ตอนที่ 286 ดวงชะตามีอะไรน่าทำนายกัน

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 286 ดวงชะตามีอะไรน่าทำนายกัน

ไม่ว่าฉินหลิวซีตั้งใจแกล้งเล่นตัวให้ดูมีค่า หรือเห็นแก่ค่าน้ำมันตะเกียงก็ตาม หลังจากตอบรับคำเชิญที่จริงใจของตระกูลเซียว นางก็เร่งให้รีบออกเดินทางอย่างกระตือรือร้น ทำเอาเซียวจั่นรุ่ยสับสนไปหมด

“ท่านอาจารย์ไม่ต้องจัดสัมภาระหรือ”

ฉินหลิวซีส่ายหน้า “ไม่ต้องหรอก เรื่องเล็กน้อย รีบไปรีบกลับ”

เซียวจั่นรุ่ยอ้าปากค้าง สงสัยว่าเหตุใดจึงรู้สึกเหมือนว่านางเตรียมพร้อมที่จะออกเดินทางเมื่อใดก็ได้ไว้นานแล้ว

แต่เพื่อหลีกเลี่ยงความไม่แน่นอนของท่านอาจารย์ผู้นี้ เวลายิ่งยาวนานอุปสรรคก็ยิ่งมีมาก เซียวจั่นรุ่ยก็ไม่ใช่คนชอบหาเรื่อง จึงได้พาฉินหลิวซีกับภรรยาและคนอื่นๆ มุ่งหน้าไปยังหนิงโจว

เพียงแต่ตอนขามา เขากับภรรยานั่งรถม้ามาหนึ่งคัน ตอนนี้มีฉินหลิวซีเพิ่มมาอีกหนึ่งคน จึงให้อีกฝ่ายกับภรรยานั่งรถม้าคันเดียวกัน แม้ว่าจะไม่ค่อยสะดวก แต่ไม่ใช่เรื่องง่ายกว่าจะเชิญอีกฝ่ายมาได้ จะให้ขี่ม้าไปก็อย่างไรอยู่

เซียวจั่นรุ่ยก็ไม่กล้าเอ่ยปากเสนอเช่นนี้

“เรื่องนี้ไม่ยาก พวกเจ้าออกเดินทางไป ข้าจะขี่ม้ากลับเมืองก่อน จากนั้นค่อยจัดเตรียมรถม้าหนึ่งคันตามพวกเจ้าไป เมื่อถึงเวลาตอนที่ท่านอาจารย์กลับมาก็ค่อยกลับมาพร้อมกับท่านอาจารย์” อวี๋ชิวไฉเอ่ยพลางมองไปที่ฉินหลิวซี “ส่วนคนขับรถ ได้หาคนผู้หนึ่งจากกองทัพมาให้ท่าน เขามีวรยุทธ์อยู่บ้าง หากมีเรื่องอะไรจะได้ปกป้องท่านได้”

ฉินหลิวซีเลิกคิ้วพลางเอ่ย “ขับรถไปให้ข้า จะไม่เป็นการสิ้นเปลืองความสามารถของเขาหรือ”

“ใช้งานได้ดีก็พอแล้ว เช่นนั้นก็เอาตามนี้ ข้าขอตัวออกเดินทางก่อน” อวี๋ชิวไฉไม่ได้สนใจว่าฉินหลิวซีจะตกลงหรือไม่ หลังจากยกมือคารวะแล้วก็ออกจากประตูเขา แล้วควบม้าออกไป

เมื่อเซียวจั่นรุ่ยเห็นว่าท่านอากระทำการอย่างรวดเร็วและเด็ดขาดจึงไม่ทันได้เอ่ยอะไร เพียงแต่เอ่ยว่า “เช่นนั้นก็รบกวนท่านอาจารย์นั่งเบียดไปกับพวกเราสองสามีภรรยาไปก่อนได้หรือไม่”

ฉินหลิวซีเอ่ย “ย่อมได้”

นางเองก็ไม่ได้เกรงใจแล้ว เชิญให้เฉิงซื่อขึ้นรถก่อน จากนั้นตัวเองก็กระโดดขึ้นไปนั่งขัดสมาธิอยู่ที่ข้างประตูรถดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ

นางขี่ม้าได้ แต่ในเมื่อรถม้าของอวี๋ชิวไฉกำลังไล่ตามมา ขบวนเดินทางนี้จึงไม่เร็วมาก ก็แค่นั่งเบียดกันสักหน่อย อีกอย่างตอนนี้อากาศก็เริ่มหนาวแล้ว หากขี่ม้าต้องโต้ลมเย็น นางเองก็ไม่ได้โง่

รถม้าตระกูลเซียวนั้นกว้างขวางมาก สามีภรรยาคู่นี้เตรียมพร้อมสำหรับการเดินทางเต็มที่ เฉิงซื่อทำหน้าที่เป็นสาวใช้ นั่งคุกเข่าในรถม้าต้มน้ำชงชา แล้วหยิบของว่างและผลไม้มาจัดวางบนโต๊ะเล็กๆ ให้แก่พวกเขา

“พวกเจ้าพึ่งมาถึงเมื่อวาน วันนี้ก็ต้องรีบออกเดินทาง ไม่ได้หยุดพัก เกรงว่าจะเหนื่อยแล้ว” ฉินหลิวซีเห็นว่าทั้งสองคนใต้ตาดำคล้ำ เอ่ย “เมื่อถึงศาลาสือหลี่ที่อยู่ด้านหน้าก็จอดพักสักหน่อย รอจนกว่ารถม้าที่ใต้เท้าอวี๋ส่งมาจะไล่ตามมาถึง”

เซียวจั่นรุ่ยยิ้มพลางยกมือขึ้นประสาน เอ่ยตอบ “เดินทางติดต่อกันแน่นอนว่าเหนื่อย แต่ยังพอทนได้ สามารถเชิญอาจารย์มาได้นับว่าเป็นโชคดีของพวกเรา ท่านอาอวี๋กับท่านพ่อรู้จักกันมาหลายปี ข้ารู้ว่าเขามีระเบียบในการทำสิ่งต่างๆ คาดว่ารถม้าจะตามมาทันในไม่ช้า คงจะได้พักเพียงเวลาสั้นๆ ไว้รอรถม้าของท่านอาตามทันแล้วค่อยจอดพักที่จุดพักม้า ตอนนี้พวกเรางีบบนรถไปก่อนเถิด”

ฉินหลิวซีได้ฟังดังนั้นก็ไม่ได้บังคับอะไร

อย่างไรเสียคนที่เหนื่อยก็ไม่ใช่นาง

เซียวจั่นรุ่ยยกชาขึ้นมาจิบ เหลือบมองฉินหลิวซี เอ่ย “ข้าเห็นว่าท่านอาจารย์อายุยังน้อย เข้าสู่ลัทธิเต๋าตั้งแต่เด็กเลยหรือ เช่นนั้นก็เคยเรียนศิลปะห้าแขนงของเสวียนเหมินแล้วใช่หรือไม่ขอรับ”

“ทำไมหรือ หรือไม่เชื่อในความสามารถของข้า อยากจะทดสอบหรือ” ฉินหลิวซีเอ่ยเชิงหยอกล้อ

เซียวจั่นรุ่ยรีบเอ่ยว่า “มิกล้า มิกล้า ข้าเพียงแค่ประหลาดใจ”

“ข้าเข้าร่วมลัทธิเต๋าตอนอายุห้าขวบ”

“เช่นนั้นอายุของท่านตอนนี้คือ”

“เข้าร่วมลัทธิเต๋ามาสิบปีแล้ว” ฉินหลิวซีลดสายตาลง มองดูน้ำชาในถ้วยที่สั่นไหวไปตามการเคลื่อนไหวของรถม้า รู้สึกสับสนเล็กน้อยอยู่ครู่หนึ่ง

แม้ว่าจะเข้าลัทธิเต๋ามาแล้วสิบปี แต่นางมักจะรู้สึกว่านางเข้าใจสิ่งเหล่านี้มานานมากแล้ว นานจนนางไม่รู้ว่าเริ่มเข้าใจสิ่งเหล่านี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ และมีความเป็นมาอย่างไร

“ท่านอาจารย์ ท่านอาจารย์” เมื่อเซียวจั่นรุ่ยเห็นว่าอีกฝ่ายเหม่อลอย จึงอดยื่นมือไปโบกตรงหน้าไม่ได้

ฉินหลิวซีได้สติกลับคืนมา เมื่อเงยหน้าขึ้น ยังคงเหลือความสับสนในดวงตาทั้งคู่

เซียวจั่นรุ่ยตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง สายตาที่ดูสับสนนี้กับอายุของอีกฝ่าย เห็นได้ชัดว่ายังเด็กมากนัก

เฉิงซื่อขมวดคิ้ว ยกกาน้ำชาขึ้นมารินให้ฉินหลิวซี “ท่านอาจารย์ จิบชาร้อนๆ ก่อนเจ้าค่ะ”

ฉินหลิวซีวางมือไว้บนโต๊ะเล็ก แตะไว้ที่ถ้วยชาเบาๆ หลังจากนั้นเมื่อมองไปที่เซียวจั่นรุ่ย สายตาของนางก็ชัดเจนขึ้นมา เอ่ย “คุณชายเซียวถามละเอียดเช่นนี้ หรือว่าอยากจะให้ข้าทำนายดวงชะตาให้”

“เพียงแค่ถามไปเรื่อยเท่านั้น” เซียวจั่นรุ่ยเลียริมฝีปาก คิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนถามว่า “ท่านอาจารย์ทำนายให้ผู้คนด้วยหรือขอรับ”

“เจ้าอยากดูหรือ”

เซียวจั่นรุ่ยอยากจะลองอยู่เล็กน้อย หากว่าได้ เขาก็อยากจะให้ทำนายอนาคตของเขาหลังจากนี้

ฉินหลิวซียิ้มเล็กน้อย “จริงๆ แล้วดวงชะตามีอะไรน่าทำนายกัน บางสิ่งบางอย่างเมื่อเจ้ารู้แล้ว หากเป็นสิ่งไม่ดีเจ้าก็จะเก็บเอาไปคิด เดาไปต่างๆ นานา ตื่นตระหนกว่ามันจะมาหรือไม่มา และจะมาเมื่อไหร่ เป็นกังวลจนสูญเสียความเป็นตัวเอง”

“หากเป็นสิ่งที่ดี เมื่อเจ้ารู้ก็อาจจะเย่อหยิ่งจนทำให้สิ่งที่อยู่ในมือสูญเปล่าไปหรือไม่ อาจเกิดเปลี่ยนความตั้งใจแรก สำหรับบางคนเมื่อเปลี่ยนความตั้งใจแรกก็ไม่ใช่ความคิดเช่นเดิมแล้ว ทิศทางการเดินก็แตกต่าง เช่นนี้เจ้ายังจะดูดวงอยู่หรือไม่”

เซียวจั่นรุ่ยนิ่งไป

“บางครั้งสิ่งที่ไม่รู้ก็ไม่น่ากลัว ในทางกลับกันการที่ไม่รู้จึงจะสามารถเปลี่ยนแปลงได้ จะดีหรือไม่ดี จะเปลี่ยนไปเป็นอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับใจตัวเอง คุณชายเซียว การทำนายดวงชะตาไม่ใช่เรื่องไม่ดี แต่ทำนายแล้ว ถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้น แล้วจะทำนายทำไม”

เซียวจั่นรุ่ยหัวเราะ ยกมือประสานพลางเอ่ย “เป็นข้าที่คิดไม่รอบคอบ”

ฉินหลิวซีเพียงแต่ยิ้มไม่ได้เอ่ยอะไร หยิบถ้วยชาขึ้นมาจิบ จากนั้นก็หลับตาพักผ่อน

หลังจากรถเคลื่อนที่ไปได้สักพัก ฉินหลิวซีก็ลืมตาขึ้นพลางเอ่ย “รอที่ศาลาด้านหน้าเถิด”

เซียวจั่นรุ่ยรู้สึกประหลาดใจ แต่ก็ยังสั่งให้คนขับรถม้าหยุด

“นี่คือศาลาสือหลี่ พักที่นี่ก่อนสักหน่อย รอให้รถม้าอีกคันมาถึงค่อยไป” ฉินหลิวซีกระโดดลงจากรถม้าก่อน

เซียวจั่นรุ่ยไม่สามารถให้อีกฝ่ายรออยู่คนเดียวตามลำพังได้จึงลงจากรถม้าด้วย ส่วนเฉิงซื่อก็ถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก ให้คนขับรถขับรถม้าออกไปอีกสักหน่อย นางอยากจะทำธุระเล็กน้อย

เมื่อรถหยุดก็เรียกสาวใช้มาปรนนิบัติ หยิบอ่างเล็กๆ สีแดงดอกเหมยที่มีพื้นสีดำออกมา ด้านนอกมีฝาปิด ด้านในมีเศษขี้เถ้า

สตรีไปไหนมาไหนข้างนอกไม่ค่อยสะดวก ตระกูลที่มีสถานะเช่นพวกเขา ก็ต้องเตรียมถังทำธุระง่ายๆ เช่นนี้ไว้สักถัง

ขณะที่เฉิงซื่อกำลังทำธุระก็นึกถึงคำพูดของฉินหลิวซี การเดินทางครั้งนี้ไม่ได้วางแผนไว้ว่าจะพักที่ศาลา แต่อีกฝ่ายกลับเอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง อีกอย่างก่อนที่อีกฝ่ายจะลงจากรถก็ได้เหลือบมามองอย่างไม่ได้ตั้งใจ ใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างอดไม่ได้

ท่านอาจารย์ปู้ฉิวท่านนี้คงไม่ได้รู้ว่าตัวเองปวดเบา จึงได้ตั้งใจเรียกให้หยุดรถพักผ่อนหรอกกระมัง

ใส่ใจเกินไปแล้ว

ฉินหลิวซีกำลังนั่งอยู่ในศาลา ยังไม่ทันครบชั่วเวลาจิบชาหนึ่งถ้วยก็เห็นฝุ่นทรายตลบอบอวลมาจากทางในเมืองพร้อมกับเสียงกีบม้า

เซียวจั่นรุ่ยส่งสายตาให้องครักษ์ มีคนควบม้าไปดูข้างหน้า จากนั้นไม่นานเขาก็รีบกลับมา สีหน้าดูกังวลเป็นอย่างมาก กระซิบรายงานอยู่ข้างหูเขาอยู่สองสามประโยค

เซียวจั่นรุ่ยดีดตัวลุกขึ้นยืน เอ่ย “อะไรนะ นายท่านน้อยผู้นั้นมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”

เขารีบเดินออกจากศาลา ลืมฉินหลิวซีไปโดยสิ้นเชิง

ฉินหลิวซีหรี่ตาลงครึ่งหนึ่ง สายตามองไป เลิกคิ้วเล็กน้อย จำองครักษ์ผู้นั้นที่นำอยู่ข้างหน้าได้

ช่างบังเอิญจริงๆ