ตอนที่ 143 เขาโกรธแล้ว
หนานหนานและลวี่ฝูถึงกับชะงักฝีเท้าพร้อมกัน เงยหน้ามองก็พบว่ามีเด็ก 3-4 คนกำลังยืนอยู่ด้านในลาน ทั้งยังสวมใส่ด้วยเสื้อผ้าหรูหราแสดงท่าทีหยิ่งผยอง
หนึ่งในนั้นถึงกับปัดตำราที่อยู่ในมือของเย่หลานเฉิง ก่อนจะใช้เท้ากระทืบตำราที่อยู่บนพื้นแรง ๆ ตำราเล่มนั้นถูกเหยียบจนสกปรก กระทั่งฉีกขาดจึงหยุดลง อีกฝ่ายเชิดคางขึ้นพูดด้วยน้ำเสียงเหยียดหยาม “เจ้าดูตำราเหล่านี้จะไปมีประโยชน์อะไร? ต่อให้อ่านมากกว่านี้ก็เป็นขยะไร้ประโยชน์อยู่ดี”
เย่หลานเฉิงเงยหน้าขึ้น สายตาเรียบเฉย อารมณ์ดูนิ่งสงบ
เขาเพียงแค่เหลือบมองคนสามคนที่ยืนขวางอยู่ตรงหน้า ก้มตัวลงหยิบตำราขึ้นมา ปัดฝุ่นแล้ววางลงบนโต๊ะหินที่อยู่ตรงหน้า
หนานหนานเม้มปากด้วยท่าทางขุ่นเคืองเป็นอย่างมาก “เจ้าคนพวกนี้เป็นใครกัน เหตุใดถึงได้รังแกเสี่ยวเฉิงเฉิงเช่นนี้”
“พวกเขาคือบุตรชายขององค์ชายสาม องค์ชายสี่และองค์ชายหก” คิ้วของลวี่ฝูขมวดเป็นปมเล็กน้อย ได้ยินมาว่าฮ่องเต้เสด็จมาที่เรือนหลังเล็กที่มุมตะวันตกเฉียงเหนือของวัง ทั้งยังส่งคนมาหลายคนเพื่อดูแลโดยเฉพาะ นางก็ทราบดีว่าวันนี้ต้องมีคนมาหาถึงที่นี่ เพื่อสร้างปัญหาให้เย่หลานเฉิง
รัชทายาทคือพระราชโอรสของไทเฮา แม้ว่าชื่อเสียงของไทเฮาจะอยู่สูงจนไม่มีผู้ใดกล้าทำอะไรเขา เพียงแต่ยังฉลาดไม่มากพอทั้งยังแอบซื่อบื้อด้วย ตอนที่ไทเฮามีอำนาจ รัชทายาทก็มีช่วงเวลาที่รุ่งโรจน์เช่นกัน มีไทเฮาคอยหนุนหลัง แม้ว่าจะถูกคนอื่น ๆ วางแผนใส่ร้าย แต่เขาก็ยังเป็นรัชทายาทผู้มีหน้ามีตา
เย่หลานเฉิง ย่อมเป็นคนที่เหล่าซื่อจื่อทั้งหลายอิจฉาริษยา
ทว่าเกียรติเช่นนี้กลับดับจนหมดสิ้นเมื่อสองปีก่อน ไม่มีการสนับสนุนจากฮองเฮา ไม่ได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้ ทุกคนจึงไม่เห็นรัชทายาทอยู่ในสายตาอีกต่อไป ต่อให้เจอหน้าและทำความเคารพให้ แต่ก็ยังทำตัวเย่อหยิ่งไม่ได้คิดจะก้มหัวให้ องค์ชายที่มีอำนาจบางพระองค์ถึงขั้นไม่แม้แต่จะมองเขา ต่อให้เจอหน้า ก็หมุนกายกลับไปแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น
โชคดีที่สองปีมานี้รัชทายาทเก็บตัวอย่างปลอดภัย ข้างกายของเขายังมีไท่จื่อเฟย[1] ที่พอจะมีความเฉลียวฉลาดอยู่ ทั้งคู่จึงเก็บตัวอยู่ในตำหนัก หากไม่มีเรื่องอะไรก็จะไม่ก้าวเท้าออกมา และไม่คิดจะสร้างปัญหาให้ใครก่อน ทว่าถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ สถานะของรัชทายาทก็ยังคงอยู่ ยังคงเป็นหนามยอกอกของคนอื่น
อย่างน้อย ๆ เย่หลานเฉิงที่อยู่ในวัง ก็ไม่ได้มีชีวิตที่ดี
เพียงแต่คิดไม่ถึงเลยว่า ครอบครัวของรัชทายาทที่สูญเสียความโปรดปราน จู่ ๆ กลับได้รับความสนใจจากฮ่องเต้ องค์ชายเหล่านั้นได้ยินการเคลื่อนไหวเช่นนี้ จะไม่เกิดความร้อนใจได้อย่างไรกัน?
ซื่อจื่อเหล่านี้ คาดว่าคงได้รับคำสั่งจากท่านพ่อของพวกเขา จึงเข้าวังมาเพื่อลองหยั่งเชิง
หนานหนานเอียงศีรษะ รู้สึกประหลาดใจอย่างมาก “บุตรชายขององค์ชายทั้งสามคนเหล่านั้น สถานะสูงกว่ารัชทายาทอีกหรือ? เหตุใดถึงได้กล้ามารังแกเสี่ยวเฉิงเฉิง?”
“หนานหนาน เรื่องในนี้มีความซับซ้อน ไม่ใช่สิ่งที่จะอธิบายให้เข้าใจได้ภายในระยะเวลาสั้น ๆ” ลวี่ฝูแอบลอบถอนหายใจ สถานะขององค์ชายทั้งสามย่อมสู้รัชทายาทไม่ได้ ทว่าหมู่เฟยของพวกเขากลับเป็นคนที่มีอำนาจภายในวัง กอปรกับความแข็งแกร่งของญาติพี่น้อง ความเย่อหยิ่งย่อมสูงขึ้น
ลวี่ฝูหันมองซ้ายขวา ค้นพบว่านางข้าหลวงและขันทีที่ถูกส่งมาดูแลที่นี่ ถูกคนของซื่อจื่อเหล่านี้จับตัวและขวางไว้แล้ว จึงไม่สามารถสะบัดตัวให้หลุดออกมาได้
นางเป็นคนต่ำต้อย คำพูดย่อมไม่มีน้ำหนัก และไม่กล้าออกตัวเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้เฉิงซื่อจื่อ ถึงเวลานั้นหากสร้างความขุ่นเคืองให้เหล่าองค์ชาย อาจนำความโชคร้ายมาให้ไทเฮาด้วย
เพียงแต่ หากไม่ไปช่วยเหลือเฉิงซื่อจื่อ นางก็ทำใจไม่ได้เช่นกัน
เมื่อครุ่นคิดดูแล้ว ลวี่ฝูจึงตัดสินใจกลับไปหาไทเฮาเพื่อตัดสินอย่างเป็นธรรม เรื่องนี้จะว่าเรื่องเล็กก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ก็ไม่เชิง ซื่อจื่อเหล่านี้เป็นเด็กวัยละอ่อนและสูงส่ง จึงกลัวว่าจะได้รับบาดเจ็บ
“หนานหนาน” ลวี่ฝูวางกล่องรูปสีเหลี่ยมไว้บนมือของหนานหนาน กระซิบเสียงเบา “เจ้ายืนดูอยู่ที่นี่นะ อย่าได้เดินสุ่มสี่สุ่มห้า อย่าออกไปไหนด้วย น้าลวี่ฝูจะไปรายงานไทเฮา แล้วจะรีบกลับมา”
หนานหนานเห็นของที่นางยื่นมาไว้ในมือของตนเอง จึงพยักหน้าอย่างมีความสุข รีบเร่งเร้านาง “ไปเถอะ ๆ รีบให้ไทเฮาเหนียงเหนียงมาให้ความเป็นธรรมกับเสี่ยวเฉิงเฉิงนะ เสี่ยวเฉิงเฉิงจะได้ไม่ถูกคนอื่นรังแก”
ลวี่ฝูพยักหน้า ยืดตัวถอยหลังไปสองก้าว ทว่าจู่ ๆ ก็หยุดลงอีกครั้ง นางพูดอย่างไม่สบายใจว่า “หนานหนาน เจ้าอย่าได้ออกไปเด็ดขาดนะ”
ไม่เช่นนั้น คนที่จะได้รับบาดเจ็บรุนแรงยิ่งกว่าก็คือหนานหนาน ซื่อจื่อเหล่านั้นอาจจะออมมือให้เย่หลานเฉิง ถึงอย่างไรเขาก็เป็นบุตรชายของรัชทายาท มากสุดก็คงก่นด่าให้เกิดความอับอายก็เท่านั้น
แต่สำหรับหนานหนาน ต่อให้ทุบตีจนตาย พวกเขาก็คงไม่คิดจะใส่ใจแม้แต่น้อย
หนานหนานกะพริบตาปริบ ๆ พยักหน้าอย่างระมัดระวัง “ไม่ต้องกังวล ข้าหวงแหนชีวิตของตนเองมาก หากไม่มั่นใจ ข้าไม่ออกไปหรอก”
ลวี่ฝูถอนหายใจอย่างโล่งอก หมุนกายและรีบเดินออกไป
ตอนที่เดินมาถึงด้านหน้าประตูจวน จู่ ๆ ก็เห็นคนที่ดูเหมือนขันทีเดินเข้ามาจากด้านนอกด้วยความรีบร้อน ตอนที่คนคนนั้นเห็นนาง ก็รีบวิ่งเข้ามาหา “แม่นางลวี่ฝู”
“เจ้าคือ…”
“แม่นางลวี่ฝู บ่าวคือขันทีที่ฮ่องเต้ส่งมาดูแลเสี่ยวซื่อจื่อขอรับ เมื่อครู่บ่าวเห็นซื่อจื่อน้อยสามคนเข้ามาด้วยท่าทางก้าวร้าว เกรงว่าเฉิงซื่อจื่อจะเสียเปรียบ จึงอยากไปรายงานให้เหมียวกงกงทราบ แต่…แต่องค์ชายเจ็ดได้รับพิษ ตอนนี้ฮ่องเต้อยู่ที่ตำหนักอี๋ซิ่ง ตอนที่บ่าวไปถึงหน้าประตูตำหนักอี๋ซิ่ง ที่นั่นมีการเฝ้าระวังความปลอดภัยสูง ทหารองครักษ์ไม่ให้บ่าวเข้าไปด้านใน และไม่ให้บ่าวรายงานด้วย บ่าวเองก็จนปัญญาจึงได้แต่กลับมาที่นี่ แม่นางลวี่ฝู ท่านเป็นคนโปรดข้างกายไทเฮา รบกวนท่านช่วยไปกระซิบข้างพระกรรณไทเฮาให้เสด็จมาให้ความเป็นธรรมต่อซื่อจื่อน้อยได้หรือไม่?”
ลวี่ฝูขมวดคิ้วจ้องมองหน้าอีกฝ่าย “ตำหนักไทเฮาอยู่ใกล้ ๆ เจ้าควรไปรายงานไทเฮาเป็นคนแรก”
“บ่าว บ่าว…” ขันทีผู้นั้นสีหน้าแตกตื่น แอบพูดตะกุกตะกัก
ลวี่ฝูถอนหายใจ “เอาเถอะ ๆ เจ้าเข้าไปก่อน เรื่องนี้เดี๋ยวข้าจัดการเอง” นางเองก็ทราบดีว่าเรื่องนี้ไม่สามารถโทษขันทีผู้นี้ได้ เขาเป็นคนที่เหมียวกงกงส่งมา เป็นเรื่องปกติที่เขาต้องไปรายงานเหมียวกงกงก่อน
อีกอย่างไทเฮาก็ไม่สนใจเฉิงซื่อจื่อมานานมากแล้ว พวกเขาจึงไม่แน่ใจถึงทัศนคติของไทเฮา
ขันทีผู้นั้นมองนางด้วยความซึ้งใจ เช็ดคราบน้ำตามองตามลวี่ฝูที่วิ่งกลับไปที่ตำหนัก
จนกระทั่งเงาของนางหายไปแล้ว เขาจึงดึงสายตากลับมา และมองเข้าไปด้านในจวนด้วยความกังวล
สถานการณ์ดูเหมือนจะรุนแรงขึ้นแล้ว ซื่อจื่อเหล่านี้เห็นเย่หลานเฉิงยังกล้าหยิบตำราขึ้นมา พวกเขาพูดอยู่ที่นี่มาครึ่งค่อนวันแล้วแต่อีกฝ่ายก็ไม่คิดจะเงยหน้าพูดอะไร จึงเกิดอาการเสียหน้า ความอายเปลี่ยนเป็นความโกรธ จึงกวาดตำราเหล่านั้นที่วางไว้บนโต๊ะหินลงบนพื้นทั้งหมด
“หยิบขึ้นมาสิ ก็เหมือนกับบ่าวรับใช้นั่นแหละ เก็บตำราที่อยู่บนพื้นขึ้นมาให้หมดสิ” ซื่อจื่อเย่หลานเวยบุตรชายขององค์ชายสามยิ้มเยาะด้วยท่าทีหยิ่งผยอง “ข้าจะบอกอะไรให้นะ อย่าคิดว่าเสด็จปู่เสด็จมาถึงที่นี่ด้วยความบังเอิญแล้วจะทำให้เจ้ามีโอกาสปีนป่ายขึ้นไป ดูสภาพตัวเองบ้างเถอะ ฮ่า ๆ รู้จักแต่อ่านตำรา สมองพังหมดแล้วกระมัง”
เย่หลานเฉิงขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่ได้สนใจอีกฝ่าย ก้มตัวลงหยิบตำราขึ้นมาจากพื้นทีละเล่ม
ทว่า ตอนที่เขากำลังหยิบตำราเล่มสุดท้าย สีหน้าของเย่หลานเวยก็พลันเปลี่ยนสี จู่ ๆ เขาก็ก้าวเท้ามาด้านหน้า ใช้เท้าเหยียบลงบนหลังมือของเย่หลานเฉิง ทั้งยังออกแรงขยี้ด้วย
หนานหนานที่กำลังยืนมองฉากนี้อยู่ไกล ๆ พ่นผลไม้แช่อิ่มที่อยู่ในปากลงบนพื้น นัยน์ตาเกิดไฟลุกโชน…ปล่อยผ่านไม่ได้แล้ว!
………………………………………………………………………………………………………………………..
[1] ไท่จื่อเฟย (太子妃) หมายถึงพระชายาเอก
สารจากผู้แปล
อยากจะบอกว่าหนานหนานน่ะตัวแสบเลย ที่ควรกังวลคือซื่อจื่อน้อยทั้งสามที่มาหาเรื่องหลานเฉิงนะคะ
ไหหม่า(海馬)