจิตร หนิวโหย่วเต้าให้หยวนกังรั้งอยู่ที่นี่ ไม่ให้ตามไป

หานปิงเอ่ยถาม “เหตุใดท่านเซวียนหยวนถึงไม่พาผู้ช่วยไปด้วยล่ะ?”

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เขามิใช่ผู้บำเพ็ญเพียร เดินทางขึ้นลงเขาลำบาก ตอนอยู่บนเขาก็ไม่จำเป็นต้องใช้เขาชั่วคราว ให้เขารออยู่ที่นี่แหละ”

เมื่อได้ยินเขาบอกเช่นนี้ ทุกคนก็ไม่คัดค้านอะไร เอาตามเขาว่า

เสวี่ยลั่วเอ๋อร์ได้ฟังก็หันมองหยวนกังอยู่หลายครั้ง คล้ายจะแปลกใจอยู่บ้าง คิดไม่ถึงเลยว่าหยวนกังจะมิใช่ผู้บำเพ็ญเพียร

ทว่าหยวนกังที่มองคนทั้งกลุ่มจากไปกลับรู้แจ้งแก่ใจดี เต้าเหยี่ยยังคิดจะลงมือกับผลตะวันชาดอยู่!

เหตุผลก็ไม่มีอะไรซับซ้อน เต้าเหยี่ยไม่อยากให้คนเหล่านี้สังเกตเห็นความลับที่ว่าปีศาจหิมะหวาดกลัวเขา

เดินทางไปครานี้ย่อมไม่ถูกปีศาจหิมะรบกวน เมื่อเห็นท่านประมุขขึ้นเขามาด้วยตัวเอง ผู้คุ้มกันที่อยู่บนเขาก็ไม่กล้าล่วงเกินเช่นกัน

ทั้งคณะมาถึงยอดเขาอย่างราบรื่น เสี่ยวหรงทำตามที่หนิวโหย่วเต้าเคยบอกไว้ก่อนหน้านี้ ชี้ให้หานปิงดูว่าจะใช้พื้นหลังตรงไหน

เมื่อเห็นทิวทัศน์อันกว้างใหญ่และมีการแบ่งแยกองค์ประกอบเป็นชั้นๆ อย่างชัดเจนนี้ หานปิงก็พยักหน้าพลางเอ่ยว่า “ไม่เลว เป็นทิวทัศน์ที่งดงามจริงๆ หากได้ฝีมืออันยอดเยี่ยมของท่านเซวียนหยวนรังสรรค์ขึ้นมาอีก จะต้องเป็นภาพวาดที่งดงามอย่างมากแน่”

หนิวโหย่วเต้ามองทิวทัศน์ในระยะใกล้และระยะไกลเล็กน้อย คัดเลือกตำแหน่งที่ดีที่สุดด้วยสายตา ชี้ไปทางก้อนหินสีดำก้อนหนึ่งที่โผล่พ้นหิมะขึ้นมา “ท่านประมุข เชิญนั่งบนก้อนหินก้อนนั้น หันหน้าออกไปทางหอหิมะเหมันต์ หันหลังให้ทางนี้”

หานปิงมองตำแหน่งที่วางขาตั้งกระดานวาดภาพไว้ เอ่ยถามด้วยความสงสัย “หันหลังให้ทางนี้ อย่างนั้นมิเท่ากับว่าวาดได้เพียงด้านหลังหรือ?”

หนิวโหย่วเต้าพยักหน้า “ถูกต้อง ภาพนี้จะวาดเพียงด้านหลัง”

หานปิงเอ่ยด้วยความแปลกใจ “ทิวทัศน์งดงามเช่นนี้จะวาดเพียงด้านหลังอย่างนั้นหรือ?” นางรู้สึกว่าทิวทัศน์ตรงนี้งามกว่าทุกทิวทัศน์ก่อนหน้านี้ แล้วก็สามารถสะท้อนความงามของหอหิมะเหมันต์ออกมาได้มากที่สุด

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “จะวาดเพียงด้านหลังเท่านั้น”

กลับเป็นเสวี่ยลั่วเอ๋อร์ที่เดินเข้าไปโดยไม่กล่าวอะไรเลยสักคำ ทำตามที่หนิวโหย่วเต้าบอก หานปิงรีบโบกมือสั่งให้คนเอาเบาะรองนั่งไปให้

“ท่านประมุข หันหน้าไปด้านซ้ายเล็กน้อย เผยใบหน้าด้านข้างออกมาหน่อย ใช่ เอาแบบนี้!” หนิวโหย่วเต้ากำกับท่าอยู่พักหนึ่ง หลังกำหนดท่าได้แล้ว เขาก็หยิบแท่งถ่านขึ้นมาเริ่มวาด ตั้งสมาธิจดจ่อ

คนที่อยู่ด้านข้างก็ไม่มีใครกล้ารบกวน ได้ยินเพียงเสียงลมหวีดหวิวบนยอดเขา อีกทั้งมีเสียงกระพรวนใสกังวานที่คอยไล่ปีศาจหิมะแว่วขึ้นเป็นครั้งคราว

ภาพพื้นหลังที่วาดในครั้งนี้มีขนาดใหญ่โตเป็นอย่างมาก แล้วก็เป็นภาพวาดที่ใช้เวลายาวนานที่สุดในวันนี้ ฉู่อันโหลวที่อยู่ด้านข้างกลับไม่ย่อท้อต่อความยากลำบากเลยจริงๆ ถือ ‘ร่ม’ เอาไว้ตลอด

กระทั่งหนิวโหย่วเต้าวางแท่งถ่านลงแล้ว ทว่าคนที่ยืนดูอยู่ด้านข้างกลับยังเรียกสติกลับมาไม่ได้

“ท่านประมุข เรียบร้อยแล้วขอรับ” หนิวโหย่วเต้าร้องเรียก

เสวี่ยลั่วเอ๋อร์ลุกขึ้นเดินเข้ามา มาหยุดตรงหน้ากระดานวาดภาพ ทันทีที่ได้เห็นม่านตาพลันหดตัว ยากจะละสายตาไปได้

ภูเขาหิมะที่อยู่ไกลออกไปทอดตัวสูงต่ำ ทุ่งหิมะกว้างใหญ่ แม่น้ำที่ไหลเชี่ยวผ่านหุบเขา แล้วก็ยังมีเงาร่างผู้คนและคูหาร้านรวงที่ปรากฏให้เห็นรางๆ ด้วย ด้านล่างภูเขาคือตำหนักวิมานที่เร้นกายอยู่ท่ามกลางป่าเขียวขจี งามวิจิตรและละเอียดประณีตเหมือนจริง ทว่าแผ่นหลังอันอ้อนแอ้นอรชรของสตรีผู้หนึ่งที่อยู่ในภาพวาดกลับเป็นจุดรวมสายตาของภาพทั้งผืน

แผ่นหลังชดช้อย อาภรณ์ปลิวไสวตามสายลม นั่งเดียวดายอยู่เพียงลำพัง ทำให้จุดศูนย์กลางและความงามของภาพทั้งผืนมารวมอยู่ที่ตัวนาง ฟ้าดินกว้างใหญ่ไพศาลและงดงามบริสุทธิ์ แต่กลับมีเพียงสตรีอ่อนแอบอบบางที่มองไม่เห็นใบหน้า เห็นแค่เพียงแผ่นหลัง ไม่มีผู้ใดทราบว่าบนใบหน้าของสตรีนางนี้กำลังแสดงสีหน้าอย่างไร และกำลังคิดอะไรอยู่

หนึ่งกว้างไกลไร้ขอบเขต หนึ่งบอบบางเดียวดาย ขับเน้นเสริมส่งกัน อารมณ์ของภาพที่สื่อออกมา งดงามจนทำให้ใจคนต้องละลาย

เวลานี้หานปิงไม่รู้สึกว่าภาพด้านหลังจะมีอะไรไม่ดีเหมือนอย่างก่อนหน้านี้แล้ว เมื่อได้เห็นภาพนี้ หากคนในภาพเผยใบหน้าออกมามากกว่านี้ล่ะก็ ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็รู้สึกว่ามากเกินไป

เสวี่ยลั่วเอ๋อร์ยื่นมือออกไป ปลายนิ้วแตะลงบนภาพวาดอย่างแผ่วเบา เอ่ยเบาๆ ว่า “แม่บ้าน นำภาพนี้ไปเก็บให้ดี”

“เอ่อ เจ้าค่ะ ได้เจ้าค่ะ” หานปิงที่ได้สติกลับมาโบกมือสั่งการ “เก็บให้ดี รีบเอาไปเก็บให้ดี!”

หลังจากวาดภาพที่นี่เสร็จ พวกเขาก็ไม่ได้ไปยังสถานที่อื่นที่อยู่รอบนอกหอหิมะเหมันต์อีก หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า ภาพหิมะด้านนอกมีแค่ที่นี่ก็พอแล้ว ที่อื่นต่อให้วาดอย่างไรก็ไม่อาจสู้ที่นี่ได้ หากวาดอีกจะดูซ้ำซ้อนเกินไป

ทุกคนได้ฟังก็เชื่อตามนั้น

ทั้งคณะเดินทางกลับมายังวิมานอันงดงาม มาที่สวนดอกไม้ หนิวโหย่วเต้าให้เสวี่ยลั่วเอ๋อร์ยืนอยู่ข้างพุ่มบุปผาที่บานสะพรั่งพุ่มหนึ่ง เด็ดบุปผาช่อหนึ่งให้เสวี่ยลั่วเอ๋อร์ถือไว้ในมือ ให้นางถือช่อดอกไม้จ่อไว้ตรงจมูกพร้อมก้มหน้านิดๆ ทำท่าคล้ายกำลังสูดดมช่อดอกไม้

รอบนี้หนิวโหย่วเต้าเลือกเป็นฉากระยะใกล้ วางกระดานวาดภาพไว้ใกล้เสวี่ยลั่วเอ๋อร์ เริ่มจากวาดวงรีขนาดใหญ่เอาไว้กลางกระดาษวาดภาพ จากนั้นค่อยวาดภาพขึ้นในวงรี

เนื่องจากเลือกใช้องค์ประกอบในระยะใกล้ ร่างของเสวี่ยลั่วเอ๋อร์จึงกินพื้นที่ส่วนใหญ่ภายในวงรีเอาไว้ พื้นที่ทั้งวงรีแทบจะเตรียมไว้สำหรับนางคนเดียว พุ่มบุปผาที่อยู่ด้านข้างเหมือนมีไว้เพื่อกลบพื้นที่ว่าง

พอวาดออกมาแล้ว ดูแตกต่างจากภาพก่อนๆ อย่างสิ้นเชิง ภาพมีขนาดเล็กทว่างดงาม มีเพียงเรื่องเดียวที่อยากถามคือบุปผาหอมกว่าหรือว่าคนงามกว่ากันแน่ คนที่อยู่ในภาพแฝงไว้ด้วยความงามเหมือนดั่งบทกวี

จากนั้นก็วาดต่อไปภาพแล้วภาพเล่า ให้เสวี่ยลั่วเอ๋อร์ยืนอยู่ตรงชายคาบนหลังคา ทำท่าประหนึ่งอยากเหาะเหินล่องลมไป ต่อมาก็ให้เสวี่ยลั่วเอ๋อร์นั่งบนม้านั่งยาวภายในศาลาริมน้ำ พิงเสากอดเข่าไว้

หลังจากวาดเสร็จไปแปดภาพ เสวี่ยลั่วเอ๋อร์ก็ไม่ให้วาดต่อแล้ว หากแต่สั่งให้วาดหานปิงภาพหนึ่ง

หานปิงปฏิเสธไม่ได้ ในใจก็ปรารถนาอยู่เช่นกัน ได้แต่กล่าวขอบคุณว่า “บ่าวชราได้พึ่งพาบารมีคุณหนูเสียแล้ว”

ที่เสวี่ยลั่วเอ๋อร์ไม่วาดต่อนั้นมีสาเหตุอยู่ นางรู้สึกเบื่อกับการจัดท่าทางหรือเปล่าไม่รู้ แต่ที่แน่ๆ คือนางอยากเห็นกับตาว่าหนิวโหย่วเต้าวาดภาพอย่างไร นางยืนอยู่ข้างกระดานวาดภาพ เฝ้ามองด้วยตาตนเองว่าภาพวาดหนึ่งภาพก่อตัวขึ้นมาได้อย่างไร

เห็นได้ชัดว่าเสวี่ยลั่วเอ๋อร์ก็มองออกเช่นกันว่ากลุ่มสาวใช้ในที่นี้ก็มีความหวังว่าจะได้ปรากฏตัวอยู่ในภาพวาดเช่นเดียวกัน สิทธิ์สำหรับภาพสุดท้ายถูกยกให้กลุ่มสาวใช้ ให้พวกนางได้อยู่ในภาพเดียวกัน

เหล่าสาวใช้ตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง ยืนเรียงกันบนขั้นบันไดนอกศาลา แบ่งชั้นลดหลั่นกันไป ฉู่อันโหลวก็เข้าร่วมด้วย เขาเป็นบุรุษเพียงหนึ่งเดียว ใบหน้าของทุกคนถูกวาดลงไปบนกระดาษทีละคนๆ

หลังจากความตื่นเต้นผ่านพ้นไป เหล่าสาวใช้ก็ลำบากใจขึ้นมา คนตั้งเยอะตั้งแยะ ภาพวาดมีเพียงภาพเดียว จะยกภาพให้ผู้ใดกันล่ะ?

แต่นี่มิใช่เรื่องที่หนิวโหย่วเต้าต้องมานั่งกลัดกลุ้มใจ เดิมทีเขาคิดว่าคงจะจบเรื่องแล้ว แต่ผู้ใดจะทราบว่าเสวี่ยลั่วเอ๋อร์ที่อยู่ด้านข้างกลับร่ายกลอนบทหนึ่งออกมาเนิบๆ ว่า “ลองได้เยือนสมุทรไซร้ นทีใดมิเทียบทาน หากได้ยลเขาอูซาน เมฆาครามล้วนหมองมัว แม้นยืนกลางบุปผชาติ ก็ยังคร้านจะเหลียวดู หนึ่งเพราะใจมุ่งสู่ อีกหนึ่งเพราะคะนึงนาง!”

……………………………………………………………..