บทที่ 207 ความลับ เสี่ยวเป่าไม่บอกหรอก

เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช

บทที่ 207 ความลับ เสี่ยวเป่าไม่บอกหรอก

บทที่ 207 ความลับ เสี่ยวเป่าไม่บอกหรอก

“โฮ่ง ๆ!!!”

ขณะที่เสี่ยวเป่ากำลังนำทุกคนเก็บองุ่นอย่างกระตือรือร้น อยู่ ๆ สุนัขล่าเนื้อสองตัวก็เริ่มเห่าอย่างบ้าคลั่งไม่หยุด ทำให้นายพรานที่รู้จักพวกมันเป็นอย่างดีมีทีท่าจริงจังขึ้นมา

“มีบางอย่างกำลังมาทางนี้”

เสียงของนายพรานเงียบลง เสี่ยวเป่าที่ไม่ทันรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นถูกอุ้มขึ้นต้นไม้ใหญ่ทันที

“องค์หญิงประทับอยู่บนต้นไม้ก่อน อย่าส่งเสียงอันใดนะพ่ะย่ะค่ะ”

พูดจบคนผู้นั้นก็คว้าธนูขึ้นมาง้างอยู่ในท่าเตรียมพร้อม

คนอื่น ๆ ก็ตอบสนองด้วยความรวดเร็วเช่นกัน แค่พริบตาเดียวต้นไม้ที่เสี่ยวเป่าหลบอยู่ด้านบนก็ถูกคุ้มกันอย่างแน่นหนา

เมื่อนายพรานเห็นเหตุการณ์ตรงหน้า รูม่านตาก็พลันหดเล็กลง เขาเคยเป็นทหารมาก่อน พอได้เห็นความสามารถในการตอบสนองและอาวุธในมือก็รู้ได้โดยทันทีว่า คนพวกนี้ต้องไม่ใช่องครักษ์ที่ขุนนางทั่วไปสามารถมีไว้ในครอบครองอย่างแน่นอน

ที่นาผืนนั้นเป็นของผู้ใดกันแน่?

ไม่มีเวลาให้ทันคิด พื้นดินเริ่มสั่นสะเทือนเบา ๆ อยู่ใต้ฝ่าเท้า ในที่สุด พวกเขาก็เห็นสิ่งที่สุนัขสองตัวส่งสัญญาณเตือน

มันคือฝูงของหมูป่า ทั้งยังเป็นฝูงหมูป่าที่ไม่เล็กเลย

หมูป่าตัวเต็มวัยห้าตัว ตัวที่ใหญ่ที่สุดน่าจะหนักประมาณสองร้อยจิน สี่ตัวที่เหลือไม่ได้มีขนาดเล็กไปกว่ากันนัก มิหนำซ้ำยังมีลูกหมูป่าตัวน้อย ๆ อีกเจ็ดตัว

ตัวใหญ่เช่นนี้ มิน่าเล่าเวลาเคลื่อนที่ พื้นดินถึงได้สั่นไหว

นายพรานสูดลมหายใจเข้าอย่างตื่นกลัว หากว่าเขาเข้ามาในป่าคนเดียวแล้วเจอเข้ากับพวกมัน เกรงว่าคงต้องทิ้งชีวิตไว้ที่นี่เป็นแน่

“เตรียมพร้อม”

ฝูงหมูป่าที่อยู่อีกด้านก็มองเห็นพวกเขาเช่นกัน

หมูป่าเป็นสัตว์ที่ทั้งอารมณ์ร้ายและไม่เชื่อง โดยเฉพาะเวลาที่พวกมันคิดว่าฝูงของตัวเองมีขนาดใหญ่กว่าและไร้คู่ต่อสู้ หากมันเห็นอะไรก็จะพุ่งเข้าโจมตีทันที ทั้งยังมีนิสัยขี้หงุดหงิดเป็นพิเศษด้วย

พอหมูป่าเห็นพวกเขาก็รวมฝูงแล้วพุ่งเข้าใส่โดยไม่คิดทันที

“ยิง!”

เมื่อเผชิญหน้ากับฝูงหมูป่า หัวหน้าองครักษ์ก็ออกคำสั่งด้วยสีหน้าสงบนิ่ง พวกเขาผ่านการฝึกฝนมาเป็นเวลานาน ฝีมือในการยิงธนูเป็นเลิศ ยิ่งไปกว่านั้นหมูป่ามีรูปร่างใหญ่โต เพียงไม่กี่อึดใจหมูป่าตัวเต็มวัยหลายตัวก็ถูกศรยิงเข้าเป้าอย่างจัง

ยามอาทิตย์อัสดง เสียงร้องทุรนทุรายของหมูป่าดังขึ้นในผืนป่าอันเงียบงัน ทำเอาพวกนกตกใจจนบินหนีกระเจิง

เนื้อของหมูป่าหยาบกระด้างทั้งยังหนามาก ลูกศรคมกริบที่ปักลงบนร่างพวกมันเพียงทำให้พวกมันเจ็บปวดแต่ไม่ถึงตาย มีแต่จะทำให้พวกมันดุร้ายยิ่งกว่าเดิม

ไม่มีประโยชน์ที่จะยิงธนูในระยะประชิด นายพรานชักมีดพร้าออกมา เขาเหลือบมองอาวุธในมือของคนอื่น ๆ พลางหลั่งน้ำตาแห่งความอิจฉา

ไม่เว้นแม้แต่เจ้าสุนัขล่าเนื้อสองตัวที่พุ่งเข้าไปต่อสู้กับหมูป่า หมูป่าที่กำลังคลั่งนั้นแรงเยอะไม่เบา พวกเขาเองก็ใช้พละกำลังและเวลาไปมากกว่าจะล้มหมูป่าตัวเต็มวัยทั้งห้าตัวลงได้ และจับลูกหมูป่าที่เหลือไว้ได้สี่ตัว เจ้าสุนัขล่าเนื้อจับกลับมาอีกสอง ส่วนอีกตัววิ่งหนีหายเข้าไปในป่า

“องค์หญิง พวกเรารีบลงจากเขาเถิดพ่ะย่ะค่ะ กลิ่นเลือดคาวคลุ้งพวกนี้อาจดึงดูดสัตว์ป่าตัวอื่นเข้ามาอีก”

เสี่ยวเป่าพยักหน้าอย่างว่าง่าย “ได้”

เหล่าองครักษ์ต่างถอนหายใจอย่างโล่งอก

องค์หญิงนิสัยดีมากทั้งยังกล้าหาญ ไม่ก่อเรื่องไปทั่ว ทำให้พวกเขาไม่ต้องคอยห่วงหน้าพะวงหลัง

นางรออยู่บนต้นไม้อย่างเชื่อฟัง ไม่ส่งเสียงร้องขณะที่เหตุการณ์เบื้องล่างดำเนินไปตั้งแต่ต้นจนจบ หากเป็นคุณหนูสูงศักดิ์ร่างกายบอบบางพวกนั้น เรื่องคงจะไม่ง่ายดังเช่นในตอนนี้แน่

“เตรียมตัวลงจากเขา”

นายพรานที่บังเอิญได้ยินบทสนทนาเพราะยืนอยู่ไม่ห่างตกตะลึงจนอ้าปากค้าง นิ้วมือสั่นเทา

อะอะอะ…องค์หญิง องค์หญิงหรือ!!!

ระหว่างทางที่ลงจากเขา ใจเขาก็ไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ไม่แม้แต่จะห้ามปรามสุนัขของตนที่วิ่งไปหาเสี่ยวเป่าพลางคลอเคลียออดอ้อน

“องค์หญิง นางเป็นองค์หญิงหรือ”

องครักษ์มองเขาอย่างไม่ชอบใจพลางกระทุ้งศอกใส่ ถึงอย่างไรก็ยังมีมิตรภาพที่ช่วยกันฆ่าหมูป่า อีกทั้งรู้ว่าเขาเคยเป็นทหารมาก่อนจึงรู้สึกสนิทใจขึ้นมาบ้าง

“ข้าว่าเจ้าอาการหนักนะ ป่านนี้แล้วยังไม่ยอมรับอีกหรือ?”

นายพราน “จะให้ข้ารับไหวได้อย่างไร หากว่านางเป็นองค์หญิง เช่นนั้น…เช่นนั้นที่นานั่นก็เป็นของ…”

ฮ่องเต้ ของฮ่องเต้งั้นหรือ!

ผืนนาแถบนั้นอยู่ไม่ไกลจากหมู่บ้านของพวกเขา หากมาคิดดูดี ๆ แล้วไม่แน่ว่าเขาอาจจะเคยพบฮ่องเต้เมื่อใดก็ได้!

“หึ ๆ…เจ้าเดาถูกแล้ว”

นายพรานตื่นเต้นจนบังคับตัวเองไม่อยู่ นั่นคือฮ่องเต้เชียวนะ นับประสาอันใดกับชาวบ้านธรรมดาอย่างพวกเขา ต่อให้เป็นขุนนางก็มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่จะได้เข้าเฝ้าฝ่าบาท

คิดไม่ถึงเลยว่านาผืนนั้นจะเป็นทรัพย์สินส่วนพระองค์ พวกเขาไม่รู้มาก่อนเลย!

“องค์หญิงพระชนมายุยังน้อยเสด็จมาวิ่งเล่นบนเขาเช่นนี้จะไม่เป็นอันตรายหรือ?” สมกับเป็นพระธิดาของฮ่องเต้ ช่างแตกต่างจากคนทั่วไปนัก!

ตอนที่เจอกับฝูงหมูป่าเมื่อครู่ก็ยังไม่ร้องสักแอะ เก่งกล้าสามารถอย่างยิ่ง!

“เจ้าอย่าได้มองว่าองค์หญิงเป็นแค่เด็กเชียว ของที่นางเก็บมาล้วนมีประโยชน์ทั้งนั้น เจ้ารู้เรื่องที่ผลผลิตในนาหลวงเพิ่มขึ้นใช่หรือไม่? นั่นน่ะเป็นผลงานขององค์หญิงทั้งสิ้น แล้วก็เรื่องเลี้ยงปลาในนาข้าวด้วย เรื่องนี้ได้ยินว่าองค์ชายใหญ่ก็ได้แนวทางมาจากองค์หญิงเช่นกัน”

นายพรานฟังด้วยความเพลิดเพลิน ขณะมองดูเด็กน้อยที่วิ่งอยู่เบื้องหน้า ดวงตาก็ปรากฏแววอัศจรรย์ใจ

ไม่เสียแรงที่เป็นพระธิดาของฝ่าบาทจริง ๆ!

เสี่ยวเป่าไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังมีคนเลื่อมใสศรัทธาในตัวเอง นางวิ่งเล่นจนเหนื่อยหอบเหงื่อท่วมไปทั้งตัว เมื่อเห็นพี่ใหญ่กำลังรอนางอยู่ในนาหลวงก็กระโดดโลดเต้นเข้าไปหาทันที

“พี่ใหญ่ เสี่ยวเป่ากลับมาแล้ว”

หนานกงฉีซิวเช็ดเหงื่อที่ผุดเต็มหน้าผากเสี่ยวเป่า “เสื้อผ้าชุ่มเหงื่อไปหมดแล้ว ระวังจะไม่สบาย ไปเปลี่ยนชุดก่อนเถิด”

เสี่ยวเป่าส่งเสียงอืมเป็นการตอบรับ “เสี่ยวเป่ามีเรื่องจะเล่าให้พี่ใหญ่ฟังเยอะแยะเลยเพคะ”

“ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน พี่ใหญ่จะรอเจ้ามาเล่าให้ฟังนะ”

“ได้เลยเพคะ!”

เมื่อเสี่ยวเป่าไปแล้ว หนานกงฉีซิวก็มองผลไม้ที่นำกลับมาจากบนเขาพลางเขี่ยปลายจมูกของตนไปมา ผลไม้มากมายเช่นนี้จะเอาไปเก็บไว้ส่วนไหนของวัง?

เสี่ยวเป่าอาบน้ำล้างตัว ผลัดเปลี่ยนชุดแล้วก็พลันสดชื่นขึ้น จากนั้นนางก็วิ่งไปหาพี่ใหญ่เพราะทนรอไม่ไหว

“พี่ใหญ่ดูสิ ลูกพลับเยอะแยะเลย เสี่ยวเป่าจะเอา…”

พูดไม่ทันจบ จู่ ๆ นางก็คิดอะไรขึ้นมาได้จึงหุบปากลง

หนานกงฉีซิว “หืม?”

ไหนว่ามีเรื่องจะเล่าให้ฟังเยอะแยะ? เหตุใดถึงไม่พูดเล่า?

เสี่ยวเป่าขยิบตา เกือบหลุดปากเสียแล้ว หากบอกเรื่องหมักสุราก็ไม่ตื่นเต้นน่ะสิ!

“ความลับ เสี่ยวเป่าไม่บอกหรอก”

หนานกงฉีซิวมองนางด้วยสีหน้าขบขัน ใช้นิ้วดีดหน้าผากเจ้าตัวเล็กเบา ๆ

“มีความลับกับพี่ใหญ่ด้วยหรือ?”

เสี่ยวเป่ากอดอกทั้งยังบิดตัวไปมา “สรุปก็คือ พี่ใหญ่รออีกไม่นานก็จะรู้เพคะ”

“ก็ได้ เช่นนั้นพี่ใหญ่จะไม่ถามแล้ว”

ไม่บอกเรื่องหมักสุรา แต่ว่าเรื่องอื่นยังเล่าได้อยู่

เช่นเรื่องหมูป่า เจ้าตัวน้อยเล่าเรื่องที่พวกตนเจอกับฝูงหมูป่าด้วยท่าทางตื่นเต้นเป็นอย่างมาก อย่างไรก็จะกินเจ้าหมูป่าตัวเต็มวัยห้าตัวนั้นให้ได้ หนานกงฉีซิวฟังจนจบก็เอ่ยถามนางว่าจะจัดการเช่นไร

เสี่ยวเป่า “เหมือนว่าท่านพ่อจะไม่ชอบกินเนื้อหมูป่า”

หนานกงฉีซิว “เนื้อหมูมีกลิ่นเหม็นสาบ กลิ่นหมูป่ายิ่งแย่กว่า ไม่เพียงเสด็จพ่อไม่ชอบ พวกพี่เองก็ไม่ชอบเหมือนกัน หากว่าเสี่ยวเป่าอยากกินก็นำกลับไปบางส่วนแล้วให้ห้องเครื่องจัดการให้”

เนื้อหมูมีกลิ่นสาบรุนแรง แม้จะเป็นห้องเครื่องก็ยังต้องใช้กรรมวิธีเฉพาะและวัตถุดิบบางชนิดจึงจะกำจัดกลิ่นนั้นออกไปได้ แต่ว่าคนทั่วไปเอื้อมไม่ถึงวัตถุดิบเหล่านี้