ตอนที่ 152 ปกป้องด้วยชีวิต

สตรีแกร่งตระกูลไป๋

ตอนที่ 152 ปกป้องด้วยชีวิต
ไป๋จิ่นถงรู้ว่าเรื่องนี้คือฝีมือของพี่หญิงใหญ่ นางยกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบโดยไม่เอ่ยสิ่งใดออกมาทั้งสิ้น

“ถูกปล้น? ฮาๆ…ขนาดสวรรค์ยังทนดูไม่ได้เลย” ไป๋จิ่นจื้อหัวเราะออกมาอย่างสมน้ำหน้า ลุกขึ้นยืนถาม

“บาดเจ็บทั้งร่าง พิการด้วยหรือไม่!”

เจี่ยงหมัวมัวที่อยู่ด้านหลังฉากกั้นถูกไป๋จิ่นจื้อถามจนไม่รู้จะร้องไห้หรือหัวเราะออกมาดี

“เรือนหน้ามารายงานเพียงเท่านี้เจ้าค่ะ บ่าวยังไม่ได้ไปดูด้วยตัวเอง”

ไป๋ชิงเหยียนก้มหน้าลงพลางแสยะยิ้มเย็น กล่าวอย่างไม่รีบร้อน

“พวกเราเป็นเพียงสตรีตระกูลไป๋ ตอนที่ยังมีตำแหน่งเจิ้นกั๋วอยู่ เมื่อเผชิญหน้ากับตระกูลบรรพบุรุษจากซั่วหยางยังรักษาทรัพย์สมบัติของตระกูลไป๋ไว้ไม่ได้เลย บัดนี้ไม่มีตำแหน่งแล้ว เด็กกำพร้าและหญิงหม้ายอย่างพวกเราจะช่วยเหลือตระกูลบรรพบุรุษได้อย่างไรกัน อีกอย่างข้าเคยเตือนท่านลุงต่อหน้าดวงวิญญาณของท่านปู่แล้ว ว่าพวกเขานำเงินสี่แสนห้าหมื่นตำลึงกลับไปที่ซั่วหยางเช่นนั้นอาจเกิดอันตรายได้ ให้เขารอให้เสร็จพิธีศพก่อนแล้ว จะส่งคนคุ้มครองพวกเขากลับไป แต่พวกเขาดึงดันอยากจะกลับไปเอง! บัดนี้กลับมาโวยวายว่าโดนปล้น เขาไม่ไปฟ้องร้องกับจวนว่าการท้องถิ่นแต่กลับมาฟ้องที่จวนเจิ้นกั๋วกงเช่นนี้ เขาต้องการสินเดิมของท่านแม่และท่านอาสะใภ้ของข้าหรืออย่างไรกัน!”

หลิวซื่อที่ปกติเป็นคนอารมณ์ร้อนอยู่แล้วใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตา กล่าวออกมาอย่างโมโห “อาเป่ากล่าวถูกต้องแล้ว ไม่ไปฟ้องจวนว่าการท้องถิ่น มาหาพวกเราจะมีประโยชน์อันใดกัน ตอนนี้พวกเราไม่มียศถาบรรดาศักดิ์แล้ว ตระกูลที่มีแต่หญิงหม้ายกับเด็กกำพร้าจะไปช่วยเหลือพวกเขาได้อย่างไรกัน! ตอนที่เขารับเงินไป อาเป่ามิได้เตือนพวกเขาหรือ! หรือว่าตระกูลบรรพบุรุษไป๋จากซั่วหยางต้องการแย่งสินเดิมของพวกเราจนหมด บีบบังคับพวกเราจนตายถึงจะพอใจหรืออย่างไร ให้เขาไสหัวไป!”

ต่งซื่อกล่าวขึ้นอย่างไม่รีบร้อน “คำนวณดูจากเวลาแล้ว ข้าคิดว่าญาติผู้พี่คงไปที่จวนว่าการท้องถิ่นมาแล้วเจ้าค่ะ ที่มาจวนเราตอนนี้คงเพราะอยากอาศัยบารมีองค์หญิงใหญ่ของท่านแม่ กดดันให้ขุนนางท้องถิ่นหาเงินมาคืนพวกเขาโดยเร็วเจ้าค่ะ”

องค์หญิงใหญ่ก็ไม่พอใจตระกูลบรรพบุรุษไป๋จากซั่วหยางเช่นเดียวกัน! ตระกูลบรรพบุรุษไป๋คิดว่าองค์หญิงใหญ่คือคนที่พวกเขาจะเรียกใช้อย่างไรเมื่อใดก็ได้อย่างนั้นหรือ!

แววตาขององค์หญิงใหญ่ขรึมลงทันที เอนกายพิงหมอนด้วยท่าทีผ่อนคลาย กล่าวออกมาเสียงเรียบ

“ข้าแก่แล้ว วันที่สิบห้าก็จะไปบำเพ็ญเพียร สงบจิตใจที่วัดแล้ว นอกจากเรื่องของคนในจวนเจิ้นกั๋วกงที่ข้ายังพอดูแลได้บ้างแล้ว ข้าไม่มีเวลา และเรี่ยวแรงมาสนใจเรื่องอื่นๆ ไม่สำคัญเช่นนี้หรอก”

องค์หญิงใหญ่ต้องการสื่อกับไป๋ฉีอวิ๋นว่า นางไม่อยากยุ่งเรื่องของตระกูลบรรพบุรุษไป๋ แต่ถ้าหากพัวพันกับหลานสาวของนาง นางจะไม่มีทางอยู่เฉยแน่นอน นี่คือการเตือนตระกูลบรรพบุรุษไป๋ว่าอย่าได้ถือโอกาสตอนอยู่ซั่วหยางรังแกหลานสาว และลูกสะใภ้ของนางเด็ดขาด

“เรื่องกิจการของตระกูลไป๋…” ไป๋ชิงเหยียนหันไปทางต่งซื่อ “เซียวเซียนเซิงเป็นคนมีเมตตา ไม่เคยส่งคนมาเร่งตรวจสอบบัญชีกับทางจวนเรา แต่เราไม่อาจนิ่งนอนใจเพียงเพราะความเมตตาของเซียวเซียนเซิงนะเจ้าคะ ในเมื่อเสร็จสิ้นพิธีศพของตระกูลไป๋แล้ว ท่านแม่ส่งผู้ดูแลไปนัดวันตรวจสอบบัญชีกับจวนเซียวเถิดเจ้าค่ะ!”

“อาเป่ากล่าวถูกแล้ว ลูกสะใภ้ใหญ่จัดการเรื่องนี้ให้จบโดยเร็วดีกว่า” องค์หญิงใหญ่กล่าว

ต่งซื่อลุกขึ้นยืนทำความเคารพองค์หญิงใหญ่ “ท่านแม่ ข้าขอตัวไปจัดการเรื่องนี้ก่อน แล้วจะไปจัดการเรื่องที่พักให้ญาติผู้พี่เจ้าค่ะ”

“ลำบากเจ้าแล้ว!” องค์หญิงใหญ่กล่าวกับต่งซื่ออย่างจริงใจ

เมื่อต่งซื่อจากไปแล้ว องค์หญิงใหญ่บอกให้ไป๋ชิงเหยียนอยู่ต่อ ส่วนคนที่เหลือกลับไปพักผ่อน วุ่นวายกันมานานแล้ว ตอนนี้ทุกคนคงเหนื่อยล้าเป็นที่สุด

ไป๋จิ่นซิ่วเดินกอดแขนหลิวซื่อออกมาจากเรือนฉางโซ่ว เดินกลับไปที่เรือนพร้อมมารดา เมื่อเห็นบรรดาสาวใช้เดินห่างไปไกลแล้ว ไป๋จิ่นซิ่วจึงเอ่ยกับมารดาด้วยเสียงแผ่วเบา

“ท่านแม่ไม่ต้องกังวลเรื่องที่ข้าต้องอยู่ที่เมืองหลวงคนเดียวหรอกเจ้าค่ะ ท่านย่าก็อยู่ที่นี่! อีกอย่างจงหย่งโหวเสียชีวิตไปแล้ว เจี่ยงซื่อโดนสั่งไม่ให้กลับมาที่จวนอีกตลอดชีวิต ข้าไม่มีทางโดนรังแกอีกแล้วเจ้าค่ะ!”

หลิวซื่อจับมือบุตรสาวพลางน้ำตาคลอ

“แต่ว่าฉินหล่างไม่มีตำแหน่งซื่อจื่อแล้ว! เจ้า..เจ้าอยู่ตัวคนเดียว แม่วางใจไม่ได้จริงๆ!”

“ท่านแม่…” ไป๋จิ่นซิ่วดวงตาแดงก่ำ กุมมือมารดาแน่น “หากท่านแม่ทำเพื่อข้าก็ต้องกลับไปซั่วหยางกับท่านป้าสะใภ้ใหญ่เจ้าค่ะ ท่านแม่ใจร้อนวู่วาม ต้องเชื่อฟังท่านป้าสะใภ้ใหญ่ให้มากนะเจ้าคะ ท่านป้าสะใภ้ใหญ่จัดการเรื่องทุกอย่างได้อย่างเด็ดขาด อีกทั้งยังเข้าข้างคนของเรา ต้องดูแลท่านแม่ได้เป็นอย่างดีแน่นอนเจ้าค่ะ ท่านแม่…อดทนรอวันข้างหน้านะเจ้าคะ จิ่นซิ่วจะรอต้อนรับท่านแม่ ท่านป้าสะใภ้และท่านอาสะใภ้กลับมาเมืองหลวงอีกครั้งเจ้าค่ะ”

“จิ่นซิ่ว เจ้าหมายความว่าอย่างไร…เหตุใดแม่ถึงฟังไม่ค่อยเข้าใจนัก” หลิวซื่อมีสีหน้างุนงง แต่ใจกลับเริ่มเป็นกังวลขึ้นมาทันที “เจ้า…เจ้าจะทำเรื่องเสี่ยงอันตรายอันใดใช่หรือไม่”

“ท่านแม่ คนที่เสี่ยงอันตรายไม่ใช่ข้าแต่เป็นพี่หญิงใหญ่ต่างหากเจ้าค่ะ!” ไป๋จิ่นซิ่วกุมมือมารดาของตัวเองแน่น ฝีเท้าที่ก้าวแต่ละก้าวเต็มไปด้วยความมั่นคงหนักแน่น

“พี่หญิงใหญ่จะเดินทางไปหนานเจียงเจ้าค่ะ! อีกเดี๋ยวท่านแม่ก็ต้องทราบเรื่องนี้อยู่ดี ดังนั้นวันนี้ข้าเลยบอกให้ท่านแม่ทราบล่วงหน้าก่อน ท่านแม่อย่าเพิ่งแพร่งพรายออกไปนะเจ้าคะ”

“ว่าอย่างไรนะ!” หลิวซื่อใจกระตุกวูบ

ไป๋จิ่นซิ่วกล่าวเสียงแผ่วเบา “พี่หญิงใหญ่คือแม่ทัพที่ท่านปู่เคยกล่าวชม! ฮ่องเต้ทรงมีพระประสงค์ให้พี่หญิงใหญ่ไปจัดการเรื่องวุ่นวายที่หนานเจียงเจ้าค่ะ พี่หญิงใหญ่ตอบตกลงไปแล้ว! อีกอย่างเพื่อที่จะให้ฮ่องเต้ทรงพระราชทานรางวัลให้ข้า พี่หญิงใหญ่ใช้จวินกงจากการไปหนานเจียงในครั้งนี้แลกกับการที่ฮ่องเต้พระราชทานแต่งตั้งให้ข้าเป็นฮูหยินเก้ามิ่งขั้นสูงสุดเจ้าค่ะ!”

ฝีเท้าของหลิวซื่อชะงักลงในทันที ดวงตาที่แดงก่ำของนางเบิกโพลง ตะลึงงันไปครู่หนึ่งจากนั้นจึงส่ายหน้า “ไม่ได้! จะปล่อยให้พี่หญิงใหญ่ของเจ้าไปไม่ได้! พี่หญิงใหญ่ของเจ้าไม่ได้มีวิทยายุทธ์ดังเช่นเมื่อก่อนอีกแล้ว นางไม่ใช่เสี่ยวไป๋ไซว่ที่สามารถใช้ดาบฟันศีรษะของแม่ทัพฝ่ายศัตรูได้อีกแล้ว! ที่สำคัญหนานเจียงมีแต่กองกำลังทหารที่เสียหาย หากพี่หญิงใหญ่ของเจ้าไปแล้ว…ไม่ได้กลับมาอีกเล่า เจ้าจะรับตำแหน่งฮูหยินเก้ามิ่งขั้นสูงสุดนี้อย่างสบายใจได้อย่างไร แม่จะมองหน้าท่านป้าสะใภ้ใหญ่ของเจ้าได้อย่างไร! ไม่ได้…ไม่ได้เด็ดขาด!”

เสี่ยวไป๋ไซว่…เป็นสมญานามที่ทหารทุกคนในกองทัพไป๋ใช้เรียกขานไป๋ชิงเหยียนหลังจากที่ไป๋ชิงเหยียนตัดศีรษะของผางผิงกั๋วแม่ทัพใหญ่แห่งแคว้นสู่ได้ในปีนั้น

“ท่านแม่!” ไป๋จิ่นซิ่วกุมมือหลิวซื่อแน่นจนนิ้วมือเริ่มขาวซีด “เราขัดราชโองการของฮ่องเต้มิได้เจ้าค่ะ อีกอย่างการไปหนานเจียงเพื่อแก้แค้นให้ท่านปู่ บรรดาท่านลุงและน้องชายคือความปรารถนาของพี่หญิงใหญ่เอง! แม้พี่หญิงใหญ่จะไร้ซึ่งวิทยายุทธ์แล้ว ทว่า นางเก่งเรื่องการวางแผนมากกว่าผู้ใด ข้าเชื่อใจพี่หญิงใหญ่ ท่านแม่ก็ควรจะเชื่อในตัวพี่หญิงใหญ่เช่นกันเจ้าค่ะ!”

หลิวซื่อทั้งเป็นกังวลทั้งเจ็บปวดใจ ก่อนไป๋ชิงเหยียนไปหนานเจียงยังมีแก่ใจทูลขอให้ฮ่องเต้ทรงแต่งตั้งไป๋จิ่นซิ่วเป็นฮูหยินเก้ามิ่งขั้นสูงสุด นางใส่ใจถึงความยากลำบาก และอนาคตภายภาคหน้าของไป๋จิ่นซิ่วหากต้องอยู่ที่เมืองหลวงจริงๆ

“ท่านแม่ หากท่านไม่สบายใจ…ก็เฝ้าขอพรอยู่ที่จวน ขอให้ดวงวิญญาณของวีรบุรุษตระกูลไป๋ปกป้องให้พี่หญิงใหญ่กลับมาอย่างปลอดภัยเถิดเจ้าค่ะ! ที่หนานเจียงเต็มไปด้วยอันตรายแต่พี่หญิงใหญ่ก็ยังไม่ลืมปกป้องข้า ชีวิตหลังย้ายกลับไปอยู่ที่ซั่วหยางคงไม่สงบสุขสักเท่าใด ท่านแม่ต้องปกป้องท่านป้าสะใภ้ใหญ่ให้ดีนะเจ้าคะ!”

ไป๋จิ่นซิ่วรู้จักมารดาของตัวเองดี แม้ท่านป้าสะใภ้ใหญ่จะแข็งแกร่งจนไม่ต้องการการปกป้องจากหลิวซื่อ ทว่า นางต้องหาเรื่องให้ท่านแม่ทำนางจะได้ไม่ฟุ้งซ่าน

ภายในเรือนฉางโซ่ว

ไป๋ชิงเหยียนนั่งอยู่ข้างๆ องค์หญิงใหญ่ มองดูเว่ยจงที่ก้มศีรษะคำนับนางอยู่

เปลวไฟที่อยู่ในตะเกียงแก้วใสลุกวาวอยู่ตลอดเวลา

เว่ยจงคุกเข่าอยู่กลางห้อง ก้มหน้าลงไม่กล้าเงยหน้าสบตาองค์หญิงใหญ่และไป๋ชิงเหยียน

องค์หญิงใหญ่ผ่านร้อนผ่านหนาวจนแก่ชราภาพมากแล้ว ผมสีเงินถูกหวีอย่างเป็นระเบียบ นางกำลูกประคำไว้ในมือ ใบหน้าดูอ่อนโยนมีเมตตา ทว่า ดวงตากลับแฝงไปด้วยไอสังหารที่เด็ดเดี่ยว

“การเดินไปทางหนานเจียงของคุณหนูใหญ่ในครั้งนี้ เจ้าต้องคุ้มครองคุณหนูใหญ่ให้กลับมาอย่างปลอดภัย ห้ามมีเรื่องผิดพลาดเกิดขึ้นเด็ดขาด ข้ามอบป้ายหยกมังกรสีดำครึ่งแผ่นให้คุณหนูใหญ่แล้ว ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป เจ้าไม่มีอันใดเกี่ยวข้องกับหญิงแก่อย่างข้าอีก คุณหนูใหญ่คือเจ้านายของพวกเจ้า พวกเจ้าต้องปกป้องนางด้วยชีวิต!”