บทที่ 203 วิชาสะกดจิต

พลิกชะตาหมอยา

พลิกชะตาหมอยา เฟิ่งชิงหัว บทที่ 203 วิชาสะกดจิต
เมื่อได้ยินหนานกงจี๋บรรยายถึงคนที่เสียชีวิตแบบนั้น แววตาของเฟิ่งชิงหัวก็เต็มไปด้วยความตะลึงงัน แต่ยังคงไม่แสดงอารมณ์ใดๆ ออกมาทางสีหน้า แล้วเอ่ยต่อไปว่า “ทำไมถึงทำหาย”

ตามหลักแล้ว ศพเหล่านั้นไม่มีทางที่จะเคลื่อนไหวได้อย่างมนุษย์ เว้นเสียแต่ว่ามีคนมาเคลื่อนย้าย ไม่อย่างนั้นแล้วไม่มีทางที่จะเคลื่อนไหวเองได้

แต่บริเวณโดยรอบ นางไม่เห็นรถเข็นรวมทั้งร่องรอยของการลากแต่อย่างใด

หนานกงจี๋ไม่ได้สงสัยแต่อย่างใด เขาเพียงคิดว่าใต้เท้าหนุ่มคนนี้ไม่แน่ชัดในสถานการณ์ เมื่อได้ยินเขาถามเช่นนี้ก็อธิบายโดยละเอียด “ใต้เท้า คืออย่างนี้ขอรับ ทางฝ่ายพวกเราจะต้องส่งตัวนำยาไปที่ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ในทุกๆ เดือน และจะใช้คาถาปลุกผีเพื่อให้พวกเขาลุกขึ้นเคลื่อนไหวไปข้างหน้า แต่ตอนนี้ผู้ส่งสารคนนั้นไม่รู้ว่าไปอยู่ที่ไหน แม้แต่ตัวนำยาพวกนั้นก็สูญหายไประหว่างทาง เรื่องนี้หากทางการสืบได้จะต้องเป็นเรื่องวุ่นวายอย่างแน่นอน”

คาถาปลุกผีเป็นคาถาที่เผ่าเซียนเปย์ใช้เล่นดนตรีในเวลาเซ่นไหว้ คนที่รู้ภาษาของชาวเผ่าเซียนเปย์นั้นในตอนแรกมีน้อยมาก แรงงานอ่อนแอ ดังนั้นหัวหน้าพิธีของพวกเขาในยุคแรกจึงตั้งใจศึกษาคาถาปลุกผีนี้ขึ้นมาโดยเฉพาะ และนำมาใช้เฉพาะกับคนตาย เพื่อให้พวกเขาเคลื่อนที่ได้เอง

เฟิ่งชิงหัวเคยอ่านเจอจากในหนังสือเท่านั้น คาถาที่นำไปใส่ทำนองในการควบคุมนั้นมีอยู่ แต่การนำมาใช้กับคนตายนั้น มีหลักการอย่างไรนางเองก็ยังไม่แน่ใจนัก

เฟิ่งชิงหัวไม่กล้าถามละเอียดเกินไปนัก นางจึงถามคำถามเรื่องอื่นๆ อีกเล็กน้อย จากนั้นจึงวางแผนใช้โอกาสนี้หนีไป แต่เนื่องจากหนานกงจี๋ให้ความเคารพต่อปี่ซ่ามาก จึงต้องไปส่งด้วยตนเอง เมื่อไปส่งถึงประตูแล้วถึงจะปลีกตัวออกมาได้

เฟิ่งชิงหัวกลับไปที่ห้องและเห็นว่าปี่ซ่ายังคงนอนอยู่บนเตียงเช่นเดิม นางครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ก่อนจะเกิดความคิดบางอย่างขึ้นมา

นางเอามือตบไหล่หนุ่มน้อยและปลุกเขาให้ตื่น และในช่วงเวลาที่เขาลืมตาขึ้นมานั้นเอง เฟิ่งชิงหัวก็ยื่นจี้ไปจ่ออยู่ตรงหน้าเขา

สายตาของชายหนุ่มจ้องเขม็งมาที่จี้นั้นอย่างไม่ยอมเบนสายตายไปไหน

เฟิ่งชิงหัวส่ายไปมาเบาๆ พลางกล่าวด้วยจังหวะเชื่องช้าและล้ำลึกว่า “ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปปี่ซ่า เจ้าคือคนของข้า เจ้าต้องยอมแพ้แก่ข้าเท่านั้น ต้องฟังคำสั่งข้า ทำตามที่ข้าสั่งการ หลังจากที่ข้านับถึงหนึ่งแล้ว คำสั่งการจะเริ่มต้นขึ้นทันที”

“ขอรับ” ปี่ซ่ากล่าวอย่างเบาๆ

เฟิ่งชิงหัวยังคงส่ายจี้ที่อยู่ในมือ และค่อยๆ เริ่มนับเลข “สาม สอง หนึ่ง!”

สิ้นเสียงนับ นางก็รับเก็บจี้ไปอย่างรวดเร็ว

ปี่ซ่าเดินลงมาจากเตียง และมาคุกเข่าอยู่ตรงหน้าเฟิ่งชิงหัวอย่างเคารพนบนอบ พลางเอามือขวาของตนมาวางไว้ที่หัวใจและกล่าวอย่างหนักแน่นว่า “เจ้านายของข้า”

เฟิ่งชิงหัวฝืนรับการทำความเคารพของเขาอย่างเก้ๆ กังๆ ก่อนจะตบไหล่ของปี่ซ่า “ตอนกลับให้ทำสัญลักษณ์ตามทางที่เจ้าเดินไปด้วย ข้าจะไปตามหาเจ้า”

“ขอรับ เจ้านาย” ปี่ซ่ากล่าวอย่างนอบน้อม

“อืม ไปนอนเถอะ” เฟิ่งชิงหัวเอ่ย

ปี่ซ่าลุกขึ้นยืนแล้วเดินตัวแข็งทื่อไปที่เตียง เขานอนลงแล้วหลับตา จากนั้นหลับไหลไปอย่างรวดเร็ว

ตอนนั้นเฟิ่งชิงหัวถึงจะผ่อนคลายไหล่ที่ตึงแน่นของตนเอง แล้วเช็ดเหงื่อที่ซึมออกมาจากทางหน้าผาก

การใช้วิชาสะกดจิตต้องสุญเสียพลังงานไปมาก โดยเฉพาะการต้องการควบคุมคนๆ หนึ่งเป็นเวลานานเช่นนี้ ก็ยิ่งต้องสูญเสียพลังงานมากยิ่งกว่า แต่เพื่อต้องการที่จะรู้ความจริงว่าเผ่าเซียนเปย์ทำอะไรอยู่เบื้องหลังกันแน่นั้น การยอมแลกครั้งนี้นับว่าคุ้มค่า

หลังจากที่เฟิ่งชิงหัวเดินออกมาจากห้องของปี่ซ่าแล้ว นางก็ตั้งใจว่าจะลองสำรวจหมู่บ้านนี้อย่างละเอียด ผลสุดท้ายนางกลับโดนองครักษ์ที่ซุ่มแอบอยู่พบตัวเข้าและตามพวกมาสมทบ

เฟิ่งชิงหัวแอบก่นด่าในใจ พลางปล่อยผ้าไหมขาวออกมาจากมือแล้วสะบัดคนผู้นั้นกระเด็นไปกองอยู่บนพื้น

สวนที่เดิมทีไร้ผู้คนรอบด้าน ตอนนี้ไม่รู้ว่าองครักษ์โผล่ออกมาจากตรงไหนแล้ววิ่งทะยานมุ่งหน้าเข้ามาหานาง

เฟิ่งชิงหัวใช้ผ้าไหมสะบัดคนพวกนั้นหลุดกระเด็นอย่างรวดเร็ว จากนั้นกระโดดขึ้นไปบนกำแพงแล้ววิ่งไปเอาม้าที่ซ่อนไว้ห้อตะบึงไปอย่างไม่เห็นฝุ่น

ทว่าผู้ที่ไล่กวดตามมาก็ไม่ยอมหยุดยั้ง เฟิ่งชิงหัวยกแส้สะบัดขึ้นสูงทำเอาโคลนบนดินกระจายไปรอบทิศ

คนกลุ่มนั้นยิงธนูเข้าใส่นาง หากเฟิ่งชิงหัวไม่เชี่ยวชาญในวิชาม้า ป่านนี้นางคงถูกยิงเป็นรูพรุนไปแล้ว

ใครจะคิดว่าหนานกงจี๋แห่งจวนเฉิงเซี่ยงที่ว่าราชการด้วยความระมัดระวังตัวมาตลอดและชอบประจบสอพลอ จะซ่องสุมกำลังพลเอาไว้มากมายในหมู่บ้านเล็กๆ เช่นนี้

เฟิ่งชิงหัวบังคับม้าขึ้นไปด้านบน คนที่ตามหลังมาก็ห้อตะบึงตามมาติดๆ

ยิ่งเข้าสู่ยามราตรี หมอกที่เกิดขึ้นหลังฝนหยุดก็ยิ่งรวมตัวกันเข้มข้นมากขึ้น

ตอนนี้ห่าธนูด้านหลังหยุดชะงัก ทว่าเสียงเกือกม้ากลับยิ่งดังถี่กระชั้น หัวใจของเฟิ่งชิงหัวตกลงมาอยู่ที่ตาตุ่ม

ตอนนี้วรยุทธ์ของนางยังไม่ฟื้นฟูกลับมาเต็มที่ หากพลาดท่าตกไปอยู่ในมือของหนานกงจี๋เกรงว่าคงยากที่จะรักษาชีวิตเอาไว้ได้

เมื่อเฟิ่งชิงหัวคิดได้ดังนี้แล้วก็กัดฟันแน่น แล้วมุ่งหน้าไปทางยอดเขา

ทางด้านตีนเขา หนานกงจี๋ตามมาติดๆ จากนั้นจึงมองไปยังเทือกเขาที่มืดสลัวจนไม่เห็นรูปร่าง ก่อนจะกล่าวเสียงเข้มว่า “จับตัวได้แล้วหรือยัง”

“ยังขอรับ”

“แล้วรู้หรือยังว่าใครทำร้ายใต้เท้า”

“เป็นสาวงามคนหนึ่งที่จัดหามาให้ใต้เท้าคืนนี้ขอรับ”

“เลี้ยงเปลืองข้าวสุก! ในเมื่อสืบประวัติของพวกนางไม่แน่ชัด ผู้หญิงกลุ่มนี้ก็ฆ่าปิดปากพวกนางไปให้หมดอย่าให้เหลือ เจ้ากลับไปจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อย!”

“ขอรับ”

“ที่นี่คือยอดเขาเหลียนฮวาทั้งสามด้านล้วนเป็นหน้าผา มีทางเพียงเส้นเดียวเท่านั้น นางไม่มีทางหนีพ้น จับเป็นนางมาให้ได้แล้วเอามาทรมานให้หนัก ดูซิว่าใครเป็นคนที่ส่งตัวนางมา!” หนานกงจี๋กล่าวเสียงเครียด

หากเป็นคู่แค้นของเขาที่ต้องการหาจุดอ่อนของเขาก็ไม่เป็นไร แต่หากมาด้วยเรื่องอื่น เช่นนั้นฐานะของเขาที่เทียนหลิงเกรงว่าจะต้องถูกเปิดเผย