บทที่ 146 สุสานเหล่าทวยเทพ

ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี

อสูรยักษ์ทั้งห้าตัวมีความสามารถและลักษณะแตกต่างกัน

นอกจากความสูงหลายร้อยจั้งแล้ว ก็ดูเหมือนว่าจะไม่ได้มาจากเผ่าเดียวกันเลยสักตัว

อสูรยักษ์ทั้งห้าเดินไปมารอบ ๆ ทางเข้าสุสานของเผ่าเทพคล้ายกับกำลังลาดตระเวนที่แห่งนี้อยู่

“พวกมันกำลังปกป้องทางเข้า”

จื้อเซียนกล่าว

“ดูเหมือนว่าความสัมพันธ์ระหว่างอสูรกับเทพในอดีตคงจะดีไม่น้อย”

ทันใดนั้น หนึ่งในอสูรยักษ์ที่มีดวงตาสีเลือดนับไม่ถ้วนกำลังมองมาทางพวกเขา ไป๋ชิวหรานรีบดึงหลีจิ่นเหยาไปซ่อนตัวด้านหลังเทือกเขา

เมื่อเห็นเหล่าอสูรยักษ์ที่สูงจนบดบังท้องฟ้า อีกทั้งลมหายใจอันน่าสะพรึงกลัวที่พ่นออกมาตลอด หลีจิ่นเหยาใบหน้าซีดเผือดพลางเอ่ยถาม

“บรรพชนสำนักกระบี่ชิงหมิง สิ่งมีชีวิตพวกนี้คืออะไรอย่างนั้นหรือ?”

“นี่คือมหาอสูรแห่งเผ่าอสูร”

ไป๋ชิวหรานยื่นศีรษะออกมาเล็กน้อยเพื่อสังเกตการณ์เคลื่อนไหวของพวกอสูรยักษ์ตรงหน้า

“มหาอสูรแห่งเผ่าอสูร…”

หลีจิ่นเหยาถามซ้ำ

“หนึ่งในศัตรูตัวฉกาจของเผ่ามนุษย์… สัตว์ประหลาดที่เกือบจะทำลายล้างเก้ามหาทวีปสิบแผ่นดิน ข้าเคยเห็นแค่ในตำราเท่านั้น ทว่ายามนี้มันกลับน่ากลัวกว่านั้นหลายเท่านัก”

เมื่อกล่าวจบ นางก็พยายามตบหน้าตัวเองเพื่อเรียกสติและสงบอารมณ์ลง ก่อนจะหันไปมองชายหนุ่ม

“แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าเห็นมหาอสูรห้าตัวอยู่รวมกันโดยไม่สู้กัน”

ไป๋ชิวหรานมองดูมหาอสูรตัวหนึ่ง หัวหมาป่านั่นกำลังเดินไปที่ตีนเขา มันกางกรงเล็บอันแหลมคมออกก่อนจะคว้าสัตว์ป่าที่อยู่ในบริเวณนั้นมาเป็นอาหาร!

“ในอดีตเมื่อมหาอสูรบุกเข้ามา พวกมันมักจะแก่งแย่งแผ่นดินกัน และทะเลาะกันเองตลอด ในช่วงแรก ๆ เหล่าบรรพบุรุษต้องต่อสู้อย่างยากลำบาก สิ่งใดที่ทำให้พวกมันมาอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติเช่นนี้?”

หลังจากพูดจบชายหนุ่มก็ถือจื้อเซียนขึ้นก่อนยื่นไปด้านหน้า

“จื้อเซียน พอจะมีวิธีเข้าไปหรือไม่?”

จื้อเซียนมองอยู่ชั่วครู่และตอบกลับ

“ดูเหมือนจะแอบลักลอบเข้าไปไม่ได้ มีอสูรร้อยเนตรกับอสูรไร้เนตรที่เดินตรวจตราไปมา ทักษะการมองเห็นและได้ยินของพวกมันเข้ากันได้เป็นอย่างดี เพียงแค่มีแรงอากาศกระเพื่อมเพียงเล็กน้อย เจ้าพวกนั้นก็สามารถรับรู้ถึงตัวตนพวกเราได้แล้ว… ไป๋ชิวหราน เจ้าใช้ความสามารถหนึ่งในสิบส่วนจัดการพวกมันได้หรือไม่?”

“ข้ายังไม่เคยลอง แต่สักหนึ่งหรือสองตัวคงจะไม่เป็นปัญหา”

หลังจากครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ ไป๋ชิวหรานก็ตอบกลับไป

“ดีมาก เจ้าเห็นอสูรที่มีหนวดเต็มหัวนั่นหรือไม่?”

จื้อเซียนชี้เป้า

ชายหนุ่มมองไปทางมหาอสูรตัวนั้น และพบว่ามันอยู่ ณ จุดที่ไกลที่สุด มหาอสูรที่จื้อเซียนบอกนั้นแตกต่างจากตัวอื่น ๆ ที่ยืนลาดตระเวนไปมา มันกำลังนั่งชันเข่าอยู่บนยอดเขา กรงเล็บแหลมคมวางพาดบนหัวเข่าราวกับกำลังตกปลา

มีดวงตาเพียงดวงเดียวบนหัว มันถูกปกคลุมด้วยเส้นขนที่ดูอ่อนนุ่มราวกับหนวด และมีวัตถุคล้ายกับก้อนเนื้อลูกกลม ๆ สีชมพูตรงปลายของเส้นขนเหล่านั้น

“นั่นคือเสาสัญญาณ หากมีใครไม่ระมัดระวังตัวแล้วสัมผัสกับต้นหญ้าแม้เพียงแผ่วเบา มันก็จะส่งสัญญาณเพื่อดึงดูดเหล่าอสูรทั้งหมดมาทันที ถ้าต้องการฝ่าเข้าไป เจ้าจะต้องกำจัดมันเสียก่อน จุดอ่อนของมันอยู่ตรงท้อง”

“เข้าใจแล้ว”

ไป๋ชิวหรานพบว่าการมีจื้อเซียนอยู่ด้วยนั้นมีประโยชน์อย่างมาก บรรดามหาอสูรเหล่านั้นมีความสามารถที่น่ากลัว บางตัวมีความสามารถในการฟื้นฟูร่างกายที่ไม่ธรรมดา หากโจมตีไม่โดนจุดสำคัญ แม้ร่างกายจะแตกสลาย… ทว่ามันก็สามารถฟื้นฟูกลับมาใหม่ได้ตลอดเวลา!

แต่เมื่อมีจื้อเซียนช่วยชี้จุดอ่อน จึงทำให้ไป๋ชิวหรานสามารถสังหารพวกมันได้ทันที

“แม่นางหลีรอที่นี่สักครู่”

ชายหนุ่มหันไปคุยกับหลีจิ่นเหยา

“เข้าใจแล้ว”

หลีจิ่นเหยาพยักหน้าเบา ๆ จากนั้นก็นั่งลงตรงหลังโขดหินอย่างเรียบร้อย

เมื่อเห็นว่านางซ่อนตัวดีแล้ว ไป๋ชิวหรานจึงพุ่งออกไปยังตำแหน่งของมหาอสูรหัวหนวดทันที

ขณะที่มหาอสูรตัวอื่นกำลังหันหลัง ไป๋ชิวหรานก็ใช้โอกาสนั้นพุ่งไปอยู่ตรงหน้ามันและโจมตีอย่างไม่ลังเล

คลื่นจากวงแหวนสีทองของไป๋ชิวหรานพุ่งออกไปชนกับท้องของมหาอสูรตรงหน้า พลังนั้นปัดเป่าร่างกายส่วนบนและส่วนล่างให้แยกออกจากกันอย่างสมบูรณ์!

เมื่อจุดอ่อนถูกทำลาย ทำให้รูม่านตาของมหาอสูรค่อย ๆ หรี่ลง ร่างกายมหึมาล้มลงกับพื้น เป็นผลให้ฝุ่นควันตลบอบอวลไปทั่วก่อนจะสิ้นลม…

การเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันดึงดูดมหาอสูรอีกสองตัว พวกมันคำรามและโจมตีใส่ไป๋ชิวหรานพร้อมกัน อสูรยักษ์ที่มีดวงตาสีแดงปล่อยคลื่นเสียงอันน่าสะพรึง ส่วนอีกตัวที่มีศีรษะเหมือนอสรพิษก็พ่นพิษออกมาคล้ายห่าฝน!

เมื่อเผชิญหน้ากับการโจมตีอันตกตะลึง แทนที่จะกังวล ทว่าชายหนุ่มกลับยกยิ้มและชักกระบี่ออกมา

ไม่กี่ลมหายใจต่อมา ด้วยเสียงกึกก้องราวกับกำลังเคลื่อนภูผาก็ดังขึ้น อสูรยักษ์ทั้งสองถูกไป๋ชิวหรานใช้กระบี่ฟันขาดเป็นสองท่อนโดยไม่กะพริบตา ชายหนุ่มโยนด้ามกระบี่ที่อยู่ในมือทิ้งก่อนจะกลับมาหาหลีจิ่นเหยาที่ซ่อนตัวอยู่

“ความเก่งกาจเยี่ยงบรรพชนสำนักกระบี่ชิงหมิงนั้นหายากอย่างแท้จริง”

หยิงสาวจากสำนักอสูรสวรรค์กล่าวชมด้วยใบหน้าที่แทบจะระงับความตื่นเต้นไว้ไม่มิด

“แค่ก… เจ้าเยินยอเกินไปแล้ว”

ไป๋ชิวหรานถูจมูก

เมื่อเผชิญหน้ากับผู้อาวุโสหรือศิษย์คนอื่น ๆ ในสำนัก ชายหนุ่มสามารถพูดเรื่องตลกไร้ยางอายได้มากมายโดยไม่ต้องคำนึงถึงภาพลักษณ์ แต่เมื่อได้รับคำชมอย่างจริงใจของหลีจิ่นเหยา เขาก็อดไม่ได้ที่จะเขินอาย

ไป๋ชิวหรานกับหลีจิ่นเหยาทำตามคำแนะนำของจื้อเซียน และเดินมาจนพบทางเข้าไปยังสุสานของเผ่าเทพ

เมื่อมองไปยังเรือพายลำเล็ก ๆ ตรงหน้าที่จอดอยู่ริมฝั่ง ชายหนุ่มก็เอ่ยถามจื้อเซียน

“เจ้าแน่ใจหรือว่านี่คือทางเข้าสุสานของเผ่าเทพ?”

“แน่นอน เว้นแต่ว่าภูมิปัญญาอันยิ่งใหญ่ของข้าจะมีปัญหา”

จื้อเซียนตอบอย่างมั่นใจ

“ทำไมข้ารู้สึกว่ามันดูธรรมดานัก…”

ไป๋ชิวหรานมองดูแม่น้ำตรงหน้าด้วยความเศร้าโศกใจ

“จะเป็นอะไรก็ตาม ขึ้นเรือก่อนแล้วเจ้าจะทราบเอง”

จื้อเซียนกล่าว

“ตกลง”

ไป๋ชิวหรานพาหลีจิ่นเหยาขึ้นเรือ หลังจากปลดเชือกที่มัดเรือแล้ว ขณะที่กำลังจะพายอยู่นั้น จื้อเซียนกลับตะโกนขึ้นว่า

“เดี๋ยวนะ เรือลำนี้ต้องใช้พลังวิญญาณที่แท้จริงในการพาย อย่าแตะต้องมัน เดี๋ยวก็ตกไปในมิติอื่นเข้าหรอก”

ชายหนุ่มจำต้องมองไปที่หลีจิ่นเหยาด้วยความอึดอัดใจ แต่เพื่อความหวังในการบรรลุขั้นพลัง เขาจึงฝืนส่งไม้พายให้นาง

หลีจิ่นเหยาดูมีความสุขมากที่ได้ช่วยเขา นางพายไปอย่างมีความสุขและพาเรือมุ่งหน้าไปยังปากหุบเขาในลำธาร